“เป็นภูมิแพ้ไม่เท่าไหร่แต่มีไข้ด้วย รู้สึกแย่จัง” ฉันบ่นพึมพำใส่คุณหมอดินแดน พลางลูบแขนตัวเองไปมา
“โรคภูมิแพ้อากาศจะมีโอกาสกลับมาเป็นอีก คุณเอวาต้องดูแลสุขภาพดีๆ นะครับ”
หมอดินแดนเอ่ยคำพูดขึ้นก่อนจะจับท่อนแขนฉันไปดูจนกระตุกแขนตัวเองเพื่อดึงกลับด้วยความเพราะว่ามีแค่พ่อกับเตชินทร์ที่แตะเนื้อต้องตัวฉันได้ ต่อให้เป็นหมอก็รู้สึกแปลกๆ ยังไงบอกไม่ถูก เขาใช้สายตามองพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ “โชคดีนะครับที่ไม่ได้เป็นโรคอะไรร้ายแรง”
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” สงสัยกับอาการที่ตัวเองเป็น หมอดินแดนจึงปล่อยแขนฉันให้เป็นอิสระ ก่อนจะจดอะไรบางอย่างลงในกระดาษขนาดพอดีซึ่งคงเป็นใบประวัติคนไข้
“ใช่ครับ โรคภูมิแพ้เกิดขึ้นได้หลายปัจจัยผมจึงต้องวินิจฉัยให้รอบคอบ เผื่อว่าคุณเอวาจะเป็นหนักมากกว่านี้”
“แล้วตกลงหนักไหมคะ?”
“ภูมิแพ้ปกติครับ แต่ถึงยังไงหมอก็อยากให้คุณเอวาช่วยดูแลสุขภาพพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้คุณเอวาแพ้อย่างเช่นเกสรดอกไม้”
“ทำไงได้คะ ฉันหลีกเลี่ยงไม่ค่อยจะได้ ทำงานห้องเสื้อเวลามีคนมาแสดงความยินดีพวกเขาไม่รู้ว่าฉันแพ้เกสรดอกไม้ก็มักจะยื่นมาให้เสมอ แค่ใกล้ๆ ก็รู้สึกแย่แล้วค่ะ”
“หมอเข้าใจครับ” รอยยิ้มของหมอดินแดนทำให้ฉันรู้สึกดีที่ได้คุยเรื่องอาการของตัวเอง เวลาที่พ่อหรือเตชินทร์ถามฉันมักจะปฏิเสธที่จะตอบและบอกว่าตัวเองแข็งแรงดี “อาการของคุณเอวาไม่ได้หนักถึงขนาดต้องใช้ยาพ่นจมูก”
“...”
“หมอสั่งยาแก้แพ้ให้นะครับ ทานสองมื้อเช้ากับเย็นแล้วอาจจะง่วงก็ขอให้พักผ่อนเยอะๆ ทานยาแก้แพ้แล้วก็ห้ามขับรถเด็ดขาดเลยนะครับ มียาแก้ไข้ทานสามมื้อหลังอาหาร ดื่มน้ำให้เยอะมั่นเช็ดตัวบ่อยๆ อุณภูมิในร่างกายจะได้ไม่ร้อนเกินไป” พูดยาวเยียดจนฉันพยักหน้ารับก่อนจะมือไหว้หมอดินแดนที่รับไหว้ด้วยความเต็มใจ
“ขอบคุณค่ะ คุณหมอดินแดน” เอ่ยชื่อเขาออกไปพลางยกมือไหว้ หมอดินแดนก็รับไหว้อย่างเต็มใจ “ฉันไม่อยากมาหาหมอเลยค่ะ หวังว่าจะหายนะคะ”
“หมอขอนัดคุณเอวาตอนที่ทานยาหมดแล้วนะครับ”
“โอเคค่ะ” ตอบเสียงเอื่อยหมอดินแดนก็ยกยิ้มพลางยื่นเอกสารส่งให้ทางช่องด้านข้างที่มีคนจ่ายยารับไปเรียบร้อยแล้ว
“ไม่เป็นไรมากหรอกครับ แค่ทานยาที่หมอสั่งบวกกับพักผ่อนให้เยอะๆ ก็เพียงพอแล้วครับ”
“ป่วยแบบนี้รู้สึกแย่มากเลยค่ะ” ฉันลุกขึ้นยืนแต่ด้วยเพราะมึนหัวอย่างรวดเร็วจึงเซคว้าขอบโต๊ะไว้ ทว่าท่อนแขนแกร่งของคุณหมอดินแดนก็สอดเข้าเอวและประคองร่างฉันไว้ด้วยความตกใจไม่ต่างกัน ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ สายตาของฉันมองไปทั่วใบหน้าของเขา “ขะ ขอบคุณนะคะ”
ดันท่อนแขนของหมอดินแดนออกซึ่งเขาก็ขยับตัวออกห่างฉันทันที
“คุณมีใครมาด้วยไหมครับ ผมจะไปตามให้ เป็นแบบนี้คุณล้มแน่” หมอดินแดนถามไถ่ด้วยความห่วงใย
“มีค่ะ ผู้ชายสวมสูทสีดำ” ฉันยังคงยืนจับขอบโต๊ะไว้ก่อนที่หมอดินแดนจะเดินออกจากห้องตรวจและมาอีกครั้งพร้อมกับเตชินทร์ที่รีบมาประคองร่างฉันไว้ด้วยความห่วงใยก่อนจะวางมือลงบนหน้าผาก
“ตัวร้อนมากเลยนะครับ”
“ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ยังคงเถียงจนเตชินทร์ส่ายหน้าพลางหันไปพูดขอบคุณคุณหมอดินแดนที่ยืนมองอยู่
“มาตามเวลานัดด้วยนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
“คุณเป็นสามีคุณเอวาใช่ไหมครับ? ถ้าใช่อย่าปล่อยให้เธอขับรถระหว่างที่ทานยาแก้แพ้นะครับ” ฉันหันไปมองหมอดินแดนด้วยสายตาหงุดหงิดจนหมอดินแดนมึนงงเข้าไปใหญ่ ทว่าร่างสูงที่ประคองฉันไว้กลับยิ้มหัวเราะออกมาจนตีมือลงบนแผงอกแกร่ง
“หัวเราอะไร”
“ผมเปล่านะ”
“ชอบจริงเลยนะ เวลาคนมองว่าคุณเป็นสามีฉันเนี่ย”
ฉันถอนหายใจก่อนจะเดินออกจากห้องตรวจพิงประตูกระจกรอเตชินทร์จ่ายยาและรับใบนัดหลังจากที่กินยาหมด ยกมือนวดคลึงไปตามขมับของตัวเองสายตาก็มองไปยังร่างสูงใหญ่ที่ถอดเสื้อกราน์ออกแล้วเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่รับกับกล้ามแน่นๆ ของเขา กางเกงสเล็คสีดำพร้อมรองเท้าผ้าใบสีขาวหมอดินแดนมองฉันพร้อมกับส่งยิ้มที่สดใสมา
“ไปกันเถอะครับ จะได้พักผ่อน” พยักหน้ารับมองเตชินทร์ที่ประคองเอวฉันเดินออกจากคลินิกของเขาที่พอเงยหน้ามองก็เห็นตัวอักษรสีเขียว ‘คลินิกหมอดินแดน’ จากนั้นสายตาของฉันก็ปะทะเข้ากับร่างสูงที่ยืนคุยอะไรสักอย่างกับคนที่ดูแลจ่ายยา
ทำไมฉันถึงละสายตาจากเขาไม่ได้เลยนะ... เพราะอะไรกัน?