มุกระวีนั่งเล่นอยู่ข้างแอ่งน้ำอย่างสบายใจ หากได้แช่น้ำในโอเอซิสท่ามกลางอากาศร้อนเปรี้ยงแบบนี้คงไม่ต่างจากการออกมาจากเตาไฟแล้วได้กระโดดน้ำใส ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว ลืมไปเลยว่าตัวเองกำลังทำภารกิจติดตามชุดมรกตล้ำค่าอยู่ โอเอซิสแห่งนี้กว้างใหญ่มีต้นปาล์มมากมาย จนนึกอยากจะถ่ายรูปเก็บเอาไว้ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีกล้องมาด้วย
“ถ้าได้ล้างเนื้อล้างตัว แล้วลงแช่สักหน่อยก็คงจะดี” มุกระวียกมือปาดเหงื่อที่ซึมตามไรผม แต่เปลี่ยนใจไม่กล้าลงไปแหวกว่ายทั้งตัวเพราะนึกได้ว่าไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยนและกลัวว่าจะมีคนแอบดู มุกระวียืดตัวลุกขึ้นจะกลับไปที่รถ ทว่ามีงูตัวหนึ่งเลื้อยตรงมาทางที่เธอยืนอยู่
มุกระวีกลัวงูมากที่สุดถึงกับขยับขาไม่ออก ยืนนิ่งเป็นรูปปั้น
กรี๊ดดด
“ช่วยฉันด้วย” มุกระวีกรีดร้อง พอเสียงพ้นลำคอ ขาก็เหมือนจะมีแรงวิ่ง แต่งูตัวนั้นเลื้อยมาถึงตัวแล้ว มุกระวียืนตัวสั่น หลับตาปี๋ งูกำลังจะกัดเธอแล้ว ถ้าเป็นละครหรือนิยายสุดท้ายพระเอกจะต้องปรากฏตัวในฉากนี้ แต่ในชีวิตจริงของสไตลิสต์สาวสุดชิกอย่างเธอต้องเอาชีวิตในวัยสาวมาสังเวยให้งูทะเลทรายอย่างน่าเสียดาย แต่แปลกจัง มันฉกยังไงถึงได้ไม่เจ็บ หรือเขี้ยวของงูทะเลทรายจะมียาชา นี่เธอจะตายแบบสงบศพสีชมพูใช่ไหม เป็นการตายที่สบายจริงๆ จนกระทั่งเสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้น มุกระวีจึงค่อยๆ ลืมตา
เมื่อหญิงสาวลืมตาขึ้นมาก็เห็นงูตัวนั้นถูกมีดปักเข้าที่ส่วนหัวจนมันนิ่งคาที่
“งูตาย แต่ฉันยังไม่ตาย” มุกระวีมองหน้าผู้ชายที่มีเค้าโครงหน้าโดดเด่นเหลือเกิน “ท่านชีคช่วยฉันไว้” ถึงมันตายแล้ว แต่ขนาดความยาวนั้นชวนขนลุก มุกระวีโผเข้าไปกอดไว้แน่น ซุกหน้าลงกับอกกว้างอย่างต้องการหาที่พึ่ง “งูมันจะกัดฉันค่ะ ฉันคิดว่าตัวเองต้องตายแล้ว”
“มันตายแล้ว ไม่มีอะไรแล้วนะมุกระวี ไม่ต้องกลัว”
มุกระวีค่อยๆ หันไปมองอีกครั้ง แล้วก็เห็นว่ามันตายสนิท ไม่มีทีท่าจะกระดุกกระดิกได้ ฟาริสเดินไปเก็บมีดพกขึ้นมา ก่อนจะใช้น้ำที่แอ่งเช็ดคราบเลือดแล้วเก็บเข้าฝักตามเดิม
“ถ้าหากท่านชีคมาช่วยไม่ทัน ฉันต้องถูกงูกัดแน่”
“ถ้างั้นตอนนี้คุณก็เป็นหนี้ชีวิตผมแล้ว”
“โอ้วว นึกว่าช่วยด้วยใจ”
ชีคฟาริสไหวไหล่ แล้วมองยิ้มๆ “ในทะเลทรายนอกจากความสวย ก็แฝงความน่ากลัวเอาไว้ทุกย่างก้าว ทีหลังก็อย่าห่างจากตัวผมสิ ที่นี่มันไม่ใช่ที่เดินเล่นสำหรับนักท่องเที่ยว ทางที่ดีคุณต้องอยู่ใกล้ๆ ผมไว้ตลอด”
“ฉันไม่รู้นี่คะ ว่ามันจะมีงูด้วย แค่จะล้างหน้าล้างตาหน่อยเดียวเอง ว่าแต่เราจะออกเดินทางแล้วหรือคะ” มุกระวีถามหลังจากมั่นใจว่างูตายสนิทแล้ว
“เราจะพักที่นี่ ผมสั่งให้คนตั้งกระโจมแล้ว คุณเองบ่นว่าเหนื่อยไม่ใช่หรือไง ควรจะไปกินอาหารและพักได้แล้ว พรุ่งนี้เราต้องรีบออกเดินทางชดเชยที่วันนี้ผมให้พักเร็วขึ้น”
“เอะอะก็สั่ง ท่านชีคเป็นแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่าคะ”
“คุณรู้จักท่านชีคคนอื่นนอกจากผมด้วยหรือมุกระวี” เขาถามด้วยความสนใจ
“ก็ท่านชีค...ที่เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวาย” มุกระวีจำได้ว่าเธอเสียดายมาก และสาวค่อนโลกคงรู้สึกไม่ต่างจากเธอเมื่อหลายปีก่อน
“นั่นเป็นรัชทายาทของประเทศเพื่อนบ้าน ว่าแต่คุณไปรู้จักกับเขาตอนไหน”
มุกระวียิ้มแก้เก้อ “ไม่รู้จักส่วนตัวหรอกค่ะ เห็นแต่ภาพข่าว คนธรรมดาอย่างฉันจะไปรู้จักท่านชีคเป็นการส่วนตัวได้ยังไง รู้จักคุณคนเดียวก็เหนื่อยใจพอแล้ว อย่าให้ต้องเจอใครอีกเลยดีกว่า” พูดจบก็รีบเดินนำไปทางกระโจมที่ตั้งเสร็จแล้ว โดยมีฟาริสตามมาติดๆ
ทว่าพอเดินมาถึงกระโจม มุกระวีก็ต้องหันกลับไปถาม “ทำไมมีกระโจมเดียวคะ”
“กระโจมสำหรับผม คนอื่นจะต้องอยู่เฝ้าเวรยามรอบๆ เพื่อดูแลความปลอดภัย ส่วนคุณก็พักในกระโจมเดียวกับผม หรือถ้าไม่อยากพักกระโจมเดียวกัน จะนอนข้างนอกกระโจมก็ได้” พูดจบเขาก็เดินหายเข้าไปในกระโจม
“แมนมาก ให้ผู้หญิงนอนข้างนอกกระโจม” มุกระวีต่อว่ากับแผ่นหลังกว้างของเขา
ชีคฟาริสอมยิ้ม เพราะเดาทางได้ว่าผู้หญิงอย่างมุกระวีไม่มีทางยอมนอนนอกกระโจมแน่ แล้วเรื่องอะไรเขาจะปล่อยให้โอกาสงามลอยไปกับสายลมหนาวยามกลางคืน
“ทำไมที่นี่มีแต่คนเฮ็งซวยนะ”
“นี่จะยืนบ่นอีกนานไหม ถ้าไม่เข้ามาผมก็จะไม่ชวนแล้วนะ ในกระโจมผมมีอาหารอร่อยและน้ำดื่มพร้อม แต่ถ้าช้า ผมจะยกที่เหลือจากผมให้องครักษ์เอาไปกินให้หมด คนอื่นอดไปก็แล้วกัน”
อ้าว...ถ้าเขายกอาหารให้คนอื่นแล้ว เธอไม่ต้องออกไปหาอาหารกินเองเหรอ คนเราไม่ได้เก่งไปหมดทุกอย่าง ถ้าให้ออกแบบเสื้อผ้าสำหรับเธอมันง่าย แต่ถ้าให้ออกไปหาอาหารรอบๆ ทะเลทรายเธอก็เห็นแค่ไอ้งูที่ถูกเขาฆ่าตาย ไม่รู้ว่าเนื้อมันจะกินได้หรือเปล่า และเธอจะกลืนมันลงคอเหรอ คิดแล้วก็…
“อย่านะคนบ้า ฉันหิวจนไส้กิ่วไปหมดแล้ว” มุกระวีจำต้องเข้าไปในกระโจมอย่างไม่มีทางเลือก แต่เมื่อเข้าไปในกระโจมก็ไม่รู้สึกผิดหวัง เพราะอาหารและน้ำดื่มถูกจัดวางอย่างเรียบร้อยตรงหน้าราวกับว่าคืนนี้จะมีดินเนอร์อย่างนั้นแหละ
มันดูละลานตาน่ากินไปหมด ไม่รู้จะเลือกกินอะไรดี ทั้งข้าวและเนื้อแกะย่าง ไก่อบ ทุกอย่างหอมไปด้วยเครื่องเทศที่เธอไม่คุ้นเคยกับกลิ่นนัก แต่คิดว่ากินได้ ส่วนผลไม้ก็มีอินทผลัมทั้งชนิดสดและแห้ง
“อาหารพวกนี้น่ากินทั้งนั้นแถมอร่อยด้วย”
“วันนี้ท่านชีคพูดดีจัง ฟังแล้วรื่นหูชะมัด”
“ถ้าคุณหิวก็กินเลย”
“แล้วท่านชีคล่ะคะ” เขาเป็นเจ้าของอาหาร ถ้าไม่ลงมือก่อนใครจะกล้า
ฟาริสมองคนที่มองอาหารตาละห้อยแต่ยังไม่กล้าหยิบกิน เขาเลยใช้มีดเฉือนเนื้อแกะย่างขึ้นมากินก่อน “กินสิ ถ้าชักช้าผมกินหมดไม่รู้ด้วยนะ”
“งั้นฉันกินนะคะ” มุกระวีไม่รอให้เขาชวนซ้ำ เธอตักเนื้อแกะย่างมาชิมรสก่อนเป็นอย่างแรก ทันทีที่เนื้อแกะย่างเข้าปากก็รู้สึกถึงรสชาติเลิศรส แม้จะมีกลิ่นเฉพาะตัว แต่ความหิวบวกกับเครื่องเทศที่หมักกับเนื้อแกะ ทำให้มุกระวีรู้สึกเจริญอาหาร กินทุกอย่างที่ขวางหน้า