บทที่ 13

1246 Words
“เห็นเพื่อนเก่ามาเยือนถึงกับตะลึงอ้าปากค้างเลยหรือท่านชีคผู้ยิ่งใหญ่” ภูริชเหน็บแนมอีกฝ่าย ก่อนจะกวาดสายตามองรอบๆ ห้อง พอดวงตาคมกริบมองปะทะกับหญิงงามร่างเล็ก ซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ และจับต้นแขนของชีคฟารีสต์ไว้แน่น ก็นึกโมโหอีกฝ่ายขึ้นมาทันที “ไอ้ชีคจอมบ้ากาม มีนางบำเรออยู่ทั้งคนแล้วยังจะกักขังจันทร์เจ้าไว้อีก” ภูริชเค้นเสียงตะโกนด่าออกมาดังๆ พร้อมกับกวาดสายตามองเจ้าหญิงฟาติยา ที่เขาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นนางบำเรอของชีคฟารีสต์ ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาเหยียดหยาม ทางด้านของชีคฟารีสต์กับเจ้าหญิงฟาติยากัดฟันกรอดๆ ด้วยความโกรธ และก่อนที่จะมีใครคาดถึง เจ้าหญิงฟาติยาได้กำมือแน่น เดินเร็วๆ ไปหาผู้ชายปากจัด ก่อนจะซัดฝ่ามือบนใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าพ่อแห่งคิง ออฟ พาราไดซ์เต็มแรง! เผียะ!!! ฝากรอยนิ้วทั้งห้าบนใบหน้าของภูริชแล้ว เจ้าหญิงฟาติยาก็เค้นเสียงด่าด้วยความโกรธสุดขีด “ปากดีแบบนี้ เฉือนให้อีแร้งกินดีไหม” ภูริชยิ้มหยันตรงมุมปาก ยกมือลูบใบหน้าตรงบริเวณที่เขามั่นใจว่าหากส่องกระจกคงได้เห็นรอยนิ้วมือทั้งห้าแน่ จากนั้นก็ทอดสายตาจ้องมองคนที่ตบหน้าด้วยสายตาจาบจ้วง ก่อนจะเอ่ยถากถางอย่างคะนองปาก “มือหนักใช้ได้ ปากคอก็แสนเราะร้าย น่าจับมาขยี้จูบให้ขาดใจ ว่างจากชีคฟารีสต์เมื่อไร พี่ขอจ้องคิวเป็นคนแรกเลยนะน้องสาว” “กรี๊ดดด!!! ไอ้บ้า ไอ้คนเถื่อน ไอ้คนถ่อย!” เจ้าหญิงฟาติยาร้องกรี๊ดดังลั่นด้วยความโกรธ เกิดมาไม่เคยมีใครหยาบคายกับเธอเช่นนี้มาก่อน มือเล็กกางเล็บทั้งสิบเตรียมจะโผเข้าไปข่วนหน้า ข่วนลูกตาที่จ้องมองเธออย่างจาบจ้วงให้หลุดออกจากเบ้าตา “ติยา! หยุดเดี๋ยวนี้นะ” ชีคฟารีสต์รีบกระโจนมาตะครุบร่างบอบบางไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะโผเข้าไปทำร้ายภูริช ซึ่งการที่พระองค์จับตัวขนิษฐาไว้ ไม่ใช่เพราะห่วงสวัสดิภาพของภูริช แต่พระองค์เกรงว่าขนิษฐาจะถูกภูริชทำร้ายด้วยรสจูบตามที่อีกฝ่ายได้เอ่ยออกมา ภูริชหัวเราะร่วนเมื่อเห็นชีคฟารีสต์กระโจนมาจับตัวเจ้าหญิงฟาติยาไว้ จากนั้นก็เค้นเสียงเยาะหยันต่อ “นั่น! แบบนั้นแหละ จับนางแมวยั่วสวาทของพระองค์ไว้ให้ดี อย่าให้เพ่นพ่านหลุดมาได้ ไม่เช่นนั้นผมจับโยนขึ้นเตียงแน่” “ไอ้บ้า! ไอ้คนชั่ว ฉันไม่ใช่นางบำเรอ” เจ้าหญิงฟาติยาตะโกนด่า ถีบเท้าใส่บุรุษปากจัดทั้งๆ ที่ถูกเชษฐาล็อคตัวไว้แน่น “ไม่ให้เข้าใจว่าเป็นนางบำเรอ แล้วจะให้เข้าใจว่าเป็นอะไรดี” ภูริชถามเยาะหยัน ทิ้งสายตาจ้องมองที่เรียวปากอิ่มสีกุหลาบ และปทุมถันเต็ง ตึงซึ่งดุนดันเสื้อผ้าที่สวมใส่ด้วยสายตาอ้อยอิ่งแสนจะจาบจ้วง “หยุดได้แล้วไอ้ตะวัน ติยาเป็นน้องสาวของเรา ไม่ใช่นางบำเรอ ไม่ใช่นางในฮาเร็มอย่างที่เจ้าคิด” ชีคฟารีสต์ตะคอกห้าม พร้อมกับบอกความจริงถึงฐานะของเจ้าหญิงฟาติยา ก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้าใจผิดพูดจาลวนลามขนิษฐาของพระองค์ไปมากกว่านี้ ภูริชแสดงอาการตกใจให้เห็นเพียงครู่เดียว ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วเอ่ยขอโทษด้วยท่าทียียวนกวนประสาทเจ้าหญิงฟาติยาเป็นที่สุด “โอ๊ะโอ๋! ขอโทษด้วย ไม่นึกว่าสาวน้อยแสนเร่าร้อนคนนี้จะเป็นขนิษฐาของพระองค์” ปากนั้นเอ่ยขอโทษ แต่ดวงตาคมกริบกลับเต้นระริกด้วยความขบขำ ตอนที่เห็นเจ้าหญิงฟาติยากัดฟันกรอด จ้องมองเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “นายมาประเทศอัสดารานส์ทำไมไอ้ตะวัน” ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายได้ประกาศก้อง และรู้เจตนาของภูริชอยู่แล้ว แต่ชีคฟารีสต์ก็ยังหลุดปากเอ่ยถามคู่แค้นจนได้ “ผมมารับจันทร์เจ้ากลับบ้าน จันทร์เจ้าถูกท่านทำร้ายมามากพอแล้ว ผมจะไม่ให้น้องสาวของผมต้องอยู่เป็นของเล่นของท่านชีคอีกต่อไป” คราวนี้ภูริชเอ่ยตอบเสียงเย็น ดวงตาดำสนิทเปล่งประกายแรงกล้า ไม่มีแววล้อเล่นเหมือนเมื่อครู่ที่ผ่านมา “จันทร์เจ้าอยู่ไหน ทำไมท่านไม่ให้จันทร์เจ้าออกมาพบผม” คำถามของภูริช ทำเอาใบหน้าคมเข้มของชีคฟารีสต์ถอดสีซีด ก่อนจะตอบออกมาอย่างช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความเสียใจอย่างยิ่ง “จันทร์เจ้า...ถูกจับตัวไป” “อะไรนะ!” ภูริชร้องตะโกนถามเสียงหลง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ นาทีต่อมาก็ ประเคนหมัดหนักเข้าเต็มปากเต็มจมูกของชีคฟารีสต์ ผัวะ!!! “ไอ้ชีคบ้า! ทำไมไม่ดูแลจันทร์เจ้าให้ดีๆ” ผัวะ!!! “เราดูแลดีที่สุดแล้วโว๊ย!” สองสิงห์ต่างผลัดกันส่งหมัดเข้าปะทะใบหน้าของแต่ละฝ่าย จนเลือดกบปาก สร้างความตกใจให้กับทุกคนในห้องเป็นอย่างมาก แต่กระนั้นก็ไม่มีใครกล้าเป็นกรรมการห้ามมวยคู่เอกคู่นี้ ภูริชถอยห่างออกมาตั้งหลักนิดหนึ่ง ก่อนจะเช็ดเลือดออกจากปากของตนเอง แล้วตะโกนด่าชีคฟารีสต์ต่อ “ดูแลดียังไงว่ะ จันทร์เจ้าถึงถูกคนร้ายจับตัวไปได้” เจ้าหญิงฟาติยาทนเห็นบุรุษหนุ่มทั้งสองห้ำหั่นกันต่อไม่ไหว โดยเฉพาะผู้ชายปากจัดที่ตะโกนด่าเธอและเชษฐาป่าวๆ โดยไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง จึงก้าวเท้าเข้าหาผู้ชายปาก จัดที่ยังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม ก่อนจะผลักอกอีกฝ่ายเต็มแรง แล้วตะคอกด่ากลับด้วยความโมโห “นี่! ไอ้ผู้ชายปากกรรไกร หยุดทะเลาะกับท่านพี่ของฉันได้แล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกัน นายควรร่วมมือกับท่านพี่เพื่อตามหาจันทร์เจ้าให้พบโดยเร็วที่สุด ก่อนที่เธอจะถูกทำร้ายได้” ไม่ใช่แค่ภูริชเท่านั้นที่ได้สติ ชีคฟารีสต์เองก็เริ่มคิดได้ จึงหันหลังกลับแล้วเดินไปหาองครักษ์ทั้งสิบคนที่เป็นทีมค้นหา ก่อนจะสั่งงานและหันไปถามหญิงรับใช้ที่ชื่อนัยราน ซึ่งอยู่ในทีมค้นหาด้วย “ทุกคนเตรียมอาวุธให้พร้อม เราจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้ นัยราน เจ้ามั่นใจใช่ไหมว่าเจ้าชายอะเดลีจะพาพระชายาไปที่ชายแดนประเทศอะเดลา” “มั่นใจเพคะ หม่อมฉันเคยได้ยินองครักษ์ของเจ้าชายอะเดลีพูดกันปากต่อปาก อย่างสนุกสนานว่า เจ้าชายอะเดลีมีรังรักอยู่ที่ชายแดนประเทศ ที่นั่นพระองค์จะขังหญิงสาวไว้คอยบำเรอรัก พอเบื่อแล้วก็จะส่งไปขายยังตลาดค้าทาสที่อยู่ใกล้ๆ กันเพคะ” นัยรานเอ่ยตอบด้วยความมั่นใจ ตอนนี้ได้แต่ภาวนาให้พระชายาจิลลาภัทรปลอดภัย อย่าได้ถูกคนชั่วช้าสามานย์ใจสกปรกยิ่งกว่าสัตว์นรกทำร้ายเอา “ถ้ายังงั้นไปกันได้แล้ว” ชีคฟารีสต์สั่งเสียงเข้ม พร้อมกับคว้าอาวุธปืนเก็บเสียงสองกระบอกมาสอดเข้าตรงสีข้าง จากนั้นก็เดินออกจากตำหนัก โดยมีองครักษ์ทั้งสิบคนและนัยราน ซึ่งมีอาวุธครบมือเดินตามหลังมาติดๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD