การเดินแบบและประมูลซื้อเครื่องเพชรราคาแพงลิบลิ่ว สิ้นสุดลงในอีกสองชั่วโมงต่อมา ชายิกาเดินประกบบรรดานางแบบไปทางด้านหลังเวที และเข้าไปในห้องแต่งตัว ขณะนางแบบถอดเครื่องเพชรเก็บใส่กล่อง เพื่อเตรียมนำส่งมอบกับผู้ที่ชนะการประมูล บอดี้การ์ดสาวก็มอบรอบๆ ห้องแต่งตัว สังเกตว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่
“ชายิกา ถอดสร้อยคอให้ฉันหน่อยสิ”
นางแบบคนหนึ่งจิกเสียงเรียกใช้ เมื่อไม่สามารถถอดสร้อยคอทับทิมล้อมเพชร ซึ่งเป็นเครื่องเพชรที่มีมูลค่าแพงที่สุด ที่จัดแสดงในคืนนี้ ได้ด้วยตนเอง
ชายิกาเดินตรงไปหานางแบบคนดังกล่าว ทว่าไม่ทันได้ทำตามคำสั่ง ไฟในห้องก็ดับลง ความมืดเข้ามาครอบคลุมในทันที
“กรี๊ดดดด!!!”
เมื่อทุกอย่างตกอยู่ในความมืด บรรดานางแบบที่อยู่ในห้องต่างก็ส่งเสียงร้องกรี๊ดขึ้นมาพร้อมๆ กัน
“หยุดร้อง นั่งลง แล้วอยู่นิ่งๆ”
ชายิกาตะโกนออกคำสั่งแข่งกับเสียงร้องกรีดของบรรดานางแบบ คว้าปืนพกออกมาถือไว้มั่น พยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืด
“บ้าชะมัด! มองไม่เห็นอะไรเลย”
ชายิกาสบถออกมาเบาๆ ห้องแต่งตัวที่ถูกครอบคลุมไปด้วยความมืด เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของเธอ ซึ่งตอนนี้มองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากเสียงหวีดร้องเพราะความหวาดกลัวของบรรดานางแบบ
“ดูแลเครื่องเพชรให้ดีที่สุด”
ชายิกาออกคำสั่งกับบรรดานางแบบอีกครั้ง เพราะคิดว่าคนร้ายพุ่งเป้ามาที่อัญมณี
ราคาแพง หญิงสาวจึงตะโกนบอกออกไปเช่นนั้น ซึ่งบอดี้การ์ดอีกหลายคน รวมทั้งบรรดานางแบบ ต่างก็กอดเครื่องเพชรไว้แน่น
แต่! สิ่งที่ชายิกาคิดนั้นผิดมหันต์ เมื่อมีเสียงห้าวทุ้มดังขึ้นอยู่ข้างหลังใกล้ๆ กับใบหูของเธอ
“ใครบอกว่าจะมาขโมยเครื่องเพชรกันเล่า ผมมาขโมยตัวคุณต่างหาก ‘ชายิกา’ ”
ผู้พันฟาเรลล์กระซิบเสียงเย็นอยู่ทางด้านหลังเหยื่อ แม้ภายในห้องจะตกอยู่ในความมืดมิด แต่เขาและผู้หมวดอาดีล ก็มองเห็นทุกอย่าง เพราะสวมแว่นตาสำหรับมองกลางคืนอยู่
ชายิกาตัวแข็งทื่อ ขนหัวลุกชันด้วยความหวาดกลัว ไม่ใช่เพราะน้ำเสียงที่กระซิบเย็นยะเหยือกอยู่ทางด้านหลังเท่านั้น แต่เป็นเพราะความเย็นของปลายกระบอกปืนที่จ่ออยู่ตรงขมับของเธอด้วย
“พวกแกต้องการอะไร!”
ชายิกาเค้นถามเสียงแข็ง ทั้งๆ ที่หวาดกลัวจับใจ ไม่กล้าขยับเขยื้อนตัว เพราะกลัวจะถูกคนร้ายลั่นปืนยิงในทุกวินาที
“กรี๊ดด ช่วยด้วย”
แม้จะมองเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นไม่เห็น แต่พอได้ยินเสียงของชายิกาเค้นถามไปเช่นนั้น บรรดานางแบบทั้งหลาย ต่างก็หวีดเสียงร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว
“หุบปาก! ถ้าไม่ถูกยิงไส้ทะลัก ก็หยุดหุบปากให้สนิท!”
ผู้หมวดอาดีลเล่นบทโหด ตะคอกสั่งเสียงเหี้ยม ซึ่งก็ได้ผลชะงัก บรรดานางแบบพากันยกมือปิดปากกอดกันแน่น ตัวสั่นงันงกเพราะความหวาดกลัวสุดขีด
และเมื่อกวาดสายตาเห็นบอดี้การ์ดหญิงอีกสองคน กำลังชักปืนออกมาส่ายสะเปะสะปะในความมืด เพราะมองไม่เห็น ผู้หมวดอาดีล ซึ่งได้เปรียบกว่า ก็ก้าวเดินเร็วๆ ด้วยฝีเท้าแผ่วเบาเข้าไปอยู่ด้านหลัง ก่อนจะเอาปืนจ่อไปตรงกลางลำตัวของหนึ่งในบอดี้การ์ดสาว
“ถ้าเป็นผม จะเก็บปืนไว้เหมือนเดิม ก่อนจะถูกยิงโดยไม่ทันได้ตั้งตัว”
บอดี้การ์ดสาวทั้งสองรีบทำตามคำขู่อย่างรวดเร็ว พวกเธอเสียเปรียบที่มองอะไรไม่เห็น เพราะฉะนั้นถ้าอยู่นิ่งเงียบตามที่ถูกสั่ง คงเป็นการดีที่สุด
“แก...แกต้องการอะไร”
ชายิกาถามซ้ำด้วยความหวาดกลัว เธอเสียเปรียบในทุกด้าน เพราะมองไม่เห็น ในขณะที่ศัตรูมองเห็นทุกอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าคนพวกนี้เป็นมืออาชีพ และคงทำการโจรกรรมเครื่องเพชรมาหลายครั้งแล้ว
ผู้พันฟาเรลล์ไม่ได้ตอบคำถามในทันที ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลใด เขาถึงสูดลมหายใจลึก ซึมซับเอากลิ่นกายสาวหอมรวยระรินเข้าปอด เลือดในกายแล่นพล่านไปกับกลิ่นกายหอมละมุนของชายิกา
เจ้าของเสียงห้าวทุ้มลดใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาลงต่ำกว่าเดิม จนริมฝีปากร้อนรุ่มเกือบสัมผัสกับติ่งหูเล็ก จากนั้นก็กระซิบตอบอีกครั้ง
“เมื่อสักครู่คุณคงได้ยินไม่ถนัดสักเท่าไร แต่ไม่เป็นไร ผมจะบอกให้ได้ยินชัดๆ มาผมต้องการตัวคุณ!”
ชายิกาเบิกตากว้าง ไม่นึกว่าโจรพวกนี้จะต้องการเธอตัวมากกว่าเพชรมูลค่าหลายสิบล้าน และไม่ทันได้ป้องกันตัวเองไปมากกว่านี้ จู่ๆ ก็ถูกโปะหน้าด้วยผ้าผืนบาง ส่งกลิ่นเหม็นเอียนทั่วจมูก หลังจากนั้นร่างบางระหงก็อ่อนแรง ค่อยๆ รูดตัวลงตกไปอยู่ในอ้อมแขนของผู้พันฟาเรลล์
“อาดีล ได้ตัวสินค้าแล้ว”
ผู้พันฟาเรลล์เอ่ยบอกผ่านไมค์เล็ก พร้อมกับอุ้มร่างบางระหงสลบไสลของชายิกาขึ้นพาดบ่า เตรียมเผ่นออกจากห้องแต่งตัว
“รับทราบครับผู้พัน” ผู้หมวดอาดีลถอยมายังประตูห้อง โดยไม่ลืมเค้นเสียงออกคำสั่งอีกครั้ง “ปิดปากให้สนิท นั่งอยู่นิ่งๆ จนกว่าตำรวจจะมา ไม่ยังงั้นผมไม่รับรองความปลอดภัยของพวกคุณ”
นางแบบและบอดี้การ์ดทั้งสองต่างก็พยักหน้ารับคำ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าคนออกคำสั่งได้อยู่มองหรือเปล่า
“ซารุส เรากำลังออกไป”
ผู้พันฟาเรลล์บอกพลขับ เมื่อแบกร่างเล็กของชายิกาออกมาจากห้องแต่งตัว และกำลังเดินไปตามทางเดิน ที่ปราศจากผู้คน
“ครับ ผู้พัน ผมพร้อมแล้วครับ” ผู้หมวดซารุสสตาร์ทรถยนต์ แล้วขับมารอยังตำแหน่งที่ได้นัดหมายกันไว้
ผู้พันฟาเรลล์หันไปมองรอบๆ บริเวณ จากนั้นก็หันไปพูดกับผู้หมวดอาดีล ที่เดินคู่กันมาติดๆ
“อาดีล เล่นสนุกกันหน่อยไหม”
“เอ่อ...ผู้พันหมายถึงอะไรครับ”
ผู้หมวดอาดีลเอ่ยถามไม่เต็มเสียงนัก พอเห็นดวงตาสีนิลของผู้บังคับบัญชาไหววาบ ก็รู้เท่าทันอีกฝ่ายว่ากำลังจะทำอะไร
“ผู้-พัน-” ผู้หมวดอาดีลลากเสียงลึกอยู่ในลำคอ ขณะเรียกผู้บังคับบัญชา แล้วเอ่ยห้ามต่อว่า “อย่าเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ นะครับ”
“ผู้พันจะทำอะไรครับ”
ผู้หมวดซารุสเอ่ยอย่างงุนงงเพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ทว่าได้ยินการสนทนาทุกอย่างผ่านเครื่องมือสื่อสารอันทันสมัย ที่เสียบอยู่กับใบหูของพวกเขา
ผู้พันฟาเรลล์กระตุกยิ้ม เอ่ยบอกกลั้วหัวเราะ “เอาน่า เพื่อความตื่นเต้น ให้เดินดุ่มๆ ออกไปง่ายๆ แบบนี้มันก็ไม่สนุกสิ ผู้หมวดอาดีล...”