เหตุการณ์เมื่อหนึ่งเดือนก่อน
ร่างสูงผึ่งผายของหยางผิงเจ้าเมืองอูเจี๋ยน นั่งอ่านพระบรมราชโองการของเฉินหย่งกง เจ้าผู้ครองแคว้นหมิ่นเย่วพระราชทานพิธีอภิเษกสมรสให้กับองค์ชายเฉินจิ้น ว่าที่องค์รัชทายาทของแคว้นหมิ่นเยว่ซึ่งจะสืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป ใบหน้าที่เต็มไปด้วยบารมี หัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่งยวด
“เฉินอวี้ทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับข้าจริงๆ ด้วย นึกว่าจะลืมไปแล้วเสียอีกทั้งๆ ที่เป็นแค่คำมั่นในวัยเด็กเท่านั้น”หยางผิงพูดพลางหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมยกพระบรมราชโองการขึ้นมาอ่านอีกรอบ
ท่ามกลางสายตาของหวังฮูหยินที่กำลังนั่งฝนหมึกให้กับสามีอยู่ใกล้ๆ ต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มไม่แพ้กัน
“แล้วท่านพี่จะเลือกลูกของเราคนไหนให้เข้าพิธีอภิเษกกับองค์ชายเฉินจิ้นเจ้าคะ”ฮูหยินคนงามถามสามีกลับไปด้วยความอยากรู้
และนั่นทำให้หยางผิงหันกลับมามองหน้าภรรยาเอกของตนทันที
“ถามได้ข้าก็ต้องเลือกเสวี่ยเอ๋อร์ไปนะสิ ลูกเราอยู่ในวัยที่จะต้องออกเรือนแล้ว อีกทั้งรูปโฉมงดงามเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว เป็นที่เชิดหน้าวงศ์ตระกูลยิ่งนัก ความรอบรู้ทุกอย่างที่เจ้ามอบให้นางก็ช่ำชอง รวมไปถึงได้เรียนรู้จากข้าไปด้วยเช่นกันแม้ว่าจะเทียบเท่าไม่ได้กับเฉียนเฉียนก็ตามทีเถอะ”ประโยคสุดท้ายหยางผิงเอ่ยถึงลูกสาวคนรอง
เฮ้อ!!! หวังฮูหยินถอนหายใจออกมาทันใด หากแต่มิใช่ขัดเคืองแต่เป็นความโล่งใจเสียมากกว่า
“โชคดีไปที่เลือกเสวี่ยเอ๋อร์ เพราะถึงแม้ว่าท่านพี่จะเลือกเฉียนเฉียนให้เข้าพิธีอภิเษกสมรสครั้งนี้ ข้าเองนี่แหละก็จะคัดค้านมิให้ท่านเลือกนางอย่างเด็ดขาด นอกจากยังไม่ถึงวัยออกเรือนแล้ว เฉียนเฉียนยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก อีกทั้งรูปร่างหน้าตาของนางหากเข้าไปในราชสำนักเช่นนั้น คงจะเป็นที่หัวเราะขบขันต่อบรรดาพระสนมนางในเป็นแน่แท้ และยังเรื่องคำทำนายของโหรหลวงประจำเมืองอีก”หวังฮูหยินพูดพร้อมถอนหายใจออกมา พลางหันกลับไปยิ้มน้อยๆ กับสามี
“ข้าดีใจที่เจ้าไม่คิดที่จะเข้าข้างลูกแบบผิดๆ ถูกๆ ใช่ว่าเฉียนเฉียนจะไม่ได้ออกเรือนเสียที่ไหน เดือนหน้าก็จะเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว เมื่อผ่านพ้นพิธีดังกล่าวเฉียนเฉียนก็จะก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ นางจะเติบโตและมีความคิดและเหตุผลได้ดีกว่านี้แน่นอน และนางก็จะปลอดภัยจากคำทำนายของโหรหลวง”หยางผิงบอกภรรยา
ใบหน้างามของหวังฮูหยินพยักขึ้นลงติดต่อกันนางเห็นด้วยกับสามีทุกประการ และเหตุการณ์ดังกล่าวตกอยู่ในสายตาของหยางเสวี่ยเหยาที่คอยแอบฟังอยู่ห้องติดกันกับห้องหนังสือของบิดา
“ในที่สุด! ข้าก็จะได้เข้าสู่สายเลือดราชวงศ์แล้ว ตำแหน่งพระชายาเอกขององค์รัชทายาทก็เป็นของข้า! เป็นของข้า!”เสียงรำพึงบ่งบอกถึงความดีใจอย่างล้นพ้น
ทว่าความดีใจเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะกลับต้องพังทลายหายไปโดยพลัน เมื่อเสียงของนางมารรุ่นเยาว์แผดดังก้องขึ้น
“แต่ข้าไม่ยอม!!!”เสียงตวาดดังกระหึ่มอยู่ตรงหน้าห้องหนังสือ
ปัง! บานประตูทั้งสองข้างถูกเปิดออกอย่างแรงพร้อมร่างอวบเจ้าเนื้อของหยางเฉียนเฉียน ก้าวเข้ามาภายในห้องหนังสือดังกล่าว โดยมีพานจิ่วเซียนเพื่อนสนิทของนางวิ่งตามหลังมาติดๆ เพื่อเข้ามาห้ามสหายรัก
“เฉียนเฉียน! ออกมาเถอะ...เจ้าเข้ามาอาละวาดในนี้ทำไม รู้แบบนี้ข้าไม่ควรจะเล่าให้เจ้าฟังเลยนะ”จิ่วเซียนพูดพลางฉุดรั้งเพื่อนให้ออกจากห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว
พรืดดด!!! ท่อนแขนอวบกระชากออกจากมือของเพื่อนที่พยายามฉุดรั้งร่างเอาไว้ มิให้นางออกอาละวาดทันทีที่ล่วงรู้ข่าวพระบรมราชโองการของเฉินหย่งกงมาถึงจวน
“เหตุใดท่านพ่อท่านแม่จึงเลือกพี่หญิงใหญ่ แทนที่จะเป็นข้า! ยิ่งสมรสพระราชทานแบบนี้ผู้ที่จะต้องถูกเลือกควรเป็นข้าที่เป็นลูกที่เกิดจากภรรยาเอกก็คือท่านแม่มิใช่เหรอ! เหตุใดจึงกลับไปเลือกลูกเมียรองเพื่อเข้าพิธีสมรสพระราชทาน!”เฉียนเฉียน ถามกลับไปเสียงกร้าว
ปัง! ฝ่ามือหนาฟาดลงบนโต๊ะทำงานเสียงดังกระหึ่มจนได้ยินไปทั่วทั้งจวน
“เจ้าช่างสามห้าวมากนักนะ ที่แสดงกิริยาเช่นนี้ต่อหน้าพ่อและแม่เฉียนเฉียน จะอยากรู้ไปทำไมในเมื่อหน้าที่ในการจัดหาคู่ครองเป็นการตัดสินใจของพ่อและแม่หาผู้เหมาะสมแก่คนเป็นลูก มิใช่หน้าที่ของเจ้าที่จะมาส่งเสียงคัดค้านเช่นนี้!!!”หยางผิงตวาดลูกสาวคนโปรดกลับไปจนใบหน้าสั่นระริกด้วยความโกรธ
หวังฮูหยินรีบลุกออกจากตั่งเดินตรงเข้าไปหาลูกสาวของนางทันใด
“เฉียนเฉียนรีบขอโทษท่านพ่อเร็วเข้าและรีบกลับออกไปเดี๋ยวนี้ อย่าแสดงกิริยาเช่นนี้ออกมานี่มิใช่เรื่องของเจ้าแม้แต่น้อย”หวังฮูหยินพูดเตือนบุตรีของนาง
ใบหน้ากลมของแม่นางน้อยวัยเพียง 14 ปี หันไปมองหน้าคนเป็นแม่ด้วยสายตาแข็งกร้าว บ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างยิ่งยวดครั้นได้ยินเช่นนั้น
“จะให้ยอมได้อย่างไรท่านแม่ ในเมื่อข้าเข้ามาทวงสิทธิ์อันชอบธรรมของตัวเอง เพราะคนที่จะต้องได้แต่งงานในครั้งนี้ก็คือข้า! ที่เป็นลูกสาวของท่านแม่ซึ่งเป็นภรรยาเอกนะ! ไม่ใช่พี่หญิงใหญ่..สิ่งหนึ่งที่ท่านพ่อท่านแม่ยังไม่ล่วงรู้นั่นก็คือ องค์ชายเฉินจิ้นมีจิตพิศวาสพึงพอใจในตัวข้าเป็นยิ่งนัก จึงให้เจ้าผู้ครองแคว้นมอบสมรสพระราชทานในครั้งนี้”หยางเฉียนเฉียนกุเรื่องเท็จขึ้นมา “อะไรนะ!”เสียงของท่านเจ้าเมืองและหวังฮูหยินต่างพูดออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ
“นี่เจ้าไปรู้จักองค์ชายสี่ตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดพ่อจึงไม่รู้”หยางผิงถามลูกสาวกลับไปทันที
“ข้าคบหากับองค์ชายมาได้สักพักแล้ว เพียงแต่ยังมิเคยบอกให้ผู้ใดล่วงรู้ มีเพียงจิ่วเอ๋อร์เท่านั้นที่ล่วงรู้เหตุการณ์ทุกอย่าง หากท่านไม่เชื่อก็ถามจิ่วเอ๋อร์ได้ เพราะเวลาข้าพบองค์ชายก็พบที่ค่ายทหารของสกุลพาน”เฉียนเฉียนโบ้ยกลับไปหาเพื่อนสนิทของนางให้ช่วยสนับสนุน
และจากถ้อยคำดังกล่าวของบุตรีสายตาของท่านเจ้าเมืองและหวังฮูหยินหันกลับไปมองพานจิ่วเซียนเขม็ง
“ที่เฉียนเฉียนกล่าวอ้างเมื่อครู่เป็นความจริงอย่างนั้นเหรอจิ่วเอ๋อร์”ท่านเจ้าเมืองถามเด็กสาวกลับไปทันที
พานจิ่วเซียนถึงกับยืนงงไปชั่วขณะ ที่จู่ๆ ก็ถูกเพื่อนรักโบ้ยทุกอย่างมาลงที่นางเช่นนั้น ก่อนจะเห็นสายตาของเฉียนเฉียน ส่งสัญญาณให้นางรับสมอ้างแต่โดยดี
“อะ..เออ...ปะ..เป็นความจริงเจ้าค่ะท่านลุง องค์ชายสี่ทรงพึงพอใจเฉียนเฉียน ทั้งสองพบปะกันอยู่เสมอที่ค่ายทหารของท่านพ่อข้า และสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว สมรสพระราชทานในครั้งนี้องค์ชายต้องการเฉียนเฉียนเป็นพระชายามิใช่พี่หญิงใหญ่นะเจ้าค่ะท่านลุง”จิ๋วเซียนรับสมอ้างได้อย่างแนบเนียน ท่ามกลางความพึงพอใจของเพื่อนสาวตัวแสบ
และนั่นทำให้หวังฮูหยินกับท่านเจ้าเมืองต่างหันหน้ากลับมามองหน้ากันทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น
“นี่เจ้าคบหาดูใจกับองค์ชายสี่โดยมิมีผู้ใหญ่ล่วงรู้เลยอย่างนั้นหรอกรึ ชายหญิงอยู่ใกล้ชิดกันเยี่ยงนั้นเหตุใดหามีผู้ใดล่วงรู้”หยางผิงถามบุตรีกลับไปด้วยความแคลงใจ
“เป็นความจริงนะท่านพ่อ ข้าไม่ได้กล่าวคำเท็จแม้แต่น้อย ตั้งใจว่าเมื่อเข้าพิธีปักปิ่นแล้วจะบอกให้ทราบ แต่ไม่คิดว่าองค์ชายจะใจร้อนเช่นนี้ให้เจ้าผู้ครองแคว้น มีพระบรมราชโองการก่อนที่ข้าจะเข้าพิธีปักปิ่นเสียอีก”
เฉียนเฉียนยังคงพูดลอยหน้าลอยตาปั้นเรื่องเท็จอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะสิ่งที่นางต้องการคือการเอาชนะพี่สาวต่างแม่นั้นเอง
และถ้อยคำดังกล่าวของหยางเฉียนเฉียน ทำให้คนเป็นพี่สาวซึ่งกำลังยืนแอบฟังอยู่ห้องติดกัน ถึงกับกำมือเข้าหากันจนแน่น ครั้นได้ยินน้องสาวตัวร้ายพูดออกมาเช่นนั้น
“หยางเฉียนเฉียน! เจ้าจะตามจองล้างจองผลาญข้าไปถึงไหน! เหตุใดต้องกุเรื่องเท็จเพื่อแย่งชิงตำแหน่งพระชายาไปจากข้า!”เสวี่ยเหยาก่นดาน้องสาวต่างแม่ลอดไรฟันออกมาด้วยความแค้นใจเป็นยิ่งนัก
ในขณะที่หวังฮูหยินยืนจ้องหน้าบุตรีของนางด้วยความรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจอย่างยิ่งยวด ก่อนจะหันกลับไปมองหน้าสามีคล้ายรอคำตอบ
“ท่านพี่ในเมื่อเรื่องกลับกลายเป็นเช่นนี้ ก็ให้เฉียนเฉียนเข้าพิธีสมรสพระราชทานกับองค์ชายเฉินจิ้นเถิด ส่งเสริมลูกให้ได้สมหวังด้วยกันทั้งสองฝ่าย”
เจ้าเมืองหยางผิงนั่งครุ่นคิดด้วยสีหน้าที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ามีความทุกข์ที่เก็บไว้อยู่ภายในใจอย่างยิ่งยวด พร้อมเสียงของลูกสาวตัวร้ายดังแทรกขึ้น
“หากท่านพ่อกังวลเรื่องคำทำนายที่โหรหลวงเคยบอกเอาไว้ ว่าข้าจะต้องตายหากแต่งงานเมื่อถึงวัยปักปิ่นแล้วละก็ อย่าเอามาคิดเลยเพราะข้าไม่เชื่อและไม่ใส่ใจเรื่องคำทำนายอะไรนั้น”
และนั้นทำให้หยางผิงและหวังฮูหยินจ้องหน้าบุตรสาวคนรองเขม็งครั้นได้ยินเช่นนั้น
“นี่เจ้าล่วงรู้คำทำนายของโหรหลวงได้อย่างไร ผู้ใดเป็นคนบอกเจ้า! เรื่องนี่ถือเป็นความลับสุดยอดของตระกูล”หยางผิงถามกลับไปเสียงเข้ม ก่อนจะได้ยินลูกสาวตัวดีตอบกลับมา
“ไม่มีผู้ใดเล่าให้ฟัง ข้าแอบได้ยินพวกท่านคุยกันเมื่อหลายเดือนก่อน ว่าปีนี้ก็จะถึงพิธีปักปิ่นของข้าแล้ว เป็นวันที่พวกท่านรอคอยให้เกิดขึ้นและอยากผ่านไปโดยเร็ว ดังนั้นข้าจึงอยากบอกท่านพ่อท่านแม่ว่า อย่าไปเชื่อในสิ่งที่มิรู้ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่เพียงเพราะคำทำนายและเป็นการตัดอนาคตของข้าเช่นนี้ มีใครเกิดมาล่วงรู้วันตายตัวเองอย่างนั้นเหรอ เกิดมาก็ต้องตายทุกคน เหตุใดต้องกลัว”หยางเฉียนเฉียนพูดโดยใช้หลักเหตุผลตามความเป็นจริง
และนั่นทำให้คนเป็นพ่อและแม่ได้คิดถึงหลักของความเป็นจริงขึ้นมาได้
เฮ้อ!!! เสียงทอดถอนหายใจของหยางผิงดังออกมา
“เอาละ! เช่นนั้นพ่อและแม่จะส่งเสริมเจ้ากับองค์ชายสี่ให้สมหวังกับความรักที่มีต่อกัน ผ่านพิธีปักปิ่นนี้ไปแล้ว เจ้าก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว และพร้อมที่จะออกเรือนแล้ว”หยางผิงบอกลูกสาวคนโปรดกลับไป
ใบหน้ากลมอ้วนฉีกยิ้มจนตาหยีครั้นได้ยินเช่นนั้น สองมือประสานเข้าหากันด้วยความดีใจพร้อมก้มคำนับพ่อและแม่
“ลูกขอบพระคุณท่านพ่อท่านแม่ที่ส่งเสริมให้สมดั่งใจหวัง และต้องขอโทษที่แสดงกิริยาไม่งามออกไปเมื่อครู่ที่ผ่านมาขอท่านพ่อท่านแม่ให้อภัยลูกด้วย”หยางเฉียนเฉียนฉลาดพูดและช่างเจรจาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กล่าวคำขอโทษบิดามารดา
ทั้งพ่อและแม่ต่างพยักหน้าขึ้นลงติดต่อกันครั้นได้ยินคำขอโทษเช่นนั้นออกมาจากปากของบุตรี
“ออกไปเถอะ! พ่อกับแม่ยังต้องมีเรื่องที่จะต้องปรึกษาหารือเกี่ยวกับเจ้าอีก”หยางผิงพูดพร้อมยกมือไล่ลูกสาวให้ออกไปจากห้องหนังสือด้วยรู้สึกปวดหัวขึ้นมาตุบตับเลยทีเดียว ก่อนจะยกมือขึ้นคลึงขมับของตัวเองไปมาเบาๆ
ครั้นหวังฮูหยินเห็นอาการสามีของนางเป็นเช่นนั้น ร่างงามรีบตรงดิ่งเข้าไปหาทันที
“ท่านพี่ปวดหัวอีกแล้วใช่ไหม มาเจ้าค่ะข้าจะนวดคลึงให้จะได้ผ่อนคลายบรรเทาลง”หวังฮูหยินเป็นห่วงสามีอย่างเห็นได้ชัดพร้อมรีบตรงเข้าคลึงขมับนวดไปมาเบาๆ คอยเอาใจใส่อยู่ตลอดเวลา
ท่ามกลางสายตาของหยางเฉียนเฉียน เมื่อสิ่งที่นางต้องการสมดั่งใจหวัง
“ไม่มีวันที่เจ้าจะเหนือกว่าข้าเสวี่ยเหยา คิดว่าจะได้นั่งชูคอเป็นพระชายาของรัชทายาทผู้นั้นและจะได้เป็นฮองเฮาต่อไปอย่างนั้นเหรอ ฝันไปเถอะตราบใดที่หยางเฉียนเฉียนยังอยู่ ไม่มีทางเสียหรอกที่คนเช่นเจ้าจะเหนือไปกว่าข้าได้!”เสียงพึมพำลอดไรฟันออกมาเบาๆ พร้อมรอยแสยะยิ้มเหยียดแห่งความสะใจปรากฏอยู่บนใบหน้ากลมของท่านหญิงตัวร้ายของจวน
“ออกไปกันเถอะเฉียนเฉียน วันนี้เจ้าก่อเรื่องพอแล้วนะ ข้ากับเจ้ายังต้องมีเรื่องคุยกันอีก”จิ่วเซียนบอกเพื่อนรักพลางดึงแขนอวบอ้วนให้เดินตามนางออกไปจากห้องหนังสือดังกล่าว
