ตอนที่ 2

2722 Words
"แก้ว ไอ้แก้ว ไอ้แก้วโว้ย! มัวทำกระไรอยู่วะป่านนี้ยังไม่เตรียมเรืออีก! ไอ้นี่ชักจะเหลวไหลใหญ่!! " ขุนวิชิตเรียกหานายแก้วคนสนิทด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด "มาแล้วขอรับคุณชิด! " แก้ววิ่งกระหืดกระหอบมายังศาลาท่าน้ำ มือข้างหนึ่งอุ้มไก่ชนตัวโปรดไว้ ชายหนุ่มนั่งลงที่พื้นอย่างเจียมตัว "พอดีไอ้โชคลูกชายกระผมมันป่วยเป็นกระไรไม่ทราบเลยฝนยาให้มันกินอยู่ขอรับ กระผมเลยลืม..." แก้วส่งยิ้มแห้งๆ ให้ขุนวิชิตที่เท้าสะเอวใส่ที่ชายหนุ่มนั้นเป็นห่วงไก่เสียมากกว่าเขา "ก็ถ้ามันไม่หายเอ็งก็จับมันทำแกงสิวะ ข้ากำลังอยาก" "ไม่ได้นะ! นี่มันลูกชายกระผมนะขอรับ! กินไม่ได้!! " แก้วหน้าตาตื่นที่ขุนวิชิตให้จับไก่ชนตัวโปรดไปทำอาหาร เขากอดไก่ไว้แน่น "เออๆ ข้าก็พูดไปเยี่ยงนั้นเองกินไก่ตีเนื้อเหนียวตายชัก เอ็งนี่ก็..." ขุนวิชิตส่ายหน้าแล้วไล่ให้แก้วไปพายเรือเพื่อไปทำธุระที่ตลาดโดยมีแก้วกับม่วงบ่าวรับใช้ติดสอยห้อยตาม แก้วเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีไว้ผมทรงมหาดไทย รูปร่างสันทัดไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป ผิวสีเหลืองนุ่งผ้าม่วงแพรโจงกระเบน สวมเสื้อกระบอกแขนยาวเปิดอกเปิดคอสีครามเข้มเหมือนบ่าวไพร่ทั่ว ตอนนี้อายุุของเขานั้นสิบแปดปีเต็ม พ่อและแม่ของเขานั้นได้นำเขามาฝากให้พระยาไชยากรเลี้ยงตั้งแต่อายุได้เพียงเจ็ดปี และได้สั่งไว้ให้เขารออยู่ที่เรือนนี้สักวันหนึ่งจะกลับมาหา "พ่อแก้วลูกแม่... แต่นี้ไปเจ้าจงอยู่ที่นี่กับท่านพระยาเถิดหนา พ่อกับแม่จำเป็นจะต้องทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ ถ้าให้เจ้าไปด้วยเกรงว่าจะได้รับโทษภัยตายตกตามกันเสียหมด" "ลูกอยากไปกับคุณแม่คุณพ่อขอรับ... ให้ลูกไปด้วยนะคุณแม่" แก้วในวัยเจ็ดปีกอดผู้เป็นแม่แน่น ใบหน้าเปื้อนไปด้วยน้ำตา พระยาไชยากรและคุณหญิงน้ำทิพย์ยืนมองด้วยความเวทนา "เจ้าอยู่ที่นี่ก็จงกตัญญูต่อท่าน อย่าขี้คร้าน ชีวิตเจ้าไม่ได้สุขสบายเหมือนเมื่อก่อนจำไว้นะลูก" ผู้เป็นแม่สั่งสอนลูกทั้งน้ำตาด้วยความรักลูกที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของนาง "ข้ากับเมียลาแล้วท่าน ข้าฝากลูกด้วยนะขอรับ ถือว่าทำบุญกับเด็กมันเถิดข้าจะไม่ลืมพระคุณท่านเลย" พ่อของแก้วที่เนื้อตัวมอมแมมยกมือขึ้นไหว้ผู้มีพระคุณ "เอ็งมิต้องห่วงไปดอกข้ากับแม่ทิพย์จะดูแลลูกเอ็งให้ดี เอ็งเป็นหลักเป็นฐานแล้วค่อยมารับเจ้าแก้ว" ตั้งแต่นั้นมาแก้วก็ไม่เคยพบหน้าพ่อและแม่ของเขาอีกเลยจนวันเวลาเลยผ่านหลายปี เขาได้แต่เฝ้ารอที่ท่าน้ำทุกวันเผื่อวันหนึ่งพ่อและแม่จะกลับมาหา "เฮ้ยไอ้แก้ว! วันนี้มึงจะเอาไอ้โชคมาดวนกับไอ้เดชหรือไม่กูอยากแก้มืออีก" "ไอ้โชคมันไม่สบายไว้คราหน้าละกัน ข้าต้องรีบไปเดี๋ยวท่านขุนเอ็ดเอา" แก้วรีบไปหาซื้อน้ำมันตะเกียงตามคำสั่ง ข้างร้านขายน้ำมันตะเกียงถัดไปเป็นร้านขายเครื่องประดับสตรีอยู่หลายร้าน มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยเกล้าผมประดับด้วยปิ่นทองไม่เหมือนกับคนทั่วไปที่ไว้ทรงปีกและตัดจนสั้นคลายทรงมหาดไทยของผู้ชายตามสมัยนิยมกัน หล่อนแต่งกายด้วยการห่มผ้าสีเหลืองอ่อนคู่กับผ้าซิ่นสีน้ำเงินเข้ม สวมใส่กำไลทองหลายชิ้นบ่งบอกฐานะไม่ธรรมดา หล่อนยืนเลือกซื้อเครื่องประดับกลิ่นหอมน้ำอบที่พรมตามตัวของหญิงสาวลอยตามลมประทะเข้าจมูกแก้วจนต้องหันไปตามกลิ่น เขาเห็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยใบหน้าหวานมีเสน่ห์จนต้องเผลอยิ้มออกมาให้เห็นฟันขาว "ไอ้ไพร่เอ็งมองคุณหนูของข้าทำกระไรวะ!" บ่าวรับใช้ดุแก้วที่ยืนมองเจ้านายของนางอยู่นาน "ปะ เปล่าจ้า ข้าเพียงหันมาตามกลิ่นหอมเท่านั้นไม่มีกระไรดอก" แก้วรีบก้มหน้าต่ำที่ถูกตำนิแต่ยังแอบชำเลืองมองหญิงสาว "นังเมี่ยง เอ็งไปหาเรื่องเขาได้เยี่ยงใด เดี๋ยวเถอะเอ็ง" หญิงสาวเอ็ดบ่าวรับใช้ก่อนจะหันไปรับของจากแม่ค้าส่งของให้บ่าวติดตามแล้วหันมามองแก้วนิดหนึ่งแล้วเดินจากไป แก้วยืนอย่างนอบน้อมเมื่อหญิงสาวเดินผ่าน พอหล่อนเดินห่างพอสมควรจึงรีบถามแม่ค้าว่าหญิงสาวเป็นผู้ใด "ป้ารู้จักแม่หญิงผู้นั้นหรือไหมจ้ะ" "แต่งตัวแบบสาวเมืองละโว้กระมัง ข้าเองก็ไม่รู้จักพึ่งเคยเห็นหน้า" นางไม่รู้จักแต่สามีนางพูดสวนขึ้น "คุณหนูบัว ลูกสาวท่านเศรษฐีปากน้ำโพกับแม่นายพุดซ้อนหลานท่านพระยาภักดีฯ ที่เกษียณตัวน่ะ นางพึ่งมาอาศัยที่เรือนท่านติดกับเรือนนายเอ็งนั่นแหละ ข้าไปส่งของเจอถึงสองครา" "ช่างงามเหลือเกิน รูปงามนามเพราะ ชื่อบัว... คุ้นๆ เหมือนจะเคยได้ยินคุณหญิงพูดถึง" ขุนวิชิตเดินมาหาแก้ว เรียกอยู่สองทีแต่แก้วก็ไม่หันมามองเขาจึงตบเข้าที่หัวทีหนึ่งแก้วถึงกับตื่นจากความฝัน "เอ็งยืนทำกระไรอยู่ตรงนี้ แล้วนี่ที่ข้าให้เอ็งซื้อน้ำมันตะเกียงเอ็งซื้อหรือยัง" "ได้แล้วขอรับ" "ได้แล้วก็กลับกัน เอ็งนี่ชักวิปลาสขึ้นทุกวัน" ขุนวิชิตบ่นแก้วอย่างหงุดหงิด เดินนำหน้าไปยังท่าเรือโดยนายม่วงได้เตรียมเรือรอแล้ว ระหว่างทางแก้วยังคงคิดถึงใบหน้าอันงดงามของหญิงสาวอยู่ ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยใครงดงามเท่าหล่อนมาก่อน "กลับมาแล้วจ้า! ข้าหิวยิ่งนักป้าศรีมีอะไรให้ข้ากินหรือไม่" "มึงก็แหกตาดูสิวะ กลับมาก็ถามหาของกินเลยนะเอ็ง" แก้วตรงไปรื้อสำรับกับข้าวที่วางอยู่บนแคร่ไม้ไผ่อย่างหิวโหย ถึงแม้เขาจะเป็นบ่าวรับใช้แต่ท่านพระยาไชยากรก็ไม่เคยให้บ่าวในเรือนอดอยากเหมือนบ่าวเรือนอื่นที่กินแต่น้ำพริกผักต้ม เขาหยิบปลาย่างยัดใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย ม่วงบ่าวรุ่นพี่ได้มานั่งสมทบอีกคน "นี่พวกมึงไปตายอดตายอยากมาจากไหนกัน กินอย่างกับปอบลง" "ป้าศรีจะบ่นกระไรหนักหนาข้ากับพี่ม่วงตามท่านขุนไปแต่เช้าโน้น....ข้าวปลายังไม่ตกถึงท้องเลย" แก้วพูดทั้งที่ข้าวเต็มปาก ป้าศรีเอากระบวยตักน้ำเคาะหัวไปที่หนึ่ง "สอนไม่รู้จักจำมือก็ไม่ล้างประเดี๋ยวท่านมาเห็นเข้าจะเอ็ดเอาหาว่าข้าไม่รู้จักสั่งสอน" ถึงจะอยู่ในครัวนางก็อยากจะให้ทุกคนวางตัวให้เรียบร้อย เวลาขึ้นรับแขกบนเรือนใหญ่จะได้ไม่ขายหน้าเจ้านาย "พอๆ ๆ ป้าจะบ่นกระไรหนักหนาหูข้าจะหนวกอยู่แล้ว! บ่นตั้งแต่เด็กไม่เบื่อรึ" "เบื่อสิวะ! กูล่ะชังน้ำหน้ามึงนักกูเลี้ยงมึงมาแต่เด็กมึงยังเถียงคำไม่ตกฟาก! เดี๋ยวแม่ตบกบาลแยกเลยนี่!" ป้าศรียืนเท้าสะเอวด่าแก้วฉอดๆ เล่นเอาบ่าวไพร่ที่อยู่แถวนั้นแตกหนีกระเจิงไปคนละทาง แก้วคว้าปลาย่างติดมือได้ตัวหนึ่งก็กระโดดลงจากแคร่ไม้ไผ่วิ่งหนีไปทางท่าน้ำปล่อยให้ป้าศรียืนด่าอยู่คนเดียว แก้วไม่ถือสาเพราะที่นางพูดส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องจริงและนางก็หวังดีกับเขา ตั้งแต่อยู่ที่นี่มานอกจากคุณท่านบนเรือนก็มีป้าศรีกับลุงเจิมผู้เป็นสามีที่เลี้ยงดูเขาอย่างกับลูกหลานนางเอง เสียแต่นางปากจัดบ่นไปทุกเรื่อง ขนาดคุณท่านบนเรือนยังโดยนางเอ็ดอยู่บ่อยครั้ง จนไม่รู้ใครเป็นนายเป็นบ่าวแต่ก็ไม่มีใครถือสานาง "ไอ้แก้วเอ็งมาที่ท่าน้ำอีกแล้วรึ" ท่านพระยาไชยากรกับคุณหญิงน้ำทิพย์พากันมาเดินเล่นคลายร้อนที่ท่าน้ำเจอแก้วนั่งกินปลาย่างอยู่จึงถามไถ่ "เหตุใดเอ็งไม่นั่งกินที่ครัวให้ดีๆมานั่งกินตรงนี้อย่างกับเจ้าไม่มีศาล" คุณหญิงดูจะขัดใจกับกิริยาคนในปกครอง "ป้าศรีแกผีเข้าน่ะขอรับ บ่นบ่าวจนหูจะเป็นน้ำหนวกแล้ว" ท่านได้แต่ส่ายหัวระอาที่ทั้งสองทะเลาะกันได้ทุกวัน "เออนี่แม่ทิพย์ เจ้าได้รับข่าวจากคนที่เรือนพระยาภักดีฯ เรื่องจัดงานต้อนรับหลานสาวที่มาจากปากน้ำโพลูกแม่พุดซ้อนหรือยัง" "อีฉันทราบแล้วเจ้าค่ะ เป็นแม่บัวไม่เจอหน้าตั้งหลายปีเห็นบ่าวในเรือนโน้นว่านางช่างงามยิ่งนัก" "งามจริงขอรับ กระผมเห็นที่ตลาดเมื่อตอนสาย ผิวนางขาวอย่างกับปุยนุ่น เสียงก็ใสอย่างกะนกการเวก" แก้วพูดอย่างเเคลิบเคลิ้มไปกับใบหน้าหญิงสาว "เอ็งเห็นใครก็งามหมดนั่นและขนาดไก่ยังเลี้ยงเป็นลูก" คุณหญิงเอาพัดตีหัวแก้วเบาๆ อย่างเอ็นดู "ไอ้แก้วเอ็งมาอยู่เรือนนี่กี่ปีแล้ว" พระยาไชยากรถามขึ้น คุณหญิงน้ำทิพย์หันมองหน้าสามีอย่างสงสัยว่าถามทำไม "สิบเอ็ดปีเห็นจะได้ทำไมขอรับ หรือว่าคุณท่านจะไล่กระผมออกจะเรือน! ไอ้แก้วไม่ไปนะขอรับไอ้แก้วทำผิดกระไรคุณท่านจะเฆี่ยนบ่าวอย่างไรก็ได้แต่อย่าไล่ออกจากเรือนเลยนะขอรับ!!" แก้วเกาะแข้งเกาะขาท่านไม่ยอมไปไหน "เฮ้ยไอ้นี่! ฟังข้าก่อนสิวะ! ชักนะติดนิสัยนังศรีซะแล้ว ไม่ฟังข้าพูดให้จบเสียก่อนก็ตีโพยตีพายเสียยกใหญ่!!" ท่านพระยาฯดุแก้วเสียงดังอยากจะเอาไม้ฟาดสักที "ข้าแค่อยากรู้ว่าเอ็งนี่ก็โตแล้ว คิดการภายหน้าไว้อย่างไร แล้วเอ็งมีหญิงคนใดหมายตาไว้หรือไม่ก็แค่นี้แหละ!" แก้วปล่อยขาท่านลูบหัวอายๆที่ตีโพยตีพายไปก่อน "แล้วนะให้เรียกลุงก็ไม่ยอมเรียก จะส่งไปเรียนที่วัดก็ไม่ไปชอบนักนะเป็นขี้ข้าเขา ผ้าผ่อนดีๆให้ไว้ก็ไม่ใส่เออ...ไอ้นี่ก็แปลกคน" พระยาไชยากรยกไม้ตะพดในมือเคาะหัวแก้วหนึ่งที เสื้อผ้าเนื้อดีที่ท่านเคยให้คุณยิ้มก็เอาไปเผาทิ้งเขาไม่ได้บอกท่านกลัวจะมีเรื่องให้เจ็บตัวอีก "อย่าให้ขี้กากขึ้นหัวบ่าวเลยอยู่อย่างนี้ก็สุขดีแล้วมิได้ลำบากกระไร ที่ดูจะชอบบ่าวอยู่บ้างก็มีแม่แตงอ่อนลูกสาวตามีขายผักที่ตลาดน่ะขอรับ แต่นางยังไม่ได้ว่ากระไรด้วยพ่อนางก็ชังน้ำหน้ากระผมยิ่งนักที่ไม่มีเบี้ยอัฐอันใดเป็นแค่บ่าวรับใช้ แลไอ้โชคมันเคยหลุดไปจิกกินผักตามีแกเอาไม้ไล่ตีกระผมกับไอ้โชคเกือบตายแหนะ แต่กระผมมองนางเยี่ยงน้องสาวยังไม่ถึงขั้นคนรักขอรับ" แก้วเล่าถึงหญิงสาวคนสนิทนะตอนนี้ให้ท่านทั้งสองฟัง ท่านพระยาได้แต่ปลอบไม่ให้คิดมากเพราะแก้วเป็นคนดีสักวันพ่อนางต้องเห็นใจ เรือนพระยาภักดีดำรงค์ "คุณหนูบัวเดินเบาๆ สิเจ้าคะ ประเดี๋ยวโดนเอ็ดอีกว่า.." "เป็นม้ากระถืบโรง ข้าละขี้คร้านจะฟังก็โดนเอ็ดเช่นนี้ทุกเพลาแล้วเอ็งจะสนไย" บัวยืนเท้าสะเอวพูดจาเสียงดัง เมี่ยงรีบดึงมือนางออกจากเอวเกรงผู้ใหญ่จะมาเห็น "กลับมาแล้วรึแม่บัว หายหน้าหายตาไปแต่ย่ำเช้าเชียวนะยะนังชะนี ยายบอกเจ้าแล้วว่าเป็นแม่หญิงอย่าได้ตระเวนไปไหนมาไหนผู้เดียว" คุณหญิงประยงค์นายหญิงของเรือนเดินออกมาจากหอนอนเห็นหลานสาวตัวดีเดินกระทืบเท้าตึกตักขึ้นเรือนมาก็ไม่พอใจ "เมี่ยงกับยอดก็ไปด้วยเจ้าค่ะ" "ยังจะมาเถียงอีก! บางทีเจ้าควรจะโดนหวายทวนหลังสักทีสองทีคงจะหลาบจำ" "อยู่ฟากกระโน้นคุณหนูเคยโดนแม่นายพุดซ้อนเฆี่ยนแล้วเจ้าค่ะ แต่ไม่จำ..." เมี่ยงฟ้องคุณหญิงประยงค์ผู้เป็นยาย บัวหันหน้าไปมองก่อนจะเขวี้ยงดอกไม้ในพานใส่เมี่ยง "เดี๋ยวเหอะ! ต่อหน้าต่อตายายยังกิริยาสามหาวเช่นนี้ ตายแล้ว... โตเป็นสาวเต็มวัยไม่นานจะออกเรือนไม่มีความเป็นกุลสตรีเอาเสียเลย พ่อไม่สอนสั่งเอาแต่ตามใจกันจนจะเสียคน" "ก็ไม่ต้องแต่งสิเจ้าคะ หลานก็ไม่อยากแต่งยังจะบังคับอีก" บัวกอดอกทำหน้ามุ้ย นึกถึงใบหน้าของหมื่นพิพัฒน์คู่หมั้นที่ตอนเด็กช่างอ้วนกลมปานหมู่ในเล้า "เจ้ากับหมื่นพิพัฒน์นั้นถูกหมั้นหมายมาตั้งแต่เล็ก แลทางครอบครัวหมื่นพิพัฒน์ก็มีบุญคุณกับคุณตายิ่งนักสมัยที่ตาเจ้ายังถวายงาน ยายก็เห็นด้วยกับคุณตาที่จะยกเจ้าให้กับทางโน้นเขา แลไม่มีกระไรจะเหมาะสมไปกว่านี้ จงทำใจเสียเถิด ประเดี๋ยวอยู่กันไปจะรักกันเองเหมือนตากับยายแหละ" บัวได้แต่นั่งฟังผู้เป็นยายพูดด้วยความเศร้าใจที่ตนเกิดเป็นหญิงยากที่จะทำตามใจตนเอง ไม่เหมือนพี่ชายทั้งสองของตนที่อยากทำอะไรก็ทำ จะมีเมียกี่คนก็ได้ นึกแล้วก็อยากจะหนีออกจากเรือนเสียให้รู้แล้วรู้รอด "เมี่ยง... ชู...อย่าเสียงดัง ไปเล่นน้ำกัน..." บัวฟังคุณยายบ่นจนท่านเอนหลังหลับไปจึงชวนบ่าวไปเล่นน้ำแต่นางถูกปฏิเสธด้วยกลัวโดนหวาย "ข้าไปเองก็ได้" บัวลงเรือนไปเมี่ยงได้แต่วิ่งตามไปติดๆ "คุณหนู! คลองที่นี่ไม่เหมือนบ้านเราประเดี๋ยวเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น!" บัววิ่งไปทางท่าน้ำแต่ต้องสะดุดตาเข้ากับวัวเทียมเกวียนที่จอดไว้ในสวนยังไม่ได้เอาวัวทั้งสองตัวออกไปขังไว้ที่คอก "วัวเทียมเกวียน เมี่ยงขี่เกวียนเล่นกัน!" "ไม่นะเจ้าคะ!!" บัวไม่ทันฟังเสียงห้ามถลกผ้าซิ่นกระโดดขึ้นนั่ง หล่อนสะบัดเชือกค่าวส่งสัญญาณให้วัวเดิน แต่หล่อนคงลงมือแรงเกินไปจึงเป็นเหตุให้วัวทั้งสองตัวตื่นตกใจวิ่งเตลิดไปทางทุ่งนาที่อยู่ห่างออกไปจากตัวบ้านราวหนึ่งไร่ บ่าวไพร่ที่ทำงานอยู่แถวนั้นแตกกระเจิงหนีตายกันท้วนหน้า "เมี่ยง!! ฉิบหายแล้ว!!!" "คุณหนู!!!" บัวร้องลั่นพยายามบังคับวัวให้หยุดวิ่ง "ยูๆ ๆ ๆ ๆ!! โว้ย!! หยุดสิวะ!! อ๊าก!!" วัวเทียมเกวียนพาบัววิ่งตามคันแทนาก่อนจะพลิกคว่ำพลิกหงายอยู่สองตลบจนตัวหล่อนตกลงข้างคันแทนาหน้าทิ่มลงปักควายผ้าผ่อนท่อนสะไบเลอะเปรอะเปื้อนไม่เหลือคราบคุณหนูลูกตระกูลผู้ดีเก่า "โอ้ย... เจ็บ..." "คุณหนูเจ็บตรงไหนบ้างขอรับ!!" ยอดกับเมี่ยงวิ่งตามมาดูหน้าซีดเผือด ทั้งสองรีบพยุงบัวให้ยืนขึ้นแต่หล่อนกลับฉุดแขนทั้งสองคนอย่างแรงให้ล้มลงคลุกกับปักควายด้วยกันก่อนจะส่งเสียงหัวเราะเยาะสะใจที่ได้แกล้งคน "นังบัว!!" เสียงคุณหญิงประยงค์ลอยกระทบหู สรรพนามของบัวถูกเปลี่ยนบ่งบอกถึงอารมณ์โกรธของท่านจนถึงขีดสุด บัวที่หน้าตาเนื้อตัวมอมแมมยืนตรงทำตัวไม่ถูกรีบดึงยอดกับเมี่ยงมาบังกาย เมี่ยงเสียวสันหลังวาบขนลุกชันทั้งตัวคิดว่าวันนี้บัวไม่รอดน้ำมือท่านแน่นอน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD