ร่างบางนอนแนบกายกับฟูกนิ่มโดยที่มีร่างของชายตัวใหญ่ทาบทับอยู่ด้านบน พลางมองลงมาด้วยแววตาร้อนระอุจากแรงอารมณ์
แขนเรียวขาวค่อยๆยกขึ้นมาประคองใบหน้าหล่อเหลาเอาไว้ ก่อนจะดึงอีกฝ่ายลงมากดจูบ ส่วนคนที่ถูกออดอ้อนก็ใช้ฝ่ามือหนาบีบเค้นไปทั่วกายละเอียดที่ไร้อาภรณ์ปิดบังกาย
แก่นกายหนาชี้ตั้งบ่งบอกถึงความต้องการ มันเสียดสีกับร่องสวาทเปียกแฉะก่อนที่ในที่สุด
คนที่นอนฝันหวานจะสะดุ้งตื่นขึ้นมา..
"เฮือก!"
ไกรทองสะดุ้งตัวโยนพลางหอบหายใจถี่ระรัว เขามองไปรอบข้างก่อนจะพบว่าเมื่อครู่ตัวเองเพียงฝันไปเท่านั้น
ดวงตาคู่คมเหล่มองบางอย่างใต้ผืนผ้าห่มบาง ที่หว่างขาของเขามีของแข็งบางอย่างตั้งโด่ ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันเกิดจากอะไร
"คนงามทำข้าต้องเมื่อยมืออีกแล้ว.."
ในขณะที่คนๆหนึ่งกำลังสติแทบแตก อีกคนกลับนอนสบายใจข้างๆโดยไม่รู้เรื่องสักนิด แถมยังกลิ้งตัวมากอดเขาอีกต่างหาก
ช่วงนี้ไกรทองรู้สึกว่าตัวเองสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเอาเสียเลย นี่ก็สามคืนติดกันแล้วที่เขาฝันอะไรแบบนี้ ฝันว่าตัวเองกับคนงามข้างกายกำลังมีอะไรกันอยู่
ชายหนุ่มเองก็ไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่ว่าตัวเองคิดไม่ซื่อกับคนงาม แต่อะไรหลายๆอย่างนี้เองมันก็ชัดเจนแล้วว่าจิตใจของเขามันไม่บริสุทธิ์
ดวงตาสีรัตติกาลมองสบใบหน้างดงามนิ่งค้าง ไม่ว่าจะมองกี่ทีๆคนตรงหน้าเขาก็ช่างน่าหลงไหล แบบถ้าเทียบกันแล้วเขากับอีกฝ่ายเปรียบดั่งดอกฟ้ากับหมาวัดชัดๆ
ใบหน้าคมคายเคลื่อนลงไปใกล้กับใบหน้าเนียนงดงาม ก่อนที่เขาจะแอบทาบทับริมฝีปากกับแก้มนิ่มแล้วจึงรีบผละตัวออก
"นุ่มแล้วก็หอมมาก"
เสียงทุ้มเข้มว่าอย่างแผ่วเบา เขายอมรับว่าตัวเองนั้นได้ตกหลุมรักคนงามคนนี้ไปแล้วตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีตัวเขาก็ถูกครตรงหน้าทำให้หลงจนโงหัวไม่ขึ้นเสียแล้ว
เป็นไปได้หรือไม่ที่คนเราจะตกหลุมรักคนที่พึ่งพบเจอไม่นาน อีกทั้งยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อหรือที่มาที่ไป ใครทำไม่ได้ไกรทองไม่รู้ แต่ไกรทองคนนี้ทำไปแล้ว
ร่างหนาค่อยๆแกะแขนเรียวออกจากช่วงเอวสอบอย่างเบามือ พลางหยัดตัวลุกขึ้นเพื่อไปจัดการตัวเอง คาดว่าหากเขายังอยู่ตรงนี้ต่อ คนงามคงจะถูกเขาทำมิดีมิร้ายได้
"ไกรทอง"
เจ้าของน้ำเสียงทุ้มเดินเข้าไปท้ายตลาด ซึ่งมีร่างของชายหนุ่มผิวเข้มนามว่าไกรทองกำลังจับกลุ่มเล่นตีไก่กับใครอีกหลายๆคนอยู่
ในตอนที่คนงามขานเรียกไกรทองหลายๆคนที่ให้ความสนใจทางอื่นจึงละไปสะกิดไกรทองที่ถูกเรียกแทน
"ไอ้ไกรๆ เมียเอ็งมาตามแล้ว"
"เออๆ รู้แล้วๆ"
ด้วยความว่าตอนนี้ทั้งไกรทองและคนงามอยู่อาศัยที่เมืองพิจิตรมานับเดือน คนหลายๆคนจึงเริ่มสนิทและรู้จักกับทั้งสองคนมากขึ้น
โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ที่ดูจะมากกว่าสหายแต่ไม่ใช่คนรัก กระนั้นแม้ทั้งคู่จะถูกหลายๆคนเข้าใจว่าเป็นคนรักกัน ก็ไม่มีคนใดคนหนึ่งโต้แย้ง
หนึ่งเลยคือไกรทองไม่อยากเป็นแค่สหายกับคนงามจริงๆ กับคนงามที่คิดว่าคนอื่นๆแค่พูดเล่นเลยปล่อยไป
"เอ็งนี่ดูสบายใจเหลือเกินหนา ไม่ใช่ว่ามาเมืองนี้เพราะมีภารกิจรึ"
ร่างโปร่งยืนท้าวเอวมองชายผิวเข้มที่ตอนนี้ภารกิจจับจระเข้ของเขายังไม่ได้เริ่มเสียที อีกทั้งช่วงนี้ในเมืองก็สงบแปลกๆ ตลอดมาไม่มีข่าวจระเข้อาละวาดหรือมีข่าวคนตายอะไรเลย
"อย่ากังวลไปเลย ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา"
"เวลาอันใด"
เจ้าของดวงตาคู่งามถามพลางเดินไปนั่งข้างๆไกรทอง ร่างสูงจึงขยับเข้าไปใกล้ๆคนงามก่อนจึงตอบคำถาม
"เวลาเราจะทำการอันใดควรดูฤกษ์ดูยามไว้เพื่อมิให้เราตกหลุมเคราะห์ร้ายเอง ครานี้ก็เช่นกันหากข้ารีบลงมือก่อน คนที่เสียท่าก็อาจจะเป็นข้าก็ได้"
ไกรทองยังคงพูดในสิ่งที่เข้าใจยาก คนที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องเกี่ยวกับทางไศยสาตร์จึงทำเพียงพยักหน้า แล้วหันมาขบคิดกับตัวเองถึงเรื่องบางเรื่องในวรรณคดี
เป็นไปได้ว่ามีอีกหลายอย่างที่ไม่ตรงกับที่เขารู้มา เพราะงั้นแล้วต่อไปก็ให้ไกรทองดำเนินเรื่องตามที่เจ้าตัวต้องการไปเถอะ
"นี่คนงาม เอ็งกังวลอันใดรึ หรือกลัวเจ้าพวกจระเข้นั่น"
ไกรทองว่าพลางค่อยๆล้มต้วลงหนุนหัวกับตักคนงาม นี่เองก็สร้างความอิจฉาตาร้อนให้คนรอบข้างไปหลายระดับ
ก็เจ้าตัวเล่นมาพลอดรักกันไม่อาบฟ้าอายดิน หรือเกรงใจคนอีกหลายๆคนที่หัวโด่อยู่รอบข้างขนาดนี้ ใครจะอดไม่หมั่นไส้ได้
ส่วนเจ้าตัวการถามว่าที่ทำแบบนี้บังเอิญหรือตั้งใจ แน่นอนว่าไกรทองนั้นตั้งใจแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของคนงามอยู่แล้ว ส่วนคนงามก็ยังคงหน้ามึนต่อไป
"ไกรทอง จากที่จะถามว่ากลัวจระเข้พวกนั้นหรือไม่ ข้าถามก่อนว่ามันมีใครไม่กลัวบ้าง"
"ข้านี่อย่างไร จระเข้พวกนั้นไม่คณามือข้าเลยสักนิด"
"เห้อ..ขอเว้นเอ็งไว้คนนึงแล้วกัน"
คนงามถึงขั้นถอนหายใจ มันก็จริงอย่างที่เจ้าตัวว่าอย่างไรเสียหากไกรทองคิดอยากจะล้างโคตรตระกูลจระเข้ขึ้นมา มันก็ทำได้ไม่ยากอยู่แล้ว
"เหอะดูไอ้ไกรมันสิ นอนสบายเลยนะ เป็นไงล่ะเอ็ง ที่ตรงนั้นนุ่มมากล่ะสิ"
คนอื่นๆที่อยู่รอบข้างเริ่มส่งเสียงเตือนทั้งคู่ให้รู้ว่าพวกเอ็งไม่ได้อยู่กันแค่สองคน อีกอย่างถ้าจะมาพลอดรักก็ไปเปิดห้องโน่นสิวะ
แต่ถ้าถามว่าพ่อหนุ่มหน้าหนาอย่างไกรทองสนใจอะไรไหม นอกจากจะขยับไปกอดคนงามแน่นขึ้นแล้วเจ้าตัวยังจะทำหน้าทำตาใส่คนอื่นๆอีก
"หึ บ้านพวกเอ็งไม่มีคนงามล่ะสิ"
ในระหว่างนั้นเองที่ไกรทองกำลังสนทนากับคนอื่นๆอยู่ ตรงมุมหนึ่งที่ไม่มีใครสนใจก็มีร่างของคนสองคนจ้องมองคนงามมาเหมือนต้องการจะพูดคุยอะไรด้วยสักอย่าง
ทว่าพวกเขาทั้งสองก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้ ได้แต่ด้อมๆมองๆอยู่แบบนั้นจนคนถูกจ้องรู้ตัว
สายตาที่มองมาไม่ใช่สายตาเสน่ห์หาหรืออะไรทำนองนั้น พวกเขาทำเหมือนกับว่าเป็นคนรู้จักของคนงาม พอเจ้าของดวงตาสีปีกกามองสบไป คนพวกนั้นก็กวักมือเรียกให้ไปหา
สัญชาตญาณของเขาบอกว่าพวกนั้นรู้จักเจ้าของร่างนี้ คนตัวขาวจึงให้ไกรทองลุกออกจักตัวเองเสียก่อนแล้วบอกว่าตนจะกลับไปเอาของที่กระโจม
"แน่ใจหนาว่าจะไม่ให้ข้าไปเอาให้"
"อื่ม ข้าไปเองได้"
พูดจบคนงามก็ตรงไปหาสองคนที่กวักมือเรียกนั้นทันที พวกเขาพากันไปคุยในที่ๆลับตาคนสักเล็กน้อยก่อนจะมองรอบข้างว่าไม่มีผู้คนแล้วจึงเริ่มเปิดบทสนทนา
"นายท่าน เหตุใดคราจึงขึ้นมาเมืองมนุษย์นานนักรู้หรือไม่ว่าท่านปู่ของท่านเป็นห่วงเพียใด"
"เมืองมนุษย์?"
ประโยคสนทนานี้ถึงกับทำให้ร่างโปร่งต้องถามกลับ การพูดของคนตรงหน้าทำให้เขาฉงนใจไม่น้อย ไหนจะชื่อเรียกของเขานั่นอีก
"ข้าล่ะแปลกใจเสียจริงที่ท่านไปคลุกคลีกับพวกมนุษย์นั่น หรือท่านจะถูกข่มเหง"
คำก็มนุษย์สองคำก็มนุษย์ ดูท่าว่าชาติกำเนิดของเขาจะแตกต่างจากตัวเองในชาติก่อนจริงๆ ยิ่งเมื่อลองคิดย้อนไปถึงเรื่องแปลกๆที่เกิดกับร่างกายตัวเอง
เกล็ดที่เกิดขึ้นตามตัวยามโดนน้ำ ไหนจะบาดแผลที่รักษาอย่างรวดเร็วนั้นอีก
"ข้าไม่ได้ถูกใครข่มเหง แล้วเอ่อ..นี่ข้าต้องกลับไปที่ใดกัน"
แม้ชายหนุ่มทั้งสองจะงงในความเปลี่ยนแปลงของเจ้านายไม่น้อย ทว่าหากถูกถามแล้วก็คงมีแต่ต้องตอบไป
"กลับไปที่เมืองของเราอย่างไรล่ะขอรับ เป็นไปได้ท่านรีบไปเลยดีกว่าประเดี๋ยวท้าวรำไพจะพิโรจน์"
ชื่อคุ้นหูนี้ทำให้คนที่ได้ฟังนิ่งค้าง เขายังคงพยายามประคองสติตัวเองไม่ให้วูบดับตอนนี้ ก่อนจะถามทั้งสองต่อด้วยเสียงที่เบาหวิว
"ท้าวรำไพพญาจระเข้หรือ"
"แน่นอนขอรับ ท้าวรำไพพญาจระเข้ท่านปู่ของท่านอย่างไรล่ะขอรับ"
เรื่องราวที่เคยกระจัดกระจายในหัวกำลังประติดประต่อเป็นรูปร่าง อย่างแรกคือเขาเป็นจระเข้ อย่างที่สองคือเป็นจระเข้ที่มียศสูง ที่สำคัญที่สุดเลยคือเขาเป็นหลานของเท้ารำไพ พญาจระเข้ที่คุณก็รู้ว่าใคร
ร่างโปร่งแทบจะล้มทั้งยืนยามคิดย้อนไปว่าตัวเองเป็นใคร อยากจะถามสองคนตรงหน้าก็กลัว แต่ถ้าไม่ถามให้แน่ใจก็ไม่ได้
"พวกเอ็งสองคน ช่วยบอกข้าหน่อยว่าตัวข้านั้นเป็นใครกัน"
เจ้าของดวงตาสีปีกกาพยายามคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น ข้ารับใช้ผู้ไม่รู้อะไรยามถูกเจ้านายถามก็ได้แต่มองหน้ากัน ทว่าก็ยังตอบชื่อของคนตรงหน้ากลับมา
"ท่านคือพญาชาละวันอย่างไรล่ะขอรับ"
พอสิ้นเสียงร่างของครตัวขาวก็ทรุดลงกับพื้นทันที ทว่าทั้งสองยังไม่ทันได้เข้าไปช่วยพยุง ก็มีร่างสูงของชายคนหนึ่งพุ่งมาก่อนเสียแล้ว
"พวกเอ็งทำอะไรเขา!"
เป็นไกรทองที่แผดเสียงแข็งกร้าว คนทั้งสองที่ก่อนหน้าพูดคุยอยู่กับพญาชาละวันจึงรีบหนีไปทางอื่น
ส่วนเรื่องที่ไกรทองโผล่มาที่นี่ได้อย่างไรนั้น คงเพราะมีคนเห็นคนงามอยู่กับชายแปลกหน้าสองคน จึงเรียกไกรทองให้ตามมา
พอมาถึงที่ๆมีคนบอกมันก็เป็นจังหวะพอดีกับที่ร่างโปร่งทรุดตัวลงกับพื้นแล้ว ไกรทองที่เห็นดังนั้นแม้จะอยากตามไปจัดการชายสองคนก่อนก็ต้องยั้งตัวเองไว้ เพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือการดูอาการของคนงามของตัวเอง
"เกิดอะไรขึ้น พวกนั้นรังแกเอ็งหรือ"
เสียงใดๆของไกรทองก็ไม่อาจเข้ามาในโสทประสาตของชาละวันในตอนนี้ได้เลย เขาคิดเพียงว่าอีกไม่นานตัวเองคงถูกกำจัดหากไกรทองรู้ว่าเขาคือใคร
ยิ่งตอนนี้เจ้าของร่างเดิมทำเรื่องงามไส้อย่างลักพาตัวลูกสาวเศรษฐีมาแล้ว เขาก็คงไม่วายต้องตายเป็นแน่
มิน่าล่ะตอนถูกมนต์กำจัดจระเข้เขาถึงได้ร้อนเหมือนจะตายขนาดนั้น ที่แท้เป็นเพราะเขานี่เองที่เป็นจระเข้
ใบหน้างดงามซีดเผือก ดวงตาคู่สวยเองก็สั่นคลอนเหมือนจะหลั่งน้ำตา ไกรทองแทบทำอะไรไม่ถูกพยายามประคองคนงามไว้
ยามประคองกายบอบบางเขาสัมผัสได้เลยว่าคนข้างกายกำลังสั่นกลัวบางอย่าง แล้วยิ่งเห็นสายตาคู่นั้นเขาก็ยิ่งมั่นใจได้เลยว่าสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายกลัวก็คือตัวเขาเอง
เช่นนั้นแล้วเขาจะทำอย่างไรดี อีกฝ่ายถามอะไรไปก็ไม่ยอมตอบ เอาแต่ก้มหน้าหลบตา จนเขาลนลานไปหมดแล้ว
จู่ๆก็กลายเป็นสิ่งที่ตัวเองกลัวมากๆ นึกสภาพถ้าเรากลัวแมลงสาบ แล้วเราเกิดใหม่เป็นแมลงสาบล่ะ
แว๊กกก!! ฉันจะฆ่าตัวต๊ายยยย???
หะ เห้ยไรท์ วันนี้มีสองตอนเลยเบ๋อ!!
ใช่งับ ไถ่โทษที่ไรท์ไม่ได้อัพนิยายไปสองวันเลย ???
ให้อภัยได้มั้ยคะ อัพนิยายมาง้อแล้วเนี่ย?