"พ่อชิดหน้าเครียดอันใดหรือ แม่เห็นตั้งแต่เจ้าแก้วกลับมาก็เอาแต่ก้มหน้าก้มกับเอกสารนานแล้ว"
"คุณแม่ไม่ต้องห่วงลูกดอก แค่ของหายจากคลังสินค้าพวกฝรั่ง"
"อืม...เดี๋ยวนี้พวกต่างด้าวเข้ามาทำการค้ากับชาวสยามเยอะขึ้น มีทั้งจีน แขก ฝา-หรั่ง บ้านเมืองก็จำเริญตา ศึกสงครามก็ไม่มีแม่ก็อุ่นใจนัก ไม่เหมือนสมัยคุณยายคุณตาของเจ้า ทำศึกสงครามนานปีที่พระตะบองกว่าจะกลับบ้านกลับเรือนแม่นี่แทบลืมหน้าตาเจ้าทีเดียวเทียว"
คุณหญิงน้ำทิพย์นั่งเล่าเรื่องราวสมัยที่นางเป็นเด็กให้ลูกฟัง พลางสั่งงานบ่าวไพร่เร่งมือร้อยพวงมาลัยไหว้พระตอนเย็น
"แหม... นายหญิงตอนนั้นช่างน่าชังด้วยนะเจ้าคะหน้าเหมือนคุณปิ่นยังกับแฝด"
"นังศรี เอ็งก็พูดไปข้าก็อายเป็นนะเล่นชมข้าต่อหน้าลูก แต่ตอนนี้ก็ยังสาวอยู่นะ"
ท่านทำท่าเขินอายเล็กน้อย ตอนนี้ถึงจะอายุเข้าเลขหกแต่ยังดูสง่างามอ่อนกว่าวัยอยู่มาก
"ตอนนี้พระองค์ทรงให้อิสระในการทำการค้า พวกต่างด้าวเข้าทำการค้ามากขึ้นถึงขั้นจะเปิดบริษัทการค้าเชียวนะคุณแม่ เร็วนี้อาจจะมีการทำสัญญาการค้ากันอีกหลายสัญญา"
ขุนวิชิตกล่าวพลางจิบน้ำชา เขาถือว่าเป็นหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งอายุยี่สิบเก้าปี มีหน้าที่คอยดูแลจัดเก็บค่าระวางจากเรือที่ขนส่งสินค้าที่เข้ามาในสยาม การงานก็เจริญรุ่งเรืองด้วยเป็นคนดีมีความสามารถผู้ใหญ่จึงให้การสนับสนุน จะขาดเสียแต่คู่ครองที่ยังหาคนที่เหมาะสมคควรกับเขาไม่ได้ ด้วยเขาเป็นคนหัวสมัยใหม่คุณหญิงน้ำทิพย์ท่านจึงไม่กล้าคลุมถุงชนแต่ก็มีพามาดูตัวอยู่บ้าง
"แม่ก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องกระไรนักหรอกนะ เอาเถิด ขอให้สยามเรารอดปลอดภัยจากสงครามแค่นั้นก็พอแล้ว เออนี่แม่ปิ่นไปซนที่ใดล่ะหายหน้าอีกละ"
"เห็นวิ่งตามไอ้แก้วไปแถวแปลงผักโน้นแน่ะ บอกว่าจะรอให้ไอ้แก้วปั้นตุ๊กตุ่นตุ๊กตากระไรนี่แหละเจ้าค่ะ"
คุณหญิงน้ำทิพย์ถามหาปิ่นลูกสาวคนที่สามที่เป็นลูกหลงอายุพึ่งเจ็ดปีแต่ติดแก้วอย่างกับแฝด
"มันไปปลูกผักทำไมกัน? ไอ้นี่ก็แปลกคนเหมือนจะเป็นคนขี้คร้านแต่บางทีก็ขยัน เอาแน่เอานอนกระไรไม่ได้สักอย่าง"
"มันมาขอลูกปลูกผักว่าจะเอาไปขายที่ตลาด สงสัยอยากจะแต่งเมียกระมังขอรับ"
ขุนวิชิตเพียงคาดเดาไปอย่างนั้น
"อืม... นางแม่ค้าที่ตลาดนั่นกระมัง"
คุณหญิงน้ำทิพย์นึกถึงคำพูดแก้วว่าคุยกับแม่ค้าขายผักที่ตลาด
"ผู้ใดรึเจ้าคะ! งามหรือไม่ลูกเต้าเหล่าใครข้าเจ้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย! ถ้าไม่ดีข้าเจ้าไม่ยกเจ้าแก้วให้นะ!"
ป้าศรีพุ่งตัวมาถามอย่างสนใจแต่ไม่ได้รับคำตอบ
"แน่ะ! ที่เช่นนี้ทำมาหวงมันปกติด่าอย่างกับมันเป็นลูกหมาเชียว"
คุณหญิงน้ำทิพย์ทำรำคาญหันหน้าหนีไปทางอื่นปล่อยป้าศรีบ่นพึมพำคนเดียว
ที่แปลงผักติดท่าน้ำห่างจากเรือนพระยาไชยากรเล็กน้อย แก้วขมักเขม้นพลวนดินและรดน้ำแปลงผักที่มีอยู่หลายแปลง ปกติจะมีบ่าวคนอื่นดูแลงานแต่เขาขออนุญาตปลูกผักของเขาเองห้าแปลง ใกล้ๆกันคุณหนูปิ่นลูกสาวคนเล็กของพระยาไชยากรนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่กับพี่เลี้ยง
"พี่แก้วเร็วๆสิหนูปิ่นร้อน!"
เด็กหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มเรียกหาเมื่อไม่ได้รับความสนใจ
"คุณหนูจะร้อนกระไรนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ไอ้แก้วสิร้อนแดดจะตายอยู่แล้ว!"
แก้วบ่นพลางตักน้ำรดผักอย่างเร็วเอามือปาดเหงื่อที่ไหลออกมาจนผมเริ่มเปียกโชก
"คุณหนูกลับขึ้นเรือนไปเถอะประเดี๋ยวแม่นายเอ็ดเอา"
"ไม่เอา! หนูปิ่นจะรอพี่แก้วปั้นควายให้ คราก่อนที่พี่แก้วปั้นไก่ให้ขามันหักไปข้างหนึ่งหนูปิ่นอยากปั้นใหม่"
ช่างเอาแต่ใจเสียจริงแม่คุณ... เป็นน้องเป็นนุ่งข้าจะจับตีก้นให้หลาบจำ เอ๋...ผักต้นนี้ออกใบประหลาดนักทำไมมันแหวงๆ หว่า
แก้วนั่งย่องๆ ดูใบผักที่เขาซื้อเมล็ดมาจากเถ้าแก่ชาวจีน เขาเดินไปดูต้นอื่นก็เป็นเหมือนกันข้างๆ ใบเขาเห็นหนอนตัวเล็กกัดกินใบผักอย่างเอร็ดอร่อย
"นี่เอ็งบังอาจมากนะที่กล้ามากินผักข้า! อยากตายมากรึ!!"
แก้วหยิบหนอนออกจากผักก่อนจะบี้จนตายคามือ เขาคิดอะไรออกหยิบหนอนตัวโตสุดที่เหลือเดินย่องมาข้างหลังปิ่นที่กำลังเล่นหม้อข้าวหมอแกง
"แฮ! "
"กรี๊ด... หน้ากลัวจัง! "
"ฮ่าๆๆๆ!"
แก้วหัวเราะตัวโย่งที่ปิ่นกับบ่าวแตกกระเจิง
"จะกลับขึ้นเรือนหรือจะให้บ่าวเอาหนอนใส่เข้าไปในจุก! "
"ปิ่นไม่กลับ! "
"ไม่กลับรึ นี่แหนะๆ ๆ! "
"กรี๊ด... กลัวแล้วๆ! "
ปิ่นกอดบ่าวคนสนิทแน่นน้ำตาปิ่มๆ ด้วยความกลัว
"เอะอะกระไรกันเสียงดังไปทั่ว"
ขุนวิชิตเดินมาตามน้องสาวกลับเรือนทองปิ่นที่กระโดดโหยงเหยงไปมา
"คุณหนูปิ่นนะสิเจ้าคะ! ไม่ยอมกลับเรือนไอ้แก้วเลยเอาหนอนตัวบักเอกมาหลอกคุณหนูให้กลับเรือนเจ้าค่ะ! "
"เอ็งนี่ช่างวิกลประไร เด็กอยู่ดีๆก็ทำให้ร้องให้ แล้วดูมาตากแดดเยี่ยงนี้เดี๋ยวหนูปิ่นก็เป็นลมแดดไปแทนที่จะไปเรียกคุณแม่มาตามมีรึแม่ปิ่นจะกล้าขัด"
ขุนวิชิตเขกมะเหงกแก้วเพื่อลงโทษ
"นังพวงพาหนูปิ่นกลับเรือน"
"น้องไม่ไป!"
"เดี๋ยวนี้/เดี๋ยวนี้ขอรับ/เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!!"
แก้ว พวง ขุนวิชิตพูดพร้อมกัน ปิ่นหน้างึมบ่นตามประสาเด็ก ก่อนไปเด็กหญิงเหยียบเท้าแก้วอย่างแรงเท่าแรงมดเขาจึงแกล้งเจ็บให้เด็กหญิงดีใจเสียหน่อย ขุนวิชิตขำทั้งสองที่เล่นกัน แต่ไหนแต่ไรก็มีแต่แก้วที่คอยเล่นเป็นเพื่อนปิ่นเพราะเขาต้องทำงานอยู่ตลอดไม่ว่างเล่นด้วย ส่วนแม่วาดน้องสาวอีกคนก็ออกเรือนไปกับนายทหารหนุ่มอนาคตไกลเมื่อปีที่แล้วนานๆถึงกลับเรือนครั้ง
"เอ็งคิดกระไรถึงมาปลูกผักทำครัวหึ หรือหาอยากแต่งเมีย แหม...อายุยังไม่ถึงยี่สิบจะรีบมีเมียไปทำไม"
ขุนวิชิตเหล่ตาดูพยายามจับพิรุธแก้ว
"ไม่ดอก เพียงอยากจะปลูกผักไปขายที่ตลาดเก็บเงินเก็บเบี้ยไว้ตามหาคุณพ่อกับแม่เท่านั้นเองขอรับ"
เอ่ยถึงพ่อแม่หน้าแก้วก็เศร้าขึ้นมาทันที
"อืม...ข้าเข้าใจเอ็ง ข้าก็จะหาข่าวช่วยอีกแรง แต่นี่ก็หลายปีแล้วไม่ทราบปานนี้เป็นเช่นไรกัน เลิกเศร้าได้แล้ว วันพรุ่งเอ็งไปกับข้าจะไปหาของฝากบ้านโน้นจะมีงานใหญ่"
"งานคุณหนูบัวรึขอรับ"
แก้วนึกถึงใบหน้าหญิงสาว
"เอ็งรู้? อืม...งานเลี้ยงต้อนรับ แลคุณหนูบัวจะหมั้นหมายกับหมื่นพิพัฒน์ เห็นว่าสมกันยิ่งนัก ข้าก็ไม่รู้สมกันเยี่ยงไรคนหนึ่งหน้าตางดงามปานนางในวัง อีกคนก็รูปชั่วตัวดำข้าเห็นขัดตานัก"
ขุณวิชิตวิจารณ์รูปร่างหมื่นพิพัฒน์เกินความเป็นจริงด้วยไม่ค่อยชอบนิสัยใจคอชายหนุ่ม แก้วพอได้ยินว่าคุณหนูบัวจะหมั้นหมายก็ใจหายแวบ พึ่งจะเห็นหน้ากันสองครั้งก็จะจากกันเสียแล้ว เขายอมรับว่าเขารู้สึกชอบบัวตั้งแต่แรกเห็น ก็ได้แต่ทำใจด้วยฐานะที่แตกต่างกันราวฟ้ากับก้อนดิน