"ย๊าก!!"
ตู้ม!!!
"คุณหนู!! อีกแล้วหรือเจ้าคะ! หลังขาดแน่อีเมี่ยง..."
เมี่ยงบ่าวรับใช้ในบ้านเศรษฐีบุญช่วยพ่อค้าชื่อดังปากน้ำโพเมืองนครสวรรค์และเมืองพิษณุโลก เมี่ยงยืนอยู่ท่าน้ำพยายามเรียกบัวลูกสาวเศรษฐีบุญช่วยขึ้นจากน้ำก่อนที่เจ้านายจะออกมาเจอ
"ขึ้นมาเถอะเจ้าค่ะ! ประเดี๋ยวจะไม่สบายเอา!"
"ฮ่า...เย็นสบายดีจัง เมี่ยงลงมาเล่นด้วยกันสิ สนุกนะ"
บัวเด็กน้อยวัยเจ็ดปีไม่ยอมขึ้นจากน้ำซ้ำยังว่ายออกไปไกล บ่าวสี่คนร้องลั่นกลัวเด็กน้อยจะได้รับอันตราย
"หายไปแล้ว!! คุณหนูบัว!!! คุณหนู!!!"
เมี่ยงร้องเสียงหลงเมื่ออยู่ๆ เด็กน้อยได้ดำน้ำหายไป
"ฮือ ๆ ๆ คุณหนู!! อ๊าก!! ตายแน่!! พวกเอ็งรีบลงไปดูคุณสิยืนเซ่อกันอยู่ไย!!"
บ่าวผู้ชายสองคนกำลังจะกระโดดลงน้ำแต่ก็ต้องตกใจหงายหลังเมื่อเด็กน้อยโผล่พรวดขึ้นมาจากน้ำ ซ้ำยังฉุดแขนเมี่ยงให้ลงน้ำด้วยกันก่อนจะลอยตัวหัวเราะเยาะใส่บ่าวคนสนิท
"คุณหนูบัวบ่าวเป็นห่วงแทบแย่!!"
"อย่าเสียงดังสิประเดี๋ยวคุณแม่มาเห็นเอา เอ็งจะกลัวไปไยข้าว่ายน้ำเป็นหรอก"
"แต่มันอันตรายอยู่ดีเจ้าค่ะ แม่นายเห็นเข้าจะโดนเฆี่ยนเอา มาแอบเล่นน้ำผู้เดียวเช่นนี้มันไม่ดีนะเจ้าคะ อ๊าก!!"
อยู่ๆ ก็มีมือปริศนาปิดปากของเมี่ยงไว้
"หุบปากได้แล้วเมี่ยง เอ็งเสียงดังเสียจริงข้าเป็นคนพาน้องลงมาเล่นน้ำเอง"
พุด หนุ่มน้อยวัยสิบสองปีพี่ชายคนที่สองของบัวสะบัดผมไปมาก่อนจะยันตัวขึ้นท่าน้ำ เขารู้สึกเบื่อจึงชวนน้องสาวมาแอบเล่นซน
"วันนี้ต้องเดินทางไปพระนครแล้วนะเจ้าคะเรารีบขึ้นไปผลัดผ้ากันก่อนที่แม่นายจะเจอเข้าเถอะเจ้าค่ะ"
พูดไม่ทันขาดคำหนุ่มน้อยหน้าตาดีวัยสิบห้าปีก็เดินมาหาทุกคนที่ท่าน้ำ
"พี่พุ่ม!"
พุ่ม พี่ชายคนโตถูกให้มาตามทั้งสองขึ้นเรือนเพราะอีกไม่นานจะออกเดินทางแล้ว
"เจ้าสองคนจะไม่ขึ้นก็ได้นะ แต่ข้าพึ่งเห็นคุณแม่กำลังจะให้บ่าวมาเตรียมเรือแลกำลังจะขนของลงมา"
"...."
สองพี่น้องรีบวิ่งขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีโดยไม่ต้องขู่ซ้ำ พุ่มถึงกับถอนหายใจให้กับน้องชายและน้องสาวที่หาเรื่องโดนหวายเป็นประจำ
"อืม... จุกเจ้าไยดูเปียกๆ ชอบกลฮือเจ้าบัว?"
เศรษฐีบุญช่วยพ่อของเด็กทั้งสามคนถาม บัวเอามือจับดูแล้วยิ้มแห้งๆ
"มิใช่แอบไปเล่นน้ำอีกนะ"
"เปล๊า... เมื่อตะกี้บัวเดินชนขันใส่น้ำหัวเลยเปียกเจ้าค่ะ"
"แหม...บังเอิญชนทั้งสองพี่น้องเลยนะ เอาล่ะพ่อก็มิได้ว่ากระไรระวังแม่เจ้าให้ดีละกัน พวกเอ็งเอาของลงเรือเร็วเข้าออกเดินทางก่อนตะวันตรงหัวจะได้ถึงเร็วขึ้น ฮือ... ว่าอย่างไรเจ้าบัว"
เด็กน้อยดึงเสื้อพ่อไว้แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นเศร้าสร้อย
"ลูกขออยู่กับพี่ๆ ได้ไหมเจ้าคะ"
"ไม่ได้ เจ้ายังเด็กนักแลพี่ๆเขาไปร่ำเรียนหนังสือมิได้ไปเที่ยวเล่นอย่างที่เจ้าเข้าใจ"
"ประเดี๋ยวก็ได้ไปเที่ยว ที่พระนครมีตลาดเยอะจะตายไปบัวยังจำได้ เมื่อคราก่อนคุณยายพาไปไหว้พระที่เสาชิงช้าสนุกดี ที่โน้นจำเริญตากว่าที่นี่นัก"
"อยู่กับพ่อนี่แหละ ขืนให้เจ้าไปอยู่คลองบางรักกับคุณยายถูกถวายตัวเข้าวังเป็นแน่ ตอนนั้นเจ้าร้องไห้แทบตายพ่อก็ช่วยไม่ได้"
ท่านจูงมือลูกสาวคนเล็กลงเรือน ตามด้วยลูกชายสองคนที่จะต้องไปอยู่กับคุณตาคุณยายที่คลองบางรักกรุงเทพมหานคร
"ที่วังน่ากลัวขนาดนั้นหรือ?"
"ก็ใช่นะสิ คุณแม่เคยเล่าให้พี่ฟังวันๆต้องนั่งกรองมาลัยแกะสลักเข้าครัว ทำไม่งามเจ้าก็จะถูกตีๆๆ ต้องฝึกทำอาหารตั้งแต่เด็กจะวิ่งเล่นก็ไม่ได้ ล้างผักจนมือเปื่อยถ้าทำผิดก็จะตีๆๆ เพียะ! เพียะ!"
พุดทำท่าทางเอาไม้เรียวฟาดหลังพุ่มให้น้องสาวดู บัวเห็นก็ทำหน้าตาตื่นบอกผู้เป็นพ่อขออยู่ที่ปากน้ำโพเช่นเดิมกลัวหลังจะขาดเอา
"ขนาดนั้นหรือเจ้าพุด..."
นางพุดซ้อน แม่ของเด็กน้อยสามคนเท้าสะเอวใส่ลูกๆหน้าตาบอกบุญไม่รับ นางเรียกหาลูกๆอยู่นานไม่มีใครขานรับสักคนจึงอารมส์เสีย ลูกๆทั้งสามรีบก้มหน้ามองพื้นทันที พุดกับบัวเขยิบเข้าใกล้พ่อเผื่อแม่ของพวกเขาจะแปลงกายเป็นนางยักษ์อย่างที่เคยเป็นอยู่บ่อยครั้ง นางส่ายหน้าให้ก่อนจะเดินนำหน้าขึ้นเรือที่บ่าวไพร่เตรียมไว้เรียบร้อยมีลูกๆและสามีจะรีบตามไปติดๆ ขบวนเรือหกลำออกเดินทางจากเมืองปากน้ำโพมุ่งหน้าไปคลองบางรักเมืองอมรรัตนโกสินทร์โดยใช้เวลาถึงหลายวันกว่าจะถึงที่หมาย บ้านพระยาภักดีดำรงค์ผู้มีศักดิ์เป็นคุณตาของเด็กทั้งสามคน
"โอ้โห้!! บะเริ่มเลย! ใหญ่กว่าเรือขนข้าวที่หน้าเรือนเราเสียอีก!"
บัวดูจะตื่นเต้นกว่าใคร ถึงจะเคยมาแล้วหลายครั้งแต่เด็กน้อยก็ยังตื่นเต้นทุกครั้งที่มาถึง บ่าวไพร่ออกมาต้อนรับขบวนเรือกันมากมายพร้อมใจกันขนข้าวของขึ้นเรือนที่ใหญ่โตโอ่อ่าสมฐานะเจ้าของเรือน
"อย่าวิ่งเจ้าค่ะคุณหนูประเดี๋ยวหกขะล้มเอา!"
บัววิ่งไล่ผีเสื้อในสวนดอกไม้สนุกสนานไม่ฟังเสียงบ่าวที่ทักท้วง เด็กน้อยวิ่งเลยเข้าไปในเขตของพระยาไชยากรที่อยู่ติดกันก่อนจะได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กผู้ชายจึงแอบดู
"คุณหนู... มาแอบดูเยี่ยงนี้มันไม่ดีนะเจ้าคะ"
"ชู..."
บัวมองไปยังกลุ่มคนที่มีอยู่ห้าคน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กผู้ชายไว้ผมจุกนุ่งโจงกระเบนสีคล้ำยืนร้องไห้เสียงดัง ข้างกันมีผู้หญิงหน้าตาดีดูท่าทางจะเป็นเจ้านายในเรือนไชยากร
"ฮือ...ฮือ...อึก!"
"เงียบ! ขืนเอ็งแหกปากร้องให้คุณพี่ได้ยินละก็ข้าจะเอากะลาตบปากเอ็งให้เลือดออก"
"...."
เด็กผู้ชายพยายามกลั้นเสียงร้องไห้ของตนเองกลัวนางทำอย่างที่ว่าจริง
"คุณยิ้มเจ้าขา... บ่าวขอล่ะเจ้าค่ะ ไอ้แก้วมันมิได้ตั้งใจจทำคุณยศล้ม เด็กมันก็เล่นซนตามประสาแค่เข่าถลอกเล็กน้อยอย่าให้เป็นเรื่องเลยเจ้าค่ะ"
"ลูกข้าเจ็บไยเอ็งบอกเล็กน้อย ต้องตีให้หลาบจำจะได้เจียมตัวเสียบ้างว่ามันเป็นแค่ขี้ข้าริจะมาเล่นกับคุณยศลูกข้า ไอ้ตัวเสนียด พ่อยศลูกแม่...แม่บอกแล้วใช่หรือไม่ว่าอย่ามาเล่นกับไอ้แก้วมันจะเล่นหัวเอา"
คุณยิ้มมองแก้วเด็กชายวัยเก้าปีที่นางพึ่งจะลงหวายที่ก้นอย่างแรงเพียงเพราะเขาวิ่งชนยศลูกชายวัยแปดปีของนางล้มเข่าถลอก
"ลูกหาได้เล่นกับมันขอรับ ลูกว่าจะวิ่งไปรับมาโนชที่เรือแต่ดันมาชนไอ้แก้วเสียก่อน คุณแม่...ลูกเจ็บ..."
"เอะอะกระไรกันหรือคุณน้ายิ้ม แก้ว...ไยเอ็งร้องไห้!"
ชิดลูกชายพระยาไชยากรหนุ่มน้อยวัยสิบแปดปีมาเดินเล่นที่สวนได้ยินเสียงคนทะเลาะกันจึงเดินมาดู
"คุณน้ายิ้มตีมันอีกแล้วหรือประเดี๋ยวมันก็ไข้ขึ้นอีก หลานขอเถิดนะขอรับ คนกันเอง"
"ก็เป็นเสียอย่างนี้มันถึงได้ใจ หึ ไอ้กาฝาก"
"คุณน้ายิ้ม!"
ชายหนุ่มดูจะไม่พอใจที่น้าสาวดูถูกคน เดินไปจูงมือแก้วที่เอามือลูบใบหน้าเพื่อเช็ดน้ำตา
"ดูแลกันให้ดีละกัน ถ้ามันทำพ่อยศเจ็บตัวอีกละก็คราวนี้น้าจะไล่มันออกจากเรือน"
คุณยิ้มเรียกยศลูกชายจะพาขึ้นเรือนไปทำแผลถลอกนิดเดียว ยศชี้หน้าอาฆาตแก้วก่อนจะตามผู้เป็นแม่ไป
ชิดถามป้าศรีหัวหน้าบ่าวไพร่ว่าเกิดเหตุอันใดแก้วถึงได้โดนน้าสาวเฆี่ยนตี
"คุณยศวิ่งมาชนเจ้าแก้วที่เล่นอยู่กับไอ้เผือก ล้มเข้าแตกเลยโดนตีเจ้าค่ะ"
"เรื่องแค่นี้ทำเป็นเรื่องใหญ่ ป้าศรีก็คอยระวังไม่ให้ไอ้แก้วไปเจอกับน้ายิ้มแล้วกัน ไม่รู้จะเกลียดมันทำกระไรเด็กตัวกะเปี๊ยกเดียวเอง"
"เจ้าค่ะคุณชิด บ่าวละสงสารมันกำพร้าพ่อแม่ก็อนาถเหลือทนยังโดนรังแกอีก พ่อกับแม่มันเป็นใครกันเจ้าคะถึงได้ทิ้งให้คุณท่านเลี้ยง นี่ก็หายไปสามปีแล้วหนา"
ป้าศรีสงสัย อยู่ๆเจ้านายบนเรือนก็เอาเด็กแก้วคนนี้มาเลี้ยง ทีแรกก็จะให้ขึ้นไปอยู่เรือนใหญ่แต่ติดที่คุณยิ้มไม่ยอมรับค้านหัวชนฝานางจึงเอามาเลี้ยงดูเอง
"ดูๆ ไปหน้าตามันก็น่าชังนักทำไมคุณยิ้มถึงได้รังเกียจนักบ่าวไปไม่เข้าใจ?"
ชิดส่ายหน้าไม่ทราบเหมือนกันพ่อของเขาไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับเด็กคนนี้เลย รู้เพียงว่าเป็นลูกชายของสหายรุ่นน้องของท่านเท่านั้น
"คุณหนูบัวกลับเถอะเจ้าค่ะ นี่เราหายมานานแล้วประเดี๋ยวแม่นายจะเอ็ดเอา"
บัวไม่สนมองแก้วที่ตอนนี้หยุดร้องไห้แล้วอย่างนึกสงสาร
แกรบ...
"มีผู้ใดหลบอยู่ตรงนั้นออกมา!"
ชิดเรียกเสียงดังลั่น บัวกับบ่าวเดินออกมาจากต้นไม้ใหญ่เอ่ยขอโทษที่แอบฟัง
"เด็กที่ไหนกันป้าศรีไม่เคยเห็นหน้า?"
"อ๋อ...คุณหนูบัวหลานคุณหญิงประยงค์เรือนข้างนี่เองพึ่งมาส่งพี่ๆที่จะมาเรียนกับพระครูเนื่อง พระอาจารย์คุณชิดเจ้าค่ะ"
ชิดพยักหน้าเข้าใจ บัวเด็กน้อยที่อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่องมองแก้วตาแป๋วก่อนจะถอดพวงดอกไม้ที่ทำเป็นกำไลข้อมือออกมาแล้วยื่นให้แก้ว
"อย่าร้องไห้เลย ถูกตีแค่เนี่ยประเดี๋ยวก็หายบัวถูกตีออกบ่อย"
แก้วลังเลใจก่อนจะรับพวงดอกไม้จากบัว
"ชื่อหนูบัวรึ โดนตีบ่อยหรือแม่ซนน่าดู พี่ชื่อชิดนะรู้จักกับพี่ชายเจ้า"
ชิดลูบหัวบัวอย่างเอ็นดู ทีแรกเด็กน้อยก็ตื่นๆ นิดหน่อยแต่ไม่นานนักชิดก็กลายเป็นม้าเร็วให้เด็กน้อยขี่หลังเสียแล้ว แก้วนั่งหัวเราะร่าให้ทั้งสองที่เล่นสนุกกันลืมเจ็บที่ก้นทีเดียว
"วันหลังบัวขอมาเล่นใหม่นะเจ้าคะ"
"อืม... ได้สิ ถ้าหนูบัวมาคราวหน้าพี่จะพาไปเล่นที่ทุ่งนาหลังเรือนที่นั่นมีปูนาให้จับ สนุกนะ"
เมี่ยงจูงบัวจะพากลับ เด็กน้อยโบกมือลาชิดและแก้วที่ยืนตาละห้อย เพราะอำนาจของคุณยิ้มเขาจึงไม่มีเด็กอยากจะเล่นด้วย มีเพียงเผือกที่เป็นลูกทาสในเรือนแต่อีกไม่นานจะถูกไถ่ตัวเป็นไพร่และย้ายออกไปอยู่ที่ใหม่
"แล้วมาอีกนะขอรับ!"
แก้วร้องบอกบัวที่เดินหายไปทางบริเวณบ้านภักดีดำรงค์ ตั้งแต่วันนั้นแก้วก็ไม่ได้เจอกับเด็กน้อยช่างพูดคนนั้นอีกเลยจนเวลาล่วงผ่านจากวันเป็นปี....