ร่างของทั้งสองก้าวเดินออกมาจากห้องหนังสือ เดินกลับไปที่เรือนส่วนตัว ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยไฟแค้นลุกโชนของ หยางเสวี่ยเหยาที่เดินออกมาจากห้องติดกัน สองมือกำเข้าหากันจนแน่นเต็มไปด้วยเลือดแดงฉานเต็มทั้งสองฝ่ามือ
เมื่อนางพยายามสะกดกลั้นความคับแค้นใจ จนเผลอจิกเล็บลงไปฝังแน่น มิรับรู้ถึงความเจ็บปวดอะไรทั้งสิ้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยอาฆาตยังคงมองตามหลังน้องสาวต่างแม่ไปจนลับตา
“พิธีปักปิ่นของเจ้ามาถึงคราใด วันนั้นข้าจะส่งเสริมเจ้าให้เป็นไปดั่งคำทำนายของโหรหลวงนางเฉียนเฉียน ในเมื่อเจ้าจองเวรข้าเช่นนี้ ข้าก็จะทำลายชีวิตของเจ้าให้คำทำนายนั้นกลับกลายเป็นจริง!”คำอาฆาตลอดไรฟันออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว กลิ่นอายแห่งความตายเริ่มแผ่เข้ามาปกคลุมไปทั่วทั้งจวนเจ้าเมือง
พรึ่บ!!! ภาพเหตุการณ์เมื่อหนึ่งเดือนก่อนดับวูบลงไปทันที เมื่อเสียงของท่านหญิงใหญ่ดังแทรกขึ้น
“เจ้าเองก็ล่วงรู้ดีว่าเพื่อต้องการเอาชนะข้า เฉียนเฉียนกุเรื่องลวงขึ้นมาทั้งหมด และเจ้าก็ยังสมรู้ร่วมคิดกับนาง แล้วเป็นอย่างไรเล่า เพียงแค่ความคิดอยากที่จะอยู่เหนือข้าทุกอย่าง ไม่สนใจแม้กระทั่งคำทำนายของโหรหลวงที่อุตสาห์เตือน ผลสุดท้ายก็ต้องจบชีวิตลงในวันทำพิธีปักปิ่น ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันเริ่ม”เสวี่ยเหยาพูดลอดไรฟันด้วยความแค้นมิจางหาย
พานจิ่วเซียนได้แต่ยืนก้มหน้านิ่งฟังไม่ตอบโต้ใดๆ ทั้งสิ้น ครั้นได้ยินเช่นนั้น
“แต่เอาเถอะเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว คนที่ทุกข์และโศกเศร้าคือท่านพ่อท่านแม่และตัวข้า ที่ต้องสูญเสียเฉียนเฉียนไป แต่ต้องขอยอมรับเจ้าจริงๆ ที่อดทนเป็นเพื่อนกับนางจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต จากนี้ไปนางไม่มาสร้างความวุ่นวายให้แก่เจ้าอีกต่อไปแล้ว”เสวี่ยเหยาพูดพร้อมส่งยิ้มให้บางๆ ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นสูงค่อยๆ เยื้องย่างอรชรจากไปอย่างช้าๆ โดยไม่หันกลับมามองด้านหลังอีกเลย
ในขณะที่จิ่วเซียนทำได้แต่เพียงยืนมองตามหลังร่างงามของสตรีที่ขึ้นชื่อได้ว่า เป็นสาวงามอันดับหนึ่งที่บุรุษทั่วทุกแคว้นต่างหมายปองนาง ก่อนจะหันใบหน้ากลับไปมองโลงศพของเพื่อนสนิทและค่อยๆ ก้าวเดินตรงไปหาเพื่อกล่าวอำลาเพื่อนเป็นครั้งสุดท้าย
“เฉียนเฉียน! ขอโทษนะที่ข้ามาหาเจ้าช้า แต่ข้าก็มาทันฝังเจ้านะ ไม่เห็นหน้ากันหลายวันสบายดีไหม”จิ่วเซียนส่งเสียงถามเพื่อนที่กำลังนอนอยู่ในโลง
ในขณะที่ร่างกำลังนอนอยู่ในโลงเวลานี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ร่างไร้วิญญาณที่เคยนอนนิ่งเริ่มเคลื่อนไหวขึ้นมาทีละน้อย ทีละน้อย ปลายนิ้วเริ่มขยับไปมาอย่างน่าอัศจรรย์
“ใครเรียกฉัน! ใครกำลังเรียกฉันอยู่”เสียงนั้นดังออกมาจากร่างท่านหญิงรองหยางเฉียนเฉียน พร้อมเสียงของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ โลงเอ่ยขึ้น
“แต่เจ้าไม่ต้องห่วงนะเฉียนเฉียน ในทุกๆ ปีข้าจะไปเกาะเฉิงไห่เพื่อไปเซ่นไหว้วิญญาณให้กับเจ้า จะไปเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังว่าทางนี้เป็นอย่างไรบ้าง ส่วนเจ้าไปอยู่โลกของคนตายแล้วทำตัวดีๆ อย่าไปเที่ยวอาละวาดจนต้องทำให้ตัวเองเดือดร้อนอีกรู้ไหม”จิ่วเซียนพูดเตือนเพื่อนรัก
ในขณะที่คนที่อยู่ในโลงเริ่มจับเสียงได้ว่าคนที่กำลังพูดอยู่ด้านนอกในขณะนี้เป็นใคร
“เสี่ยวเยี่ยน! นั่นเธอใช่ไหม! นี่ฉันเป็นอะไรไป..ทำไมถึงขยับตัวไม่ได้เลย ช่วยฉันด้วยเสี่ยวเยี่ยน!!!!”เสียงร่ำร้องเรียกให้คนช่วยดังเอ็ดอึงออกมาจากร่างของหยางเฉียนเฉียน
ในขณะที่คนในโลงกำลังเต็มไปด้วยความสับสนและมีอาการตื่นตระหนก เสียงของจิ่วเซียนพูดสั่งลาแทรกขึ้นมาทันที
“เอาละ! ใกล้จะถึงเวลาเคลื่อนขบวนศพ ต้องนำเจ้าไปฝังที่สุสานแล้ว เดี๋ยวข้าจะขึ้นเรือไปกับท่านลุงกับท่านป้าตามไปที่เกาะเพื่อทำพิธีฝังเจ้าให้เดินทางไปอยู่บนสวรรค์”จิ่วเซียนพูดพลางใช้มือตบลงบนฝาโลงบอกเพื่อนรักของนาง พร้อมเดินจากมาก่อนจะยกมือเช็ดหยาดน้ำตาที่คลอเบ้าให้เลือนหายไป
ท่ามกลางเสียงร้องเรียกของร่างที่อยู่ภายในโลง ดังเอ็ดอึงเพียงตามลำพัง
“เสี่ยวเยี่ยนอย่าไป!อย่าเพิ่งไป! นี่ฉันตายไปแล้วอย่างนั้นเหรอถึงจะเอาฉันไปฝังที่สุสาน! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน! เกิดอะไรขึ้นกับฉัน! เสี่ยวเยี่ยน!!!”เสียงที่อยู่ในร่างนั้นพยายามแผดเสียงร้องออกมาจนสุดเสียง
ทว่าหามีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมาแม้แต่น้อย มีเพียงนิ้วที่เริ่มขยับไปมาได้ แต่ร่างยังคงนอนนิ่งอยู่เช่นนั้น พร้อมเสียงเอ็ดอึงดังขึ้นอยู่ด้านนอกทันทีที่พานจิ่วเซียนเปิดประตูห้องดังกล่าว
“เคลื่อนขบวนศพสู่สุสาน ณ.เกาะเฉิงไห่!!!!”เสียงตะโกนก้องส่งสัญญาณ ติดตามด้วยบ่าวรับใช้เป็นชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งเดินเข้าไปในห้องดังกล่าว ตรงเข้าสำรวจโลงศพให้เรียบร้อยก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงให้สัญญาณ
“เชิญท่านหญิงหยางเฉียนเฉียน ณ. สุสานเฉิงไห่”เสียงส่งสัญญาณดึงขึ้นอีกครา พร้อมโลงถูกยกขึ้นจากแท่นวาง
ท่ามกลางเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกของคนที่กำลังนอนอยู่ในโลง
“เฮ้ยๆ!!! จะเอาไปไหน นี่พวกคุณฉันยังไม่ตายนะ ฉันชื่อหวังฉิงชวน ไม่ใช่ท่านหญิงหยางเฉียนเฉียนอะไรของพวกคุณ! ปล่อยฉันออกไป! ปล่อยฉันออกไป!!!”เสียงร้องตะโกนให้ปลดปล่อยออกจากโลงดังอื้ออึง เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนกอย่างยิ่งยวดของหวังฉิงชวน
เมื่อจู่ๆ หวังฉิงชวน สาวน้อยวัย 19 ปีจากศตวรรษที่ 21 เกิดมีอาการหมดสติล้มฟุบไปกับซากโครงกระดูกที่เพิ่งขุดค้นพบในมณฑลฝูเจี๋ยนของยุคปัจจุบัน ซึ่งในอดีตก็คือเมืองอูเจี๋ยนในแคว้นหมิ่นเยว่
ซากโครงกระดูกดังกล่าวที่หวังฉิงชวนล้มทับและหมดสติไปนั้นเป็นของผู้ใดกันเล่า หรือจะเป็นซากศพของหยางเฉียนเฉียนก็มิอาจรู้ได้ แต่เหตุไฉนดวงวิญญาณของแม่สาวน้อยหวังฉิงชวนจึงมาติดอยู่ในร่างไร้วิญญาณ ที่กำลังจะนำไปฝังในสุสานบนเกาะเฉิงไห่ อยู่ในขณะนี้ได้หนอ
และที่สำคัญเหนือความคาดหมายยิ่งไปกว่านั้น ช่วงเวลานี้หาใช่ศตวรรษที่ 21 แต่อย่างใด หากแต่เป็นช่วงเวลาที่ย้อนกลับไปนับหลายพันปีที่แผ่นดินจีนยังไม่มีการรวมแผ่นดิน ที่แม้แต่จิ๋นซีฮ่องเต้ยังไม่ถือกำเนิดเสียด้วยซ้ำ
ดวงวิญญาณของหญิงสาวกำลังติดอยู่ในร่างของหยางเฉียนเฉียน ท่านหญิงรองแห่งเมืองอูเจี๋ยน ในยุคอดีตที่ห่างไกลจากศตวรรษที่ 21 เกือบสามพันปีเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นดวงวิญญาณของหญิงสาวกลับหลุดมาเข้าร่างที่ตายไปแล้วของท่านหญิงหยางเฉียนเฉียน นางมารร้ายของบ่าวไพร่ในจวนและคนรอบข้าง
หากแต่กลับมีจิตใจที่แสนจะงดงามต่อหน้าผู้อื่นซึ่งมิรู้จักตัวตนที่แท้จริงของนาง และจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าดวงวิญญาณของหวังฉิงชวนกลับมาในชาติอดีตของตัวเอง ใครเล่าจะอธิบายเรื่องนี้และให้คำตอบให้กับเธอได้!!!