บัวน้ำตาซึมเดินมุ่งหน้าไปศาลาริมน้ำเมี่ยงกับยอดเดินตามไม่ห่าง หล่อนนั่งเศร้าอยากจะร้องออกมาดังๆ เมี่ยงได้แต่ปลอบใจเจ้านาย
"คุณหนูบัวอย่าคิดมาสิเจ้าคะ หัวหมื่นท่านแลดูเหมาะสมกับคุณหนูดีไม่ว่าจะชื่อเสียง ชาติตระกูลทรัพย์สมบัติแลหน้าที่การงานก็จำเริญก้าวหน้ายังมีกระไรต้องห่วงอีกละเจ้าคะ"
เมี่ยงไม่เห็นจะเสียหายอะไรถ้าเจ้านายตนจะออกเรือนกับหมื่นพิพัฒน์
"นังเมี่ยง แต่ข้าไม่ชอบใจคอไอ้หมื่นสุกรนั่นเอ็งชอบก็แต่งเองสิ ข้าเป็นคนมิใช่หมาแมวจะได้ยกให้ใครง่าย เอ็งไปไกลๆเท้าเลยไปข้าอยากอยู่คนเดียว!"
บัวไล่ตะเพิดเมี่ยงกับยอดให้พ้นหน้านั่งลงกอดเข่าร้องไห้ให้กับตนเองที่ต้องมาแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก หล่อนมัวแต่เสียใจจนไม่ทันดูว่าที่นั่งอยู่นั้นเป็นศาลาริมน้ำเรือนพระยาไชยากร แก้วถือแหหวังจะออกเรือไปหาปลามาใส่ครัวเสียหน่อยเห็นบัวนั่งกอดเข่าอยู่จึงนั่งลงใกล้ๆ เขาเดาว่าคงจะทะเลาะกันเรื่องหมื่นพิพัฒน์เพราะพี่ชายหล่อนมาปรึกษาขุนวิชิตอยู่บ่อยครั้ง เขารู้สึกสึกสารบัวที่ตกอยู่ในสภาพนี้ ถ้าเป็นเขาคงจะอยู่ในสภาพเดียวกันกับหล่อน
ตึกตัก... ตึกตัก...
แก้วรู้สึกหัวใจเขาจะเต้นแรงทุกครั้งที่อยู่ใกล้บัว หรือว่าขาจะชอบบัวเสียแล้ว แต่คงเป็นไปไม่ได้เพราะบัวกำลังจะเป็นของคนอื่น และถึงแม้บัวจะไม่มีใครคนอย่างเขาก็ไม่อาจเอื้อมที่จะคว้าหล่อนมาครองอยู่ดี เขาต้องเจียมกะลาหัวไว้
แก้วขยับตัว บัวเอ่ยไล่เพราะคิดว่าเป็นเมี่ยงหล่อนยังคงซุกหน้าร้องไห้ต่อไม่หันมามองคนข้างๆ ชายหนุ่มนั่งนิ่งปล่อยให้หล่อนร้องไห้ออกมา เขายกมือจะจับบ่าหล่อนแต่ไม่กล้า
"อยากร้องก็ร้องออกมาเถิดขอรับคุณบัว อย่าห้ามน้ำตาเลยเผื่อจะได้สบายใจขึ้น ทุกคนต่างก็เคยร้องไห้กันทั้งนั้น"
แก้วผู้มีประสบการณ์มาก่อนแนะนำ บัวหันมามองแก้วก่อนน้ำตาจะไหลออกมาเป็นสาย
"ไม่ต้องทำมาพูดดี! อยากจะสมน้ำหน้าก็ว่ามาเถอะ เจ้าน่ะดีจะตายถึงจะเป็นบ่าวแต่ก็มีอิสระอยากจะทำกระไรก็ได้ ผิดกับข้าแม้แต่จะหายใจยังผิด เกิดเป็นหญิงจะทำกระไรก็มิได้เดี๋ยวนั่นไม่ดีนี่ไม่งาม! โว้ย! อยากตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย!!"
หล่อนผลักแก้วไปไกลตัว หันหน้าไปมองแม่น้ำที่วันนี้ดูไหลนิ่งผิดปกติ
"มีอิสระงั้นหรือ... หึ หึ หึ ใช่.... ที่บ่าวมีอิสระเสรีอยากทำกระไรก็ได้ทำแต่มิใช่ทั้งหมด รู้ไหมเบื้องหลังมันมีบุญคุณกับความกตัญญูค้ำคออยู่ ต้องคอยระวังตัวอยู่ตลอดเวลากลัวว่าจะทำท่านเสียชื่อ ต้องคอยทำงานทุกอย่างรับใช้ท่านเสี่ยงตายก็หลายครา ต้องยอมให้คุณยศกดขี่ต้องคอยฟังคำพูดดูถูกสารพัดเมื่อท่านคอยปกป้อง ถูกหาว่าเป็นพวกขี้ประจบสอพอบ้างละและอีกสารพัด"
บัวมองหน้าแก้วไม่อยากเชื่อหูตนเองแก้วยิ้มบางๆ ให้ทำหน้าซื่อเหมือนไม่ได้พูดอะไร
"นี่...หันหน้าไปสิจะมองทำไมกัน ฮือ...ฮือ...ข้าก็อายเป็นนะอยู่ๆก็มานั่งร้องไห้ให้ผู้อื่นเขาเวทนา"
"จะอายทำไมมิได้ทำกระไรผิดเสียหน่อย ใช่ว่ากระผมจะไม่เคยร้อง นี่นะตอนเด็กๆแอบมานั่งร้องไห้ประจำคิดถึงแม่ก็ร้อง ถูกคุณยิ้มก็ร้อง ท้องเสียยังร้องเลย มีครั้งหนึ่งบ่าวท้องเสียเจ็บท้องมากจนร้องไห้ไปขี้แตกไปปูดป้าดปูดๆ ยังมิอายเลย"
แก้วพูดติดตลก เขาแค่อยากให้เธอเลิกร้องไห้
"บ้า...ฮึๆ มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละร้องไห้ไปถ่ายท้องไปทุเรส" บัวหัวเราะทั้งน้ำตา
"เอ๊า พึ่งรู้หรือว่ากระผมนะคนบ้าแบ้!!"
แก้วแหย่บัวแกล้งเป็นคนบ้าใบหน้าเต็มไปด้วยดินดำๆ ไม่รู้แก้วแอบเอามาทาหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่หล่อนไม่ทันเห็น บัวหยุดร้องไห้แล้วหันมาหัวเราะในท่าทางไม่เต็มของแก้ว รู้สึกสบายใจขึ้นมาก หล่อนดึงชายเสื้อของแก้วมาสั่งน้ำมูกออกอย่างไม่อาย
"อี๋...เป็นแม่หญิงแอบซกมกนะ อะล้อเล่น... ก็ไม่ได้ว่ากระไรแค่เสื้อตัวนี้คุณชิดพึ่งสั่งตัดให้ใหม่แค่นั้นเอง... บ่าวพูดเล่นเช็ดไปเถิด"
บัวเอาชายสะไบตนเองมาเช็ดหน้าตาลวกๆ นิ่งมองสายน้ำที่ไหลเฉือยคิดถึงบ้าน
"กระผมใคร่จะถามหลายคราแล้ว ตกลงคุณหนูอยู่ปากน้ำโพเมืองนครสวรรค์หรืออยู่ที่พิษณุโลกเมืองสองแคว เห็นคราแรกแต่งกายคลายสาวเมืองละโว้" แก้วหาเรื่องคุย
"อ๋อ... ปกติอยู่ที่ปากน้ำโพนครสวรรค์จ้ะ บ้านปู่กับย่าอยู่ที่พิษณุโลกข้าเลยเทียวไปเทียวมา พ่อข้าเป็นพ่อค้าเดินทางไปทั่วแหละ บ้างก็อยู่ตาคลี บ้างก็อยู่ที่โกรกพระ ไปดูกิจการที่ท่าตะโก ปีที่ข้าเกิดแม่ข้าไปได้ข้ากลางป่าที่หนองบัวจึงได้ชื่อว่าบัวอย่างไรเหล่า"
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นานออกจะทะเลาะกันเสียส่วนใหญ่ แก้วหาเรื่องตลกมาเล่าให้หล่อนฟังมากมาย พอบัวสบายใจขึ้นแก้วจึงชวนหล่อนกลับเรือน ป่านนี้ทุกคนคงเป็นห่วงบัวแล้วเขาอาสาเดินไปส่งไม่ทันได้ไปไหนก็เห็นเศรษฐีบุญช่วยยืนขึ้นแถวพุ่มไม้ใกล้ศาลา บัวกลัวพ่อจะดุแก้วที่มาใกล้หล่อนกำลังจะอธิบายแต่โดนขัดก่อน
"ไม่ต้องพูดกระไรทั้งนั้นไม่ได้จะว่า... ข้าเป็นคนมีเหตุผล รู้แล้วว่านั่งปลอบใจกันอยู่... นี่ได้ยินตั้งแต่ขี้ไปร้องไห้ไปแล้ว พอดีพ่อเป็นห่วงเลยตามมาแอบนั่งดูอยู่พุ่มไม้นี่เอง ว่าแต่เอ็งนี่ปลอบใจคนเก่งนะการพูดการจาก็เข้าที แหม่... หน่วยก้านก็เข้าท่าสนใจจะมาเป็นลูกเขยแทนไอ้หมื่นหื่นกามนั่นไหมค่าดองไม่เอาสักบาทเลย"
เศรษฐีบุญช่วยพูดออกมาจากใจจริง ท่านรู้สึกถูกชะตากับแก้วมากและสังเกตุเห็นน้ำใจที่เขามีต่อผู้อื่นอยู่ทุกเมื่อ
"พ่อ!"
"พูดเล่น... ก็ไม่อยากให้ลูกเครียด ไปๆกลับกันได้แล้วขอบน้ำใจเอ็งมากนะที่อยู่เป็นดูแลลูกสาวข้าอย่างดี"
สองพ่อลูกเดินจากไป แก้วยืนมองจนทั้งคู่ลับสายตาเขาไปจึงกลับไปทำการหว่านแหหาปลา ตลอดทั้งวันเขาเอาแต่นึกถึงเรื่องของบัวจนแล้วจนรอดเขาได้ปลาเพียงสองตัว
"เอากับมันสินังศรี ให้อยู่สบายๆมันมิชอบเอ็งเลี้ยงมันดีเกินไปไหม"
คุณหญิงน้ำทิพย์มองแก้วที่วิ่งขึ้นท่าน้ำหายไปทางครัว พอมองไปอีกด้านหนึ่งของเรือนก็เห็นยศกำลังแข่งกันชักว่าวกับสหายเสียงดังสนั่นทุ่ง
"ส่วนคนโน้นก็เกเรไม่รู้ความจนข้ามิอยากพูดด้วย ให้อ่านเขียนก็บ่นขี้เกียจตัวเป็นขน แม่ยิ้มรึก็ตามใจลูกชายซะเหลือเกิน"
ท่านบ่นไปเรื่อยตามประสาคนแก่ คุณยิ้มขึ้นเรือนมาทันได้ยินท่านพูดถึงลูกชายก็ไม่พอใจ
"คุณพี่บ่นถึงลูกชายน้องอีกแล้วหรือเจ้าคะ นั่นหลานชายแท้ๆของคุณพี่นะเจ้าคะ ที่ไอ้ลูกกาฝากนั่นทำกระไรไม่เคยว่าคุณพี่ลำเอียง"
"แม่ยิ้ม ที่ข้าพูดเพราะรักหลานดอกมิเช่นนั้นข้าจะมิใส่ใจจะมิพูดด้วยเลย เมื่อวานมันก็เอารังมดแดงไปใส่ในเรือนนอนของบ่าว รังแกข้าทาสไม่เว้นแต่ละวันเจ้าเลี้ยงลูกตามใจมากเกินไปแล้วหนา ถ้าไม่รีบดัดเสียตอนนี้เกิดเจ้าตายไปลูกเจ้าจะอยู่อย่างไร"
"ก็พ่อยศถูกขังที่เรือนนานแรมเดือนต้องเบื่อเป็นธรรมดา แล้วถึงน้องจะไม่อยู่แล้วพ่อยศคงจะไม่ลำบาก เงินทองทรัพย์สมบัติน้องก็มีมากจะกลัวไปไยใช้จนตายก็ไม่มีวันหมด"
คุณยิ้มเถียงข้างๆ คูๆ รู้ว่าตนสอนลูกผิดครั้นจะดัดนิสัยลูกชายก็เกิดสงสารลงโทษไม่สำเร็จสักที
"พอๆ ๆ แม่ยิ้มเจ้ากับแม่ประยงค์นี่น่าจะเกิดเป็นพี่น้องกันแทนข้าเสียจริง ข้าเตือนได้เท่านี้แล้วแต่แม่จะคิดเอาเถิด นังศรีเข้าครัวได้แล้วประเดี๋ยวลูกข้ากลับจากทำงานมาจะหิว ส่วนลูกใครขี้คร้านก็หากินเองแล้วกัน"
"คุณพี่..."
บัวกลับขึ้นเรือนกับพ่อเดินผ่านหน้าคุณตาคุณยายก็ไม่พูดอะไรเดินเข้าห้องนอนไปเลย
"เข้าหอนอนไปเสียแล้วไม่คิดจะขอโทษผู้ใหญ่ซักคำ เหมือนพ่อมันไม่มีผิด"
คุณหญิงประยงค์มองลูกเขยด้วยหางตา
"พูดตรงๆ พวกกระผมมิชอบนิสัยใจคอหัวหมื่นผู้นี้เลย แล้วกระผมจะบอกให้นะ หัวหมื่นผู้นี้ยังมีชื่อเกี่ยวพันกับคดีลักลอบนำฝ**นเข้าพระนครแลมีชื่อกระทำความผิดหลายคดี อีกทั้งเป็นคนสั่งลูกน้องทำร้ายไอ้เจ้าแก้วเรือนโน้นอีก เช่นนี้เจ้าคุณตาคุณยายยังจะให้น้องแต่งอีกหรือ" พุ่มเล่าให้ผู้ใหญ่ฟังเท่าที่รู้เห็น
"ใช่ๆ พ่อก็มิชอบหน้าเหมือนกัน เจ้าบัวอายุยังน้อยควรที่จะมีเวลาเลือกคู่ครองที่ดีที่สุด นี่ถ้าอยากได้เขยฐานะร่ำรวยยศศักดิ์เท่ากันบอกเลยมีเป็นกระบุงจะหาให้ จะมาถือเรื่องสัญญาบ้าๆ สมัยไหนก็ไม่รู้ พระยาบริรักษ์ก็ตายห่าไปแล้วไม่รู้หรอกว่าสัญญากระไรไว้"
เศรษฐีบุญช่วยและพุ่มชี้แจงข่าวคราวที่ท่านได้ยินมาให้ฟังแต่พวกท่านบอกไม่จริง
"มันเป็นเพียงข่าวโครมลอยของคนขี้อิจฉา เห็นเขาจำเริญเข้าหน่อยก็หาเรื่องกัน เมื่อก่อนข้าก็เคยโดนกลั่นแกล้งกว่าจะอยู่เป็นร่มโพธิ์ให้ลูกหลานได้แทบกระอัก"
เพราะท่านเห็นแต่ด้านดีของครอบครัวหมื่นพิพัฒน์จึงไม่เชื่อข่าวที่ได้รับ ทุกคนอ่อนใจเมื่อไม่มีหลักฐานอะไรมาทักท้วงและท่านก็ยื่นคำขาดเตรียมหาฤกษ์แต่งงานให้เร็วที่สุดพวกท่านเชื่อว่าอยู่กันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง
บัวแอบฟังผู้ใหญ่คุยกันก่อนจะเดินกลับเข้าห้องนอน ไล่เมี่ยงที่กำลังเตรียมเครื่องอาบน้ำให้ออกไปด้านนอกขัดประตูอยากอยู่คนเดียว
"โว้ย! ทำไมข้าต้องแต่งกับหมื่นสุกรนั่นด้วยวะ! ทำไมๆ ๆ !!"
บัวเลิกร้องไห้แล้วแต่แค้นใจแทน หล่อนยอมแต่งกับใครก็ได้แต่ไม่ใช่คนนี้ที่รังเกียจตั้งแต่แรกเห็น ยิ่งนานวันก็ยิ่งเพิ่มทวีคูนขึ้นเรื่อยๆ หล่อนระบายอารมณ์โกรธด้วยการชกหมอนอย่างแรงทั้งดึงจนหมอนขาดคามือ
"อีเมี่ยงส่ายโด่งป่านนี้นายเอ็งไปไหนเสียล่ะ"
นางพุดซ้อนให้คนเตรียมตั้งสำรับแต่ไม่เห็นลูกสาว ปกติถึงเวลารับประทานอาหารบัวจะต้องเสนอหน้าก่อนใคร
"ยังไม่ตื่นเจ้าค่ะ... บ่าวเรียกแล้วคุณหนูไม่ขานตอบ"
"แม่คนนี้นี่ เดี๋ยวจะหยิกให้เนื้อเขียวหัดตื่นสาย ประเดี๋ยวหมื่นพิพัฒน์กับคุณหญิงชมจะมาที่เรือน"
นางเดินไปเคาะที่ห้องนอนอยู่นานกว่าบัวจะมาเปิดประตูหัวยุ่งน้ำท่าก็ไม่อาบ
"ตายแล้ว! นี่เจ้าไม่ผลัดผ้าอาบน้ำตั้งแต่เมื่อวานหรือ! เจ้าบัว!!"
"โอ้ย...เสียงดังจริงแม่ท่าน มีกระไรก็ว่ามาลูกจะนอนต่อ"
นางฟาดฝ่ามือใส่แขนลูกสาวอย่างแรงสั่งให้หล่อนไปล้างหน้าอาบน้ำ เมี่ยงรีบพาบัวไปอาบน้ำเดินสวนกับคุณหญิงประยงค์จึงแกล้งผายลมใส่ ทั้งเสียงทั้งกลิ่นเล่นเอาท่านขมคออ
"หมื่นพิพัฒน์มาอีกแล้วเจ้าค่ะ"
เมี่ยงเห็นบ่าวหมื่นพิพัฒน์ก็จำได้
"มาได้มาดี ไม่มีงานทำหรือไรวะ"
หล่อนคิดหาทางหนีแต่คุณหญิงสั่งบ่าวคุมเข้มห้ามให้บัวออกนอกอาณาเขต
"ได้... ไล่ดีๆมิชอบคงต้องร้ายใส่"
คิดได้เช่นนั้นหล่อนก็แกล้งชนบ่าวที่ถือสำรับอาหารจะขึ้นเรือน
"อีแดงอีชาติไพร่! มึงเดินเหินเยี่ยงไรให้ชนกู!!"
บ่าวที่ชื่อแดงตกใจที่ชนบัวรีบนั่งลงที่พื้นอย่างเจียมตัว
"คะ คุณหนู!! บ่าวขอโทษบ่าวไม่ระวังเอง!!"
นางรีบขอโทษบัวทั้งตกใจที่บัวต่อว่า
"ขอโทษหรือ..."
เพียะ!!
บัวตบเข้าที่หน้าบ่าวอย่างแรงสร้างความตกใจให้ทุกคนอย่างมาก ปกติหล่อนไม่เคยมีกิริยาเช่นนี้ ขนาดบ่าวทำรังมดแดงตกใส่ยังหัวเราะเฉย
"สะไบกูเปื้อนหมดแล้ว! มึงรู้หรือไม่สีครามเช่นนี้มันราคาแพงมึงตายไปสามชาติยังหาคืนกูมิได้!!"
"แม่บัวเอะอะอันใดกัน!"
ผู้ใหญ่บนเรือนลงมาดูเห็นบ่าวกองที่พื้นมือกุมใบหน้าน้ำตาซึม
"มึงไปให้ไกลตีนกูเลยไป๊!!"
"คุณหนู... เบาเสียง..."
"อยากโดนตบอีกคนหรืออีเมี่ยง! อ้าวหัวหมื่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่"
หล่อนทักหมื่นพิพัฒน์ที่ทำหน้ามึนงงกับกิริยาของบัว เมื่อถูกเรียกไปรับประทานอาหารบัวทั้งทานมูมมามทั้งแกล้งเหรอใส่สำรับเล่นเอาหมื่นพิพัฒน์และคุณหญิงชมผู้เป็นแม่รับประทานอาหารไม่ลง
"เอิก!! ฮา... อิ้มจัง แหม่... กินมากอย่างนี้ชักปวดขี้แล้วสิข้าไปขี้ก่อนหนา เอ๊ะ! หรือหัวหมื่นจะไปด้วยกันกลิ่นไม่เหม็นดอกอีกหน่อยเป็นผัวเมียกันก็ต้องทนดมกลิ่นของกันและกัน"
"มะ ไม่ดีกว่าเชิญน้องตามสบาย"
ก่อนไปบัวที่อุตส่าห์ทานไข่เน่าตั้งแต่ตอนอาบน้ำ แกล้งตดออกมาให้เขาดมแล้วรีบวิ่งเสียงดังโครมคราม คุณหญิงประยงค์มองหลานสาวอยากจะเป็นลมที่ทำท่านขายหน้า
"คงจะตื่นเต้นที่คนมาเรือนเลยท้องไส้ปั่นป่วน ต้องขอโทษคุณหญิงชมด้วย"
"มิเป็นไรเจ้าค่ะ ดูนางจะเป็นคนตรงๆดี"
คุณหญิงชมเบือนหน้าหนีเอาพัดโบกสะบัดไล่กลิ่นด้วยสีหน้ารังเกียจ
"คุณหนูตบบ่าวทำไมเจ้าคะ! บ่าวแค่บอกให้เดินเบาๆจะรบกวนแขก!"
"มึงกล้าสอนกูต้องโดนตีนเยี่ยงนี้แหละถึงจะเหมาะ!"
"นี่แม่บัว! เกิดเหตุอันใดขึ้นถึงกิริยาสามห้าวไร้สกุลเยี่ยงนี้!"
"อยู่ปากน้ำโพยิ่งกว่านี้อีกเจ้าค่ะ... ฮือ...ฮือ... ตบตีบ่าวเป็นว่าเล่น... มิพอใจก็โยนของใส่"
"ฟ้องเหรอ....มานี่!"
บัวกระชากแขนเมี่ยงไปยังห้องนอนจากนั้นเสียงโครมครามก็ดังขึ้น
"โอ้ย! บ่าวกลัวแล้วเจ้าค่ะ! โอ้ย!!"
เมี่ยงแสร้งร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่บานประตู ส่วนบัวก็โยนข้าวของลงพื้นเป็นระยะ วิธีนี้อาจจะท่วงเวลาการแต่งงานออกไปได้ ไม่มีแม่คนไหนอยากได้ลูกสะใภ้กักขฬะอย่างหล่อนแน่นอน
"นี่หรือที่เจ้าว่านางงามนัก แม่มิเห็นจะเป็นอย่างที่เจ้าว่า ทุเรสทุรังบ่าวในเรือนกิริยายังงามกว่า"
คุณหญิงชมกลับบ้านเก่าที่อัมพวาหลายเดือนไม่ทันงานบุญต้อนรับบัว พอได้เจอวันนี้เล่นเอานางขนลุกขนพองไม่เคยเจอใครน่ารังเกียจเท่านี้มาก่อน
"ขากกก! ถุย!!"
"...."
บัวโผล่หน้าออกจากหน้าต่างถ่มน้ำลายทิ้งเฉียดหมื่นพิพัฒน์ไปนิดเดียว
"โอ๊ะ! อุ้ยตาย...คุณพี่คุณแม่โทษที่เจ้าค่ะน้องมิได้ตั้งใจ เสลดติดคอ ขาก! แคก! แคก!"
สองแม่ลูกรีบหนีโดยเร็วเพราะบัวทำท่าจะถ่มน้ำลายลงมาอีก บัวเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะชอบใจที่ไล่สองแม่ลูกไปได้ มีเพียงเมี่ยงเท่านั้นที่กลัดกลุ่มใจคิดว่าบัวคงจะโดนหวายอีกไม่นาน
"จะให้กระผมไปอยู่วัดกับไอ้แก้วไม่มีทาง! ทุกคนก็รู้ว่ากระผมมิชอบหน้ามัน ขืนไปอยู่ด้วยกันมีหวังได้วางมวยเป็นแน่!"
ยศโวยวายไม่พอใจที่ขุนวิชิตให้เตรียมตัว พระครูเนื่องออกพรรษาเมื่อไหร่จะไปส่งเขากับแก้วทันที คุณยิ้มก็ไม่อยากห่างไกลลูกชายช่วยลูกชายพูดอีกแรง
"ถ้าไม่เรียนแล้วเอ็งจะทำอันใด นี่ก็โตขึ้นทุกวันจะวิ่งเล่นไปจนตายรึ" พระยาไชยากรถาม
"ก็... ก็ไม่เห็นต้องทำกระไรนี่ ทุกวันนี้เราก็มีกินมีใช้เลี้ยงทาสพวกนี้มันก็ทำงานให้เราจะต้องกลัวอดอันใด"
"คิดตื้นๆมีสมบัติหากบริหารไม่เป็นก็หมดได้โง่อย่างเอ็งไม่นานดอก"
"คุณลุงว่ากระผม!"
"เออสิวะ! เอ็งอย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำถ้าไม่เห็นเอ็งเป็นหลานข้าไล่เอ็งออกจากเรือนแล้ว!"
ท่านยื่นคำขาด ยศหันไปมองหน้าแม่ขอความช่วยเหลือ
"คุณพี่... รอสักปีมิได้หรือเจ้าคะ พ่อยศยังเด็กนัก"
คุณยิ้มเสียงอ่อนไม่กล้าสบตาท่าน พี่เขยคนนี้เป็นคนเด็ดขาดและมีบุญคุณกับนางและสามีมากจึงไม่กล้าขึ้นเสียง
"น้ายิ้มไปตรองให้ดีเถิดอายุจะสิบแปดไม่น้อยแล้ว กระผมต้องอยู่ต่างบ้านตั้งแต่สิบห้ามิเด็กกว่าหรือ ถ้าหัวดีพออายุครบบวชสึกออกมาก็ให้รับราชการเหมือนลูกบ้านอื่น ตอนนั้นคนที่จะมีความสุขที่สุดคือน้ายิ้มกับเจ้ายศหนา"
ขุนวิชิตพยายามโน้มน้าวผู้เป็นน้า
"อยู่วัดมีแต่ลูกหลานผู้ดีทั้งนั้นรู้จักกันไว้เป็นการดี มิลำบากดอกแลเจ้าแก้วจะดูแลน้องเป็นอย่างดี เจ้าเป็นพี่รับปากจะดูแลเจ้ายศไหมเจ้าแก้ว"
"ขะ ขอรับ บ่าวจะดูแลคุณยศเป็นอย่างดี"
แก้วรับปากมองไปที่ยศคิดว่าคงไม่เกิดเรื่อง ช่วงนี้ชายก็ไม่ได้มาหาเรื่องเหมือนแต่ก่อนต่างคนต่างอยู่ ถึงแม้จะไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองคนคงไม่อะไรเลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
คุณยิ้มยอมให้ยศไปอยู่ที่วัด ยศดูจะไม่พอใจทุกคนเดินกระทืบเท้าลงเรือนใหญ่ คุณยิ้มจึงรีบตามลูกชายไป ทุกคนถึงกับถอนหายใจหมดเรื่องไปเปราะหนึ่ง
"แม่นายเจ้าขา ให้ไปอยู่ด้วยกันจะไม่ปาดคอกันตายหรือเจ้าคะ อยู่นี่ยังเล่นเอาเดี้ยงเป็นเดือนๆ"
"อีศรี! ปากไม่เป็นมงคลตบปากสิบที!"
คุณหญิงน้ำทิพย์ดุบ่าวก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอ นางชักจะไม่แน่ใจเช่นกัน