บทที่ 2
รับน้องใหม่หรือมาส่องสาว
สวัสดีครับ ผมราชัน ราเชนทร์ ไพศาลมนตรี เรียนคณะสถาปัตยกรรมปีสอง ครอบครัวทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องดื่ม และส่วนตัวผมก็เปิดผับ ไม่ใช่ต่อยอดธุรกิจครอบครัวนะ ความชอบส่วนตัวของผมล้วนๆ ถามว่าทำไมผมถึงมาเรียนสถาปัตย์ ทำไมไม่ไปเรียนบริหาร ผมขอตอบเลยว่า นักธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เรียนตรงสายมาหรอก แต่ผมก็คือหนึ่งในนั้น ผมมีเพื่อนสนิทในคณะอยู่สามคน
คนแรก ไอ้พาสต้า เพื่อนตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อแม่รู้จักกัน คนที่สอง ไอ้วินเทอร์ เพื่อนตั้งแต่ประถม รู้จักกันเพราะผมไปช่วยมันตอนมันโดนรุ่นพี่ไถตังค์ คนที่สามคือไอ้เต เพื่อนสมัยประถมเหมือนกัน รู้จักมันเพราะมันเป็นเพื่อนไอ้วินมาก่อน
ซึ่งตอนเด็กๆ ไอ้พวกห่านี่ตุ๊ดฉิบหาย แต่โตมาแล้วโคตรเหี้ย ผมบอกเลยและผมยังมีเพื่อนต่างคณะที่สนิทกันมานาน
อย่างไอ้เทล ไอ้ไทม์ ไอ้แวน และไอ้แบงค์ พวกนั้นมันเรียนต่างคณะกับผม พ่อแม่สนิทกัน และฐานะเราก็อยู่ระดับเดียวกัน แต่สำหรับผม ฐานะไม่เกี่ยวหรอก มิตรภาพพวกผมน่ะมันอยู่ที่ใจล้วนๆ
“ไปไหนวะ” ไอ้พาสถาม เมื่อเห็นผมลุกขึ้น
“มึงไม่รู้สักเรื่องได้ปะวะ” ผมบอกไอ้พาส แต่สายตาของผมจ้องมองคนตัวบางที่เดินเข้าไปยืนหลังเคาน์เตอร์
“เอ๊ย อย่าลืมจ่ายด้วยนะ” ไอ้วินบอก
“...” ผมพยักหน้าแล้วแกล้งเดินไปทางอื่น แต่พอพ้นสายตาของเพื่อนๆ ผมก็ย้อนกลับไปที่เคาน์เตอร์…
“เท่าไหร่” เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นทำให้ฉันละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วเงยหน้าขึ้นมอง
“รอสักครู่นะคะ” ความเป็นจริงแล้วใจฉันเต้นแรงมาก และก็ตื่นเต้นมากด้วย แต่ฉันทำเป็นไม่สนใจสายตาของเขาที่มองมา แล้วฉันหันไปคิดเงินให้เขา
“...” ส่วนผมไม่พูด เอาแต่ยิ้มมุมปาก รู้แหละว่าอาย หน้านี้แดงเชียว แต่ผมก็ยังจ้องหน้าเธอไม่วางตาครับ
“คิดรวมเลยมั้ยคะ” ฉันไม่กล้าเงยหน้ามองเขาตรงๆ ทำเพียงแค่เหลือบตามองเมื่อเอ่ยถามเขา
“อื้ม” ผมพยักหน้า ทั้งที่จ้องหัวของเธอ ‘นี่ใจคอจะก้มอยู่อย่างนั้นเหรอ’ ผมถามเธอในใจ
“ทั้งหมด 255 บาทค่ะ” ฉันบอก
“ไม่ต้องทอน” ผมพยักหน้ารับ แล้วยื่นแบงก์สีเทามาให้เธอ
“เอ่อ” ไม่ต้องทอน แต่เงินทอนตั้งเจ็ดร้อยกว่าบาทนี่นะ มันเยอะกว่าที่เขามากินอีกนะ
“มีปัญหา” ผมถามเสียงเย็น มองหน้าเธออย่างดุๆ
“ไม่ค่ะ” ฉันตอบกลับไปแล้วหันมาเก็บเงิน
“ไปก่อนนะครับน้องเหมย” แล้วพี่ๆ ก็เดินออกมา โดยไม่ลืมทักฉัน
“ค่ะ โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะพี่ๆ” ฉันตอบแล้วยิ้มให้พวกพี่ๆ เขา จนพี่ๆ เดินออกไปกันหมดแล้ว แต่คนตรงหน้าก็ยังไม่ไปไหน
“...” ผมไม่พูดอะไร ยังยืนยิ้มมุมปาก มองตามสายตาของเธอที่มองเพื่อนของผม
“มีอะไรรึเปล่าคะ” ฉันตัดสินใจถามเขา เพราะไม่อย่างงั้นเขาก็คงยืนมองหน้าฉันอยู่อย่างนี้แน่
“เปล่า” แล้วเขาก็ยักไหล่ให้ฉันแล้วเดินออกไป
“อะไรอ่ะ กวนปะเนี่ย” ฉันมองตามหลังเขาอย่างงงๆ คนแบบนี้ก็มีแฮะ
“พี่ว่าเขามองเหมยแปลกๆ น้า” พี่หน่อยเดินมากระแซะฉัน
“แปลกยังไงคะ” ฉันทำหน้ามึน ทำเป็นไม่สนใจ
“ไม่ต้องงงเลย พี่ว่าน้องคนนั้นต้องชอบเหมยแน่” พี่หน่อยขยายความให้ฉันเข้าใจ
“ไม่ใช่หรอกค่ะ หนูไม่รู้จักพี่เขาด้วยซ้ำ” ฉันส่ายหน้าปฏิเสธ
“นี่ ไม่เคยได้ยินรึไง รักแรกพบนะ” พี่หน่อยว่าแล้วเดินไปเก็บโต๊ะ ฉันจึงเดินตามไปด้วยความสับสน แล้วที่ทำให้ฉันแปลกใจอีกคือ เค้กช็อกโกแลตที่ฉันเอามาให้เขานั้นหมดจาน ทั้งที่จานอื่นๆ ยังมีเหลืออยู่บ้าง นี่เขากินหมดเหรอไหนว่าไม่กินเค้ก แต่คงไม่ใช่หรอก คงเป็นเพื่อนเขานั่นแหละที่กิน
“ไหนว่าเขาไม่กินเค้กไง นี่หมดจานเลย” พี่หน่อยมองมาที่จานในมือฉันแล้วก็แซวต่อ เพราะพี่แกก็มาเสิร์ฟด้วยทำให้ได้ยินตอนที่พี่ๆ พูดกับฉัน แล้วพี่แกก็เดินไป ไม่ได้อยู่ฟังจนจบ
“พี่หน่อยคะ” ฉันพยายามจะไม่หน้าแดงนะ แต่คงกลั้นไม่ได้เพราะฉันรู้สึกว่าแก้มสองข้างของฉันมันร้อนวูบวาบเลยละ
“ยังไงน้า” ก่อนที่พี่หน่อยจะเดินไปก็ทิ้งระเบิดไว้ให้ฉันคิดตามคำพูดของพี่แก ที่ตอนแรกๆ บอกว่า ‘รักแรกพบ’ งั้นเหรอ…
เช้าวันต่อมา เวลา 07.00 น.
เช้าวันนี้ฉันตื่นนอนตั้งแต่ตีห้า เพื่ออ่านหนังสือและเตรียมตัวไปเรียน เมื่ออาบน้ำแต่งตัวแล้ว ฉันก็รีบออกจากบ้าน และไม่ลืมที่จะหยิบขนมปังติดมือเพื่อเอาไปกินที่มหาวิทยาลัย..
“ทำไมวันนี้ออกเช้าจังเหมย” พี่วินมอเตอร์ไซค์คนหนึ่งถาม เมื่อเห็นฉันเดินเข้ามา ขอบอกก่อนนะ พี่ๆ วินมอเตอร์ไซค์ทุกคนที่นี่ดีกับฉันมาก จะเก็บเงินฉันไม่แพงหรอก เพราะพวกพี่ๆ รู้ว่าฉันต้องหาเงินส่งตัวเองเรียน
“ที่มหาวิทยาลัยมีกิจกรรมค่ะพี่” ฉันบอก แล้วเอาหมวกกันน็อคที่พี่วินมอเตอร์ไซค์ยื่นให้
“เค พี่บิดเลยนะ” พี่วินมอเตอร์ไซค์บอก
“ค่ะ” ฉันพยักหน้าเมื่อขึ้นไปนั่งเบี่ยงข้างด้านหลังพี่วินมอเตอร์ไซค์
ไม่ถึงชั่วโมงพี่วินมอเตอร์ไซค์ก็พาฉันมาถึงมหาวิทยาลัย M ใน เวลา 08.43 น.
“เหมย ทางนี้” พอฉันเดินเข้ามาในห้องเรียนก็มีเสียงทักขึ้นจากทางด้านหลังห้อง และทุกสายตาก็มองมาทางฉันเป็นตาเดียว
“แกไม่ควรทำให้ฉันเด่นนะกอบัว” ฉันเดินไปหาเพื่อนแล้วทำเสียงดุ
“แฮร่ๆ โทษที มันลืมตัว” กอบัวทำท่าปิดปากแล้วยิ้มแหยๆ ให้ฉัน
ฉันจึงส่ายหน้าให้เธอแล้วนั่งลง แล้วยังไม่ทันจะได้พูดอะไรอาจารย์ก็เดินเข้ามา วันนี้ฉันมีเรียนแค่ตอนเช้า บ่ายว่าง แต่ก็ยังมีกิจกรรมรับน้องตอนสี่โมง แล้ววิชาก็นี้ก็เล่นเอาพลังงานฉันลดไปเกินครึ่ง เพราะอาจารย์แกเล่นสอนลากยาวไปจนบ่าย…
เวลา 15.52 น.
ฉันและเพื่อนรีบวิ่งมาที่ลานคณะด้วยความเร็วแสง เพราะก่อนหน้านี้เราไปกินข้าวที่ห้างมา แล้วเกือบลืมเวลา ยังดีที่เตือนกันทัน ทำให้พวกเรารีบมากันทันที พอมาถึงก็เห็นเพื่อนๆ นั่งรออยู่ก่อนแล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลานะฉันว่า
“น้องมาสายนะ” แล้วก็มีพี่คนหนึ่งเดินมาหาพวกฉัน
“แต่นี่ยังไม่ถึงเวลานะคะ” เฟิร์นเถียงขึ้น ฉันจึงยกนาฬิกาขึ้นมาดู
“น้องไม่ควรเถียงพี่นะ” แล้วพี่อร รุ่นพี่ที่ดูจะไม่ชอบพวกฉันเดินมาสมทบ
“แล้วจะเอายังไงคะ” กอบัวถามอย่างเอือมๆ เพราะพี่คนนี้ตั้งใจจะหาเรื่องพวกฉันตลอด จนฉันและเพื่อนรู้สึกรำคาญ
“น้องต้องโดนลงโทษ” เพื่อนพี่อรว่าขึ้น
“ว่ามาเลยค่ะ” ฉันพูดเพื่อตัดรำคาญ รีบๆ ลงโทษมาเถอะ ฉันไม่อยากจะเสวนาด้วยแล้ว
“ไปวิ่งรอบสนามสามรอบ” แล้วพี่อรก็สั่ง ทำให้พวกฉันหันมองพวกพี่ทั้งสองคนเป็นตาเดียว
“ไม่เกินไปเหรอคะ” เฟิร์นถามเหวี่ยงๆ
“น้องไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธคำสั่งพี่นะ” แล้วพี่คนนั้นก็ย้ำอำนาจของเธอ ฉันกำหมัดแน่นเพราะไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย
“ไปได้แล้วน้อง” พี่อรสั่ง
“มีอะไรกัน” แล้วขณะที่ฉันกำลังจะหมุนตัวไปทางสนามก็มีคนมายืนอยู่ตรงหน้า
พี่ราชัน!
“เอ่อ ราชัน” พี่อรทักขึ้น
“ฉันถามว่ามีอะไรกัน ทำไมน้องไม่ไปนั่งรวม” เขาถามขึ้นแต่สายตาก็ยังคงมองฉันอยู่
“น้องมาสายน่ะ เราเลยสั่งลงโทษ” พี่อรตอบ
“มาสาย?” แล้วพี่ราชันก็ละสายตาจากฉันไปมองพี่อร
“ชะ ใช่” พอถูกจ้องตรงๆ พี่อรก็ไม่กล้าสบตาของพี่ราชันเลย
“นัดกี่โมงเหมย” พี่ราชันหันมาถามฉัน ซึ่งเขารู้จักชื่อฉันด้วยเหรอ แต่ก็คงไม่แปลก เพราะเมื่อวานพวกพี่พาสก็เรียกชื่อฉันนี่หว่า
“สี่โมงค่ะ” ฉันบอกความจริง
“ยังไม่ถึงเวลานี่” เขายกแขนมองเวลาบนข้อมือหนา
“อะ เอ่อ” พอได้ยินอย่างงั้นพี่อรก็ทำเสียงตะกุกตะกัก
“บางทีอำนาจของพวกเธอก็ไม่ควรเอามาใช้ในทางที่ผิดนะ” พี่ราชันพูดเสียงเรียบ แต่คนที่ฟังแล้วนี่พากันขนลุกเลยแหละ
“ระ เราขอโทษ” พี่อรก้มหน้าพูดอย่างสำนึกผิด (มั้ง)
“พวกเธอควรจะขอโทษน้อง” คำพูดของพี่ราชัน ทำให้ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ
“...” พี่อรและเพื่อนๆ ต่างพากันมองหน้ากัน
แต่..
“ช่างเถอะ พาเพื่อนไปนั่งไป” พี่ราชันโบกมือไล่พี่อร แล้วหันมาบอกฉันแล้วเพื่อนๆ
ฉันยกมือไหว้พี่แกแล้วเดินมานั่งที่ จากนั้นพี่ราชันก็เดินไปหาเพื่อนของเขาที่นั่งอยู่ด้านหน้า ไม่ได้สนใจพวกพี่อรเลยสักนิด
“ไปเข้าห้องน้ำนะ” พอนั่งนานๆ ฉันก็เริ่มปวดฉี่แล้วนะ ฉันกระซิบบอกกอบัวที่นั่งด้านข้าง แล้วขออนุญาตพี่ที่ยืนคุมอยู่เพื่อไปเข้าห้องน้ำ
พอได้รับอนุญาตฉันก็รีบเดินไปเข้าห้องน้ำ พอเสร็จธุระแล้วฉันเดินออกมาล้างมือ แล้วก็มีคนเดินเข้ามา ฉันหันไปมองแล้วก็ถอนหายใจออกมาเหนื่อยๆ
“เธอเป็นอะไรกับราชัน” พี่อรรุ่นพี่ที่สั่งให้ฉันไปวิ่งนั่นแหละที่เดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนของเธอคนนั้นแหละ ที่รวมหัวกันจะลงโทษพวกฉัน
“พี่พูดเรื่องอะไร” ฉันมองพี่อรผ่านกระจกข้างหน้า อะไรวะเนี่ย
“อย่ามาไขสือ ทำไมราชันต้องปกป้องแก” แล้วพี่อรก็แปลงร่างเหมือนนางยักษ์คำรามใส่ฉัน เมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้ฉัน
“ไม่ได้เป็นอะไรกัน” ฉันสลัดน้ำในมือ ไม่ได้ตั้งใจให้ถูกพี่อร แต่ช่วยไม่ได้อยากยืนใกล้ทำไม
“ฉันไม่เชื่อ” พี่อรคงโกรธแหละ หน้าสวยๆ ตอนนี้ยังกับนางยักษ์ ที่ถูกน้ำในมือฉันกระเด็นใส่
‘เออดี พอตอบแล้วก็ไม่เชื่อ แล้วจะถามเพื่อ?’ ฉันบ่นในใจ และทำหน้าเซ็งๆ จะเดินออกจากห้องน้ำ
แต่..
“นี่เธอ เพื่อนฉันถามอย่ามาเดินหนีสิ” เพื่อนพี่อรตะคอกเสียงใส่ฉัน
“แล้วจะเอาไง ตบมะ จะได้จบ” ฉันกลอกตามองบนแล้วถามเธออย่างเอือมระอา คนแบบนี้พูดไปก็เปลืองน้ำลายเปล่าๆ
“อย่าท้านะ” พี่อรก็มองฉันตาลุกวาว ที่ฉันกล้าท้าเธอก่อน และบอกเลยว่าคนอย่างฉันนี่คนจริงนะจ๊ะ
“ไม่ได้ท้า” ฉันสวนกลับ
เพียะ!
ไม่ต้องคิดว่าฉันโดนตบนะ เพราะฉันนี่แหละที่พูดขึ้นแล้วเดินไปตบหน้าพี่อรก่อน เปิดก่อนได้เปรียบก่อน เคยได้ยินปะ
“อร!” เพื่อนพี่อรที่ดูว่าเต็มร้อยกับเพื่อนนั้น เมื่อเห็นฉันตบพี่อร นางก็ทำเพียงแค่อุทานเสียงตกใจ
“กรี๊ด!! แกกล้าตบฉันเหรออีเหมย” พี่อรร้องกรี๊ดมือหนึ่งกุมหน้าอีกข้างชี้มาที่ฉัน ส่วนเพื่อนของพี่ก็ดูยืนมองอ้าปากค้าง คงคิดไม่ถึงว่าฉันจะเอาจริง
“เออ กล้า แล้วพวกพี่ล่ะ กล้ามั้ย” ฉันท้าพวกเธออีกครั้ง เพราะเริ่มทนไม่ไหวล่ะ ฉันไม่ใช่คนที่ยอมคนอุตส่าห์อดทนให้กลั่นแกล้งบอกให้ฉันไปวิ่งแล้ว ทั้งๆ ที่ฉันไม่ได้มาสาย และยังมาลอบกัดกันแบบนี้อีก ฉันไม่ปลื้ม
“คิดว่าฉันไม่กล้าเหรอ” พี่อรกัดฟันพูด แล้วเดินมาผลักฉันตอนฉันเผลอ จนหลังฉันไปชนกำแพงอย่างแรง
“โอ๊ย!” ฉันร้องลั่นเพราะหลังฉันถูกกระแทกอย่างแรง เจ็บอะ
“ไปจับมันไว้” พี่อรหันไปสั่งเพื่อน
“เข้ามาสิ กลัวเหรอ” พอเพื่อนพี่อรเข้ามาใกล้ ฉันก็ยกเท้าถีบทันที
“โอ๊ย!” พี่คนนั้นล้มนั่งก้นจ้ำเบ้า ร้องโอดโอยยังกับขาหัก
“แก เก่งนักเหรอ” แล้วพี่อรที่ยืนอยู่ข้างหลังฉัน เธอกระโจนจับผมด้านหลังกระชากอย่างแรงจนฉันแหงนหน้าไปด้านหลัง
“ปล่อย!” ฉันร้องห้าม พร้อมเอื้อมมือไปกระชากผมพี่อรเหมือนกัน
“โอ๊ย! ปล่อย!” พี่อรทำหน้าเหยเก คงเจ็บแหละ
ช่วงเวลาที่ฉันกับพี่อรตบตีกันนั้น เพื่อนพี่อรก็ลุกขึ้น เธอเข้ามาจับฉัน ฉันพยายามดิ้นให้หลุด แต่ก็ไม่เป็นผล พี่อรปล่อยมือจากผมฉัน พี่อรใช้เล็บปลอมๆ จิกเข้ามาที่มือฉันอย่างแรง
ฉันเจ็บจนทนไม่ไหวจึงปล่อยผมพี่อร แล้วพี่อรก็กระชากฉันแล้วผลักฉันล้มกลิ้งนอนบนพื้น จากนั้นพี่อรก็รีบขึ้นคร่อมฉันพยายามเอาเล็บยาวๆปลอมๆจิกตามหน้าและตัวของฉัน
“เก่งนักเหรอมึง” พี่อรเหมือนนางยักษ์มาก เธอตะคอกใส่ฉัน แล้วเหวี่ยงฝ่ามือใส่หน้าฉันซ้อนกันสองทีเสียงดัง
เพียะ! เพียะ!
“โอ๊ย!” ส่วนฉันไม่มีโอกาสได้ลุกและตบตอบ เพราะพี่อรนั่งทับฉัน ซึ่งฉันทำได้แค่ตะเกียกตะกายทุบตีบ้างเป็นบางครั้ง
“วันนี้ฉันจะเอาเลือดแกมาล้างตีน” พี่อรไม่หยุดยังคงตบหน้าฉัน จนตอนนี้ฉันได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอยู่เต็มปากของฉัน
ช่วงเวลาที่ฉันดิ้นตะเกียกตะกายเป็นฝ่ายอยู่บนนั้น และกำลังจะง้างหมัดว่าจะชกหน้าสวยของพี่อรให้แหกหมอไม่รับเย็บสักหน่อย
แต่ ฉันก็ต้องค้างหมัดไว้อย่างนั้น เมื่อ...
“เฮ้ย หยุด!” แล้วก็มีเสียงร้องห้ามดังขึ้น
ฉันหยุดและหันไปมอง แต่พี่อรที่ถูกฉันนั่งคร่อม เธอไม่หยุด เธอผลักฉันให้นอนแล้วขึ้นคร่อมฉัน มือข้างที่ไม่ได้จับผมฉันนั้นฟาดลงมากลางหน้าฉันเสียงดัง
เพียะ!
“หยุด! หยุดดิวะ!” แล้วเสียงตะคอกที่ดังขึ้นเมื่อครู่ ก็ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับมือใหญ่คว้าแขนพี่อรกระชากจนเธอลุกออกจากตัวฉัน
“ระ ราชัน” พี่อรหันมองหน้าคนที่จับแขนเธอ ซึ่งเธอหน้าซีดเลยทีเดียวเมื่อเห็นพี่ราชัน
“มีเรื่องอะไรกัน” พี่พาสต้าถามพร้อมเข้ามาประคองฉันให้ลุกขึ้นยืน จนพี่ราชันจ้องพี่พาสต้าตาเขม็ง พี่แกเลยรีบปล่อยฉันให้ยืนด้วยตัวเอง
“ก็น้องเข้ามาหาเรื่องเรา” แล้วพี่อรก็โยนความผิดมาให้ฉันหน้าด้านๆ จนฉันต้องตวัดสายตาไปมองเธอนิ่งๆ
“มะ ไม่” ฉันกำลังจะปฏิเสธ แต่พี่ราชันก็หันไปถามเสียงเยือกเย็นกับพี่อรว่า
“มีเหตุผลอะไรที่ต้องไปหาเรื่องเธอ”
“กะ ก็น้องคงโกรธที่เราสั่งลงโทษน้องไง” พี่อรตอบแต่ไม่สบสายตาพี่ราชันเลยสักนิด
“ฉันเกลียดคนโกหกที่สุด” พี่ราชันพูดเสียงนิ่ง แล้วเดินมาหาฉัน
“พี่” ฉันขยับตัวถอยหลังหนี เมื่อพี่ราชันยื่นมือมาจะแตะปากของฉัน
“เจ็บไหม” พี่ราชันถาม
“เจ็บดิ” ส่วนฉัน ถึงจะงงในท่าทางเป็นห่วงของพี่แก แต่ก็พยักหน้างึกๆ
“พี่จะพา..” พี่ราชันไม่ทันได้พูด ก็มีเสียงดังอยู่หน้าห้องน้ำ
“มีเรื่องอะไรกัน” เสียงดังขึ้นตรงหน้าห้องน้ำ ทำให้ฉันและทุกคนหันไปมอง
“พี่ไฟ” ฉันพี่ราชันพี่พาสต้า และพี่อรรวมถึงเพื่อนของเธอด้วยร้องอุทานเป็นเสียงเดียวกัน แม้แต่คนที่มามุงดูเยอะแยะนั้นก็อุทานเสียงดัง เพราะตอนนี้เฮดว๊ากอย่างพี่ไฟกำลังทำหน้ายักษ์มองมาที่พวกเรา
และพี่ไฟคงรู้แหละว่าเรามีเรื่องกัน พี่แกจึงสั่งเสียงเยือกเย็นว่า “เรียกรวมปีสองทั้งหมด”
“ฉิบหายแล้ว” พี่พาสพูดขึ้น เมื่อพี่ไฟเดินออกไปไกลแล้ว
“โดนซ่อมหนักแน่วันนี้” พี่วินพูดขึ้นบ้าง
“มึงพาน้องไปพักก่อนไป เดี๋ยวพวกกูไปหาพี่แกเอง” พี่เตพูดกับพี่ราชันแล้วเดินออกไป
“ระ ราชัน คือเรา” แต่พี่ราชันหยุดชะงัก เมื่อพี่อรและเพื่อนของเธอพยุงกันเดินเข้ามาดักหน้าพี่ราชัน
“ฉันว่าเธอควรจะไปอธิบายกับเฮียไฟดีกว่านะ” พี่ราชันพูดขัดขึ้น แล้วจับมือฉันเดินออกมา ซึ่งพี่ราชันพาฉันมานั่งม้านั่งข้างตึกที่ตอนนี้ปลอดคน…
สิบนาทีที่นั่งจ้องหน้ากัน
“ราชัน เราเอากล่องพยาบาลมาให้” แล้วก็มีพี่คนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกล่องพยาบาล ฉันจำได้ว่าเธอชื่อพี่ริน เป็นรุ่นพี่ที่ใจดีคนหนึ่งเลย
“ขอบใจ” พี่ราชันบอกแล้วยื่นมือไปรับกล่องมา
“ให้เราทำแผลให้น้องรึเปล่า” พี่รินถามขึ้น ทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่าตรงนี้ก็มีแค่ฉันกับพี่ราชัน แสดงว่าเขาจะเป็นคนทำแผลให้ฉันงั้นเหรอ
“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันทำเอง” พี่ราชันบอกพี่รินโดยยังนั่งจ้องหน้าฉัน
“โอเค” พี่รินพยักหน้าเข้าใจ แล้วก่อนที่เธอจะเดินออกไป พี่รินมองฉันเล็กน้อย
“เป็นอะไรรึเปล่า” พี่ราชันหันมาจับหน้าฉันไปมาเพื่อสำรวจแผล
“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันดันมือใหญ่ออก แล้วเบือนหน้าหนี
“ทำแผลก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยไปหาหมอ” พี่ราชันถอนหายใจเล็กน้อยแล้วหันไปเปิดกล่องยาที่พี่รินเอามาให้
“แต่หนูต้องไปหาพวกพี่ว๊าก” ฉันนึกขึ้นได้ว่าพวกพี่พาสโดนเรียกพบ และได้ยินว่าพี่ๆ จะต้องโดนซ่อมเพราะดูแลพวกฉันได้ไม่ดี แล้วยิ่งคนที่ก่อเรื่องคือคนดูแลด้วยแล้ว เรื่องนี้มันเกี่ยวกับฉัน ฉันไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะฉัน
“ไปทำไม” พี่ราชันทำเสียงเข้มหน้าตาขรึมทันที
“เรื่องนี้คนอื่นต้องไม่เดือดร้อนเพราะหนูสิ” ฉันบอกเขาเสียงเครียด
“เดี๋ยวจัดการให้ ส่วนเราต้องทำแผลแล้วไปหาหมอกัน” พี่ราชันบอก แล้วเอาสำลีไปชุบน้ำเกลือแตะเบาๆ ที่มุมปากของฉัน
“พี่ราชัน” ฉันเจ็บและแสบมาก แต่ไม่แสดงอาการให้เขาเห็น
“หื้มมม”
“หนูว่าพี่ไม่ควรมายุ่งกับหนู”…