"ข้าชื่อไกรทอง"
พอชายร่างสูงแนะนำตัวเองจบคนตัวขาวก็เกิดคำถามบางอย่างขึ้นมาในใจทันที
ชื่อไกรทองในสมัยนี้คงจะเป็นที่นิยม คงจะไม่ใช่ไกรทองที่เขารู้จักในวรรณคดี ถึงจะพอรู้ว่าตัวเองมาอยู่ในยุคไทยโบราณ แต่มันคงไม่บังเอิญมาอยู่ในที่แปลกๆขนาดนั้นหรอก
"เหตุใดจึงทำหน้าเช่นนั้น? ชื่อข้าไม่เพราะหรือ?"
เมื่อเห็นเจ้าของใบหน้างดงามขมวดคิ้ว ไกรทองก็อดถามถึงเหตุผลนั้นไม่ได้เลย เขาว่าชื่อของเขาเองก็ไม่ได้แปลกอะไร ไม่รู้ทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้น
"เปล่าหรอก ข้าเพียงคิดว่าชื่อไกรทองคนใช้แพร่หลายดี เคยได้ยินชื่อนี้มาอยู่บ้าง"
"ไหนว่าความจำเสื่อม"
"ข้าลืมแค่เรื่องบางเรื่องของตัวเองเท่านั้น อย่างเรื่องครอบครัวไม่ก็ที่มาที่ไปของตัวเอง"
เจ้าของดวงตาสีปีกกาแก้ตัวได้อย่างลื่นไหล เมื่อครู่ก็ไม่น่าปากมากบอกไปเลยว่าชื่อคนตรงหน้าคุ้นหู
"เช่นนั้นพอจะจำชื่อตัวเองได้หรือไม่ ข้าจะได้เรียกถูก"
ไกรทองว่าพลางเดินพาคนข้างกายเข้าหมู่บ้านเพื่อไปถามหาที่มาที่ไป คนที่ไม่รู้จักแม้แต่ตัวเองจึงส่ายหัวปฏิเสธคำถามก่อนหน้า
"เช่นนั้นเข้าหมู่บ้านไปก็คงพอมีคนรู้จักเอ็งบ้างกระมัง"
พอพูดจบร่างสูงก็เดินตรงเข้าหมู่บ้านทันที โดยที่ข้างหลังก็มีร่างโปร่งของคนตัวขาวเดินตามไปติดๆ
หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่ไม่ได้ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป อีกทั้งการค้าขายหรือสัญจรยังใช้เรือเป็นหลัก เพราะโดยรอบเต็มไปด้วยแม่น้ำลำคลอง
ร่างโปร่งเดินไปก็เสียวสันหลังไป อาจจะเพราะหนุ่มหล่อที่เดินนำหน้ามีชื่อว่าไกรทอง เขาจึงกลัวว่าบางทีอาจจะมีชาละวันโผล่มาแถวนี้ แต่มันก็เป็นแค่ความคิดเล่นๆ อย่างไรเสียวรรณคดีก็เป็นเพียงเรื่องแต่งในชีวิตจริงคงไม่บังเอิญมีจระเข้ชื่อชาละวันอยู่แถวนี้
"พี่สาวคนสวย ข้ามีเรื่องจะสอบถามหน่อยได้ไหมจ๊ะ"
พอไกรทองเดินไปเรื่อยๆเขาก็ไปเตะตาเข้ากับหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งที่หน้าตาสะสวย เจ้าตัวจึงไม่รอช้าที่จะหาเรื่องไปสนทนากับนาง นี่เองก็ทำให้คนข้างกายได้รู้นิสัยบางอย่างจากเจ้าหน้าหล่อนี่บ้าง
"มาถึงก็ปากหวานเลยนะจ๊ะ ว่าแต่พ่อรูปหล่อมีอะไรจะถามข้ารึ"
"อะแฮ่ม นี่เลยจ่ะ พี่สาวเคยเห็นหรือคุ้นๆหน้าสหายข้าคนนี้หรือไม่"
ชายผิวเข้มว่าพลางดึงร่างโปร่งมาชิดกาย ผู้ที่ถูกคนมือไวจับตัวตามอำเภอใจจึงพยายามเอาตัวออกห่าง ทว่าแรงควายของอีกฝ่ายก็ไม่ใช่เล่นๆ ไม่ว่าจะแงะยังไงก็แงะไม่ออก
"จุ๊ๆ อยู่นิ่งๆหน่าคนสวย อย่าดื้อ"
คนตัวขาวชะงักกึกเหมือนมีชะงักติดหลัง ทว่าเหตุผลของการที่เขายอมหยุดนิ่งๆไม่ใช่ว่าเขินที่ไกรทองแพรวพราวใส่ แต่เพราะขนลุกกับคำพูดแปลกๆของมันต่างหาก
"คนๆนี้หรือ.. จากใจเลยหนาพ่อหนุ่ม ข้าไม่เคยพบเห็นหน้าค่าตาของเขาเลยตั้งแต่เกิดมา20ปีที่อยู่ที่นี่ แต่ดูจากผิวพรรณเครื่องแต่งกายก็พอรู้แล้วว่าไม่ใช่คนแถวนี้เป็นแน่"
"เช่นนั้นหรือ แล้วพี่สาวพอจะรู้หรือไม่ว่าคนแบบนี้ควรจะมาจากที่ใด เอ่อ..พอดีว่าเขามาตามหาคนรู้จักน่ะจ่ะ"
"ไม่รู้เลยพ่อหนุ่ม ข้าไม่คุ้นหน้าเขาจริงๆ พ่อหนุ่มลองไปถามคนอื่นๆดูต่อก็ได้หนา เผื่อจะได้เรื่องมากกว่า"
"ได้จ่ะพี่สาว ขอบใจมากนะจ๊ะ"
พอจบบทสนทนากับหญิงสาว ไกรทองก็คว้าเอวคนงามเดินตามทางต่อ อาการแปลกๆของพ่อหนุ่มผิวสีทำให้คนตัวขาวเริ่มสงสัย เขาจึงได้ลอบมองดูรอบข้างว่ามีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นหรือเปล่า
จนกระทั่งดวงตาคู่งามเหลือบไปเห็นผู้คนมากมายที่จ้องมองมา เขาจึงได้ลอบสำรวจกายตัวเองอีกคราจนกระจ่าง
มิน่าล่ะถึงมองกันไม่วางตา ที่แท้เสื้อผ้าและเครื่องสวมใส่ของเขาเต็มไปด้วยทองประดับ อีกทั้งชุดกับกางเกงก็เป็นผ้าปักอย่างดีไม่เหมือนสีพื้นเรียบๆอย่างคนอื่น
ไกรทองคนนั้นคงจะกลัวมีใครมาปล้นหรือกระชากคอเขากระมัง เจ้าตัวถึงได้ดึงเขาชิดกายขนาดนี้
คนงามลอบขอโทษพ่อหนุ่มผิวเข้มในใจที่เคยกล่าวโทษและคิดกับอีกฝ่ายในแง่ลบ ส่วนในตอนนี้แล้วเขาคงต้องมองอีกคนใหม่
กระนั้นอีกสิ่งหนึ่งซึ่งคนตัวขาวไม่รู้ถึงเหตุผลที่ไกรทองคว้าเอวเขามาข้างกาย คงเป็นเพราะสายตาร้อนระอุจากชายหนุ่มทั่วทิศที่มองคนงามจนแทบจะทะลุนั่นแล
ไกรทองเองก็เป็นห่วงคนแปลกหน้าที่พึ่งได้เจอกันไม่น้อย เขาจึงออกตัวเป็นโล่กำบังให้อีกฝ่าย
สองร่างเดินตามหมู่บ้านไปเรื่อยๆ ถามคนนู้นทีคนนี้ที กระนั้นคำตอบที่ได้มาก็ต้องทำให้พวกเขาผิดหวัง เมื่อไม่มีใครรู้จักชายหนุ่มหน้าสวยคนนี้เลย
"ไกรทอง เราพักก่อนก็ได้หนา ตอนนี้พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว เอ็งกลับที่พักของเอ็งเถอะประเดี๋ยวข้าเดินตามหาคนต่อเอง"
"ได้อย่างไรกัน ยิ่งค่ำยิ่งอันตรายให้เอ็งไปไหนมาไหนคนเดียวเดี๋ยวก็ถูกฉุดพอดี"
"ข้าเกรงใจเอ็ง อย่างไรเสียเอ็งก็ช่วยข้าเดินตามหาคนมาทั้งวันแล้ว"
"แล้วหากเอ็งไม่พบคนรู้จักเลย เอ็งจะไปอยู่ที่ไหน"
"..."
เจ้าของดวงตาสีปีกกาก้มหน้าไม่ตอบคำถาม เดิมทีแล้วเขาคิดเพียงว่าจะตามหาคนที่รู้จักเจ้าของร่าง แล้วจะพาตัวเองไปใช้ชีวิตต่อแทนคนๆนี้
ทว่าอะไรๆมันก็ไม่เป็นแบบที่เขาคิดไว้ ช่างน่าแปลกใจที่ไม่มีใครรู้จักเขาเลย และคำถามที่เขาอดคิดไม่ได้เลย คือตัวเขาเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน
แต่หากลองคิดในอีกแง่หนึ่ง หากว่าร่างนี้คือตัวเขาเองในอีกโลกที่ไม่เคยมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อยู่แล้วล่ะจะเป็นอย่างไร ถ้าเป็นเช่นนี้ข้อสงสัยหลายๆอย่างก็จะถูกคลี่คลายไปได้แล้ว
"อย่าเศร้าไปเลย ข้าเข้าใจว่าความโดดเดี่ยวเป็นเช่นไร ข้าเองก็กำพร้าพ่อแม่มาแต่เด็กต้องอยู่คนเดียวบ่อยๆ"
"ห้ะ?"
จู่ๆไกรทองก็เดินมากอดคนตัวขาวโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง คนผิวเข้มว่าพลางลูบหัวคนตัวเล็กกว่าไปพลางอย่างอ่อนโยน แต่กับคนถูกกอดตอนนี้งงตาแตกไปแล้ว
"เอ็งทำอะไร?"
"ข้าเห็นเอ็งเงียบไป อีกทั้งยังทำหน้าเศร้า ข้าจึงคิดว่าเอ็งอาจจะเสียใจที่ต้องโดดเดี่ยว"
คำตอบนี้ทำให้คนได้ยินอยากจะยกรางวัลนักมโนยอดเยี่ยมให้เสียจริง แค่เขานิ่งคิดเรื่องบางอย่างในหัวเจ้าหน้าหล่อนี่ก็คิดเป็นตุเป็นตะว่าเขาเศร้าได้แล้ว
"ปกติเอ็งกอดคนไม่รู้จักเช่นนี้ทุกคนเลยหรือ?"
"แต่ข้ากับเอ็งรู้จักกันหนา"
"เอ็งไม่รู้จักชื่อข้าด้วยซ้ำ"
"เอ็งก็ไม่รู้ชื่อตัวเองมิใช่หรือ"
"..."
อีกหนึ่งนิสัยของไกรทองที่เขาคงต้องจดเข้าบัญชีไว้คงเป็นการเจรจาต่อล้อต่อเถียงที่ยอดเยี่ยม เรียกได้ว่าสรรหามาตอบโต้ทุกคำจริงๆ
"อย่างไรก็ตาม นี่เองก็ค่ำแล้ว เอ็งมาพักที่กระโจมของข้าก่อนเถอะ"
"มันจะดีหรือ ข้าไม่อยากรบกวน"
จะเรียกว่านิสัยดีเกินไปหรือไม่ระวังตัวเลยดี ไกรทองคนนี้หากเขาเป็นโจรผู้ร้ายหรือไม่ประสงค์ดี คาดว่าเจ้าตัวคงจะชิบหายไปไหนต่อไหนตั้งนานแล้ว
"ไม่เป็นไรคนกันเองแท้ๆ อย่าคิดมากเลย ข้าถูกชะตากับเอ็งอย่าคิดมากให้ปวดหัวเลย ตามข้ามาเร็ว"
พอพูดจบร่างสูงก็หันหลังเดินไปอีกฝั่งทันที คนที่ทำอะไรไม่ได้มากจึงเดินตามคนรู้จักเพียงคนเดียวไปไม่ห่าง
ทั้งสองเดินเลาะไปตามริมน้ำเพื่อง่ายต่อการจำทาง ตอนนี้เองฟ้าก็ใกล้มืด ยิ่งรอบข้างมีเพียงแสงไฟ จากตะเกียงเล็กๆในหมู่บ้าน อันตรายจากความมืดก็ยิ่งจะคลืบคลานไปเรื่อยๆ
ระหว่างที่เดินไปตามทางมืดสลัวอยู่นั้นเอง จู่ๆคนตัวขาวก็เหมือนไปสะดุดอะไรบางอย่างเข้าจนเซ ดีที่ข้างหน้ามีร่างสูงยืนอยู่ มิเช่นนั้นเขาอาจจะหน้าทิ่มดินไปแล้ว
"เป็นอันใดหรือไม่"
"ข้าขอโทษ เหมือนว่าข้าจะไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง"
พอว่าจบดวงตาคู่สวยก็หลุบลงต่ำเพื่อมองตรงเท้าของตัวเอง เท่านั้นแหละ ร่างของคนทั้งสองที่ได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงเท้าก็รีบขยับตัวถอยห่างทันที
โดยที่ไกรทองรีบอุ้มร่างโปร่งพาดบ่า ถอยหนีเจ้าจระเข้ยักษ์ที่นอนขวางทางไปหลายก้าว
"แล้วเอ็งจะอุ้มข้าทำไมมิทราบ?"
"เท้าเอ็งเหยียบหัวมันอยู่ ข้ากลัวมันจะกัดขาเอ็งเข้า"
"อะ..เอ่อ เช่นนั้นก็ขอบใจมาก"
เจ้าของดวงตาสีปีกกาลอบถอนหายใจ ขอบคุณตัวเองที่ยังไม่เผลอสถบด่าผู้ช่วยชีวิตตัวเองไว้ แต่จะว่าเจ้าไกรทองนี่น่าด่ามันก็น่าด่าอยู่หนา ทั้งดึงทั้งกอด นี่ยังมาอุ้มคนอื่นไปมั่วอีก
"เป็นบุญของเอ็งที่จระเข้ตัวนั้นไม่ได้ทำอะไร"
"ปกติพวกมันความรู้สึกช้าหรือ?"
"ไม่มีทาง เจ้าพวกนี้ความรู้สึกไวจะตายไป ข้ายังสงสัยอยู่เลยว่าเหตุใดตอนนี้เอ็งยังรอด"
โดยปกติแล้วแค่มนุษย์เข้าใกล้ จระเข้พวกนี้ก็พุ่งมากัดแล้ว แต่นี่คนงามเล่นเอาเท้าไปเหยียบมันแต่ดันรอดมาได้ ช่างเป็นคนที่ดวงแข็งอะไรเช่นนี้
ทว่าก่อนที่จะมัวสนใจเรื่องอื่นพวกเขาคงละเลยความปลอดภันในปัจจุบันไม่ได้ เจ้าจระเข้ยักษ์ตอนที่พวกเขาขยับตัวออกก็รีบหันหน้ามาหา แต่ก็ยังไม่ได้ทำอะไรทำเพียงจ้องหน้าพวกเขาเท่านั้น
"นะโมพุทธายะ..."
"...?"
ไกรทองที่นิ่งๆอยู่จู่ๆก็พนมมือขึ้นมาสวดคาถาบางอย่าง คนที่ถูกอุ้มพาดบ่าอยู่ตอนนี้ถึงกับทำตัวไม่ถูก เพราะช่วงเวลาความเป็นความตายแบบนี้ เจ้าหน้าหล่อนี่ดันมาสวดมนต์เนี่ยนะ
เสียงวัตถุบางอย่างตกลงน้ำทำให้คนตัวขาวสงสัยจนพยายามหันมอง นั่นเองจึงเป็นจังหวะเดียวกับที่คนสวดคาถาแปลกๆหยุดสวดพอดี
"ก้นเอ็งมันโดนหน้าข้า"
ก็อย่างว่าแหละคนตัวสูงอุ้มคนงามพาดบ่าอยู่ ช่วงบั้นท้ายที่ขยับไปมาเลยมีช่วงนึงที่มาถูกหน้าเขาพอดี
"เมื่อครู่เสียงอะไรน่ะ"
ตอนนี้ประเด็นของคนตัวขาวไม่ได้อยู่ที่ก้นเขาจะไปถูกหน้าใคร แต่พี่เข้ตัวบะเร้อนั่นไปไหนแล้ว
"เมื่อครู่ข้าสวดคาถาไล่มันไปแล้ว"
ไกรทองตอบกลับเสียงเรียบก่อนจะค่อยๆวางร่างโปร่งลงกับพื้น ดวงตาคู่สวยจึงกวาดมองจุดที่จระเข้เคยอยู่นิ่งจนกระทั่งมั่นใจว่ามันจากไปแล้ว
"ไปแล้วจริงๆ"
"ข้าบอกแล้ว ระดับมือปราบจระเข้ที่เก่งที่สุด ไม่ว่าจะจรเข้หน้าไหนก็ทำอะไรเอ็งตอนอยู่กับข้าไม่-- เดี๋ยวไปไหนแล้ว"
ในระหว่างที่ไกรทองกำลังโม้ถึงสรรพคุณของตัวเอง คนงามก็เดินลิ่วๆหนีไปตามทางก่อนแล้ว เอาเป็นว่าใครจะอยู่ก็อยู่ ส่วนถ้าจระเข้มาอีกก็ตัวใครตัวมัน
หนุ่มผิวสีมองตามคนตัวขาวที่เดินไปไม่รอ พลางส่ายหัวไปมากับตัวเองครู่หนึ่ง ไม่รู้จะขำหรือเอ็นดูคนที่กลัวจระเข้จนทิ้งเขาไว้ดี
"ว่าไปแล้ว.. ก็นิ่มดี.."
คะ..ค๊ะ?
ที่นิ่มนี่มือ? หรือ อะไรคะพ่อ?
นี่พึ่งตอนที่2เองนะ พ่อเนียนหลายทีแล้วนะพ่อ