เอรินหยิบหนังสือเล่มที่อ่านค้างไว้ตั้งแต่เมื่อเช้ามาอ่าน หลังจากกลับ มาจากร้านของนิมา ซึ่งถามไถ่เรื่องราวระหว่างเอรินกันปานรวี เอรินบอกไปว่าไม่มีอะไร แต่คนช่างสังเกตอย่างนิมาคงพอจะดูออกว่าน่าจะมีเรื่องอะไรแต่ไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียง เอรินออกมาจากร้าน หลังจากปานรวีไม่นานนักโดยไม่ได้รอทานมื้อค่ำดังที่ตกลงกับนิมาเอาไว้ก่อนหน้า เอรินถอนใจ เมื่อมานึกถึงสิ่งที่ปานรวีพูดตอนที่ได้พบกัน แล้วก็เหลือบไปเห็นรถยนต์คันที่จอดอยู่เยื้องๆ กับหน้าบ้านของตัวเอง
“พี่ป๊อบ” เอรินเคาะกระจกทำเอาคนที่นั่งอยู่ด้านคนขับสะดุ้งเล็กน้อย
“อ๋อม” ปานรวียิ้มจางๆ รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักที่เห็นใบหน้าที่ไม่มีรอยยิ้มเลยสักนิดของเอริน
“เข้าบ้านกับอ๋อมก่อนนะคะ” เอรินบอกคนที่เลื่อนกระจกรถลงมาทาง ด้านที่เอรินยืนอยู่
ปานรวีปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย โดยไม่ได้พูดอะไรเดินตามเจ้าของบ้านเข้ามาเงียบๆ หลังจากเอรินนำน้ำดื่มเย็นๆ มาวางให้ ปานรวียิ้มน้อยๆ แต่ยัง คงนั่งเงียบเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
“พี่ขอโทษที่พูดจาไม่ค่อยดีไปเมื่อตอนเย็น” ปานรวีถอนใจ มองสบ ตากับคนที่เริ่มมีรอยยิ้มให้เห็น
“อ๋อมต่างหากที่ต้องขอโทษ พี่ป๊อบ” เอรินบอก
“พี่แย่เนอะ โตกว่าตั้งเยอะ พูดอะไรออกไปอย่างนั้นได้อย่างไรก็ไม่รู้ ไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีก่อน” ปานรวีพูดต่อว่าตัวเอง
“ขับรถมาตั้งไกล เลิกพูดเรื่องไม่สบายใจกันดีกว่าไหมคะ” เอรินบอก
“มาทำไมก็ไม่รู้ทั้งๆ ที่ว่าอ๋อมไปตั้งเยอะ แต่สุดท้ายก็ขับรถมาจอดอยู่หน้าบ้านอ๋อม” ปานรวียิ้มเจื่อนๆ มองคนที่เริ่มมีรอยยิ้มกว้างมากขึ้น
“แต่อ๋อมดีใจนะ ที่พี่ป๊อบมา” เอรินยิ้มๆ หวังว่าคนที่ดูท่าทางกังวลจะมีรอยยิ้มสวยๆ ให้เห็น
“ทำไมถึงดีใจล่ะ ทั้งๆ ที่โดนพี่ต่อว่าซะยืดยาวเลย”
“อ๋อมผิดจริงนี่คะ ที่หายไปเฉยๆ ไม่ตอบข้อความ อ๋อมแอบกังวลกับความรู้สึกตัวเอง” เอรินบอก
“กังวลเรื่องอะไรกันคะ” ปานรวีถามทั้งๆ ที่ก็ตั้งคำถามกับตัวเองเช่น กันว่า ตัวเองนั้นกังวลเช่นเดียวกันกับเอรินด้วยหรือไม่
“เรื่องที่บอกเมื่อตอนเย็นน่ะคะ ว่ารู้สึกสนิทกับพี่ป๊อบเร็วมาก ซึ่งอ๋อมเองไม่เคยเป็นแบบนี้” เอรินพูดเสียงอ่อยๆ
“เลยเลือกที่จะเฉยชา ใจร้ายนะแบบนั้น” ปานรวีพูดเสียงเข้ม
“พูดแบบนี้ รู้สึกผิดหนักกว่าเดิมอีก ไม่ได้เจอ ไม่ได้คุย แต่ก็คิดถึง”
“ไม่น่าเป็นคนขี้กังวลเลยนะคะ แต่ก็ขอบคุณที่คิดถึง รู้ไหมพี่นะ รู้สึกผิดมากที่พูดจาไม่ดีไปกับอ๋อม ตั้งแต่ที่บ้านแถมยังเมื่อตอนเย็นที่ร้านขนมนั่นอีกเสียงดังเอ็ดอ๋อมน่าอายมาก” ปานรวีพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“โดนเอ็ดซะบ้างก็ดีค่ะ เด็กงอแงอย่างอ๋อมน่ะ ดุได้ว่าได้ค่ะ ถ้าทำให้พี่ป๊อบยิ้มได้ อ๋อมยอมทุกอย่างเลย” เอรินพูดยิ้มๆ ตอนไม่
ได้พบเจอกัน ก็คิดว่าวันหนึ่งความรู้สึกแปลกๆ คงจะจางไป แต่พอได้พบเจอ ได้พูด ได้คุยกลับทำให้ความรู้สึกดีๆ นั้นกลับมาชัดเจนขึ้นอีกครั้ง
“ที่จริง พี่ก็ไม่ได้ชอบเอ็ดใครนะ”
“เพราะใส่ใจอ๋อมไงคะ ถึงได้เอ็ด” เอรินบอก
“เข้าข้างตัวเองไปหรือเปล่าคะ” ปานรวียิ้มน้อยๆ ให้คนที่เริ่มมีรอยยิ้มทะเล้นๆ ให้เห็น
“คิดถึงข้างเดียวก็ได้ค่ะ งั้น” เอรินยิ้มจางๆ
“ข้างไหน” ปานรวีถามโดยไม่ได้คิดอะไร แต่คำตอบที่ได้ยินนั้นทำให้หัวใจรู้สึกแปลกๆ
“ข้างใจมั้งคะ ว่าแต่พี่ป๊อบรีบกลับไหมคะ อยากเลี้ยงหนังคืน แก้ตัวด้วยครั้งนี้จะไม่หลับระหว่างทางแล้ว” เอรินหัวเราะแหะๆ
“เอาสิพรุ่งนี้วันอาทิตย์ พี่ไม่ได้ทำงาน ว่าแต่อ๋อมเถอะ ต้องทำงานหรือเปล่า” ปานรวีถามด้วยความเป็นห่วง
“หยุดค่ะ ดูกันยันสว่างเลยไหมคะ เหมือนดูหนังกางแปลงตอนเด็กๆ” เอรินหัวเราะคิกคัก เมื่อเห็นปานรวีทำหน้าตาแปลกๆ
“ชีวิตจะลำบากไปไหม ต้องอดหลับอดนอนดูหนังน่ะ” ปานรวียิ้ม
“เคยแต่อ่านหนังสือค่ะ หนังยังไม่เคยดูจนสว่างคาตา พี่ป๊อบจะดูเป็นเพื่อนไหมล่ะคะ อยากลองเหมือนกัน” เอรินพูดแหย่
“ไม่เอาล่ะ เรื่องเดียวก็พอแล้ว ดูหนังยาวๆ เยอะๆ ปวดตามีหวังต้องตัดแว่นใหม่” ปานรวีบอก
“ใส่แว่นด้วยหรือคะ” เอรินถามด้วยความแปลกใจ
“ทำไมต้องเสียงสูงขนาดนั้นคะ”
“ก็แปลกใจ เออว่าแต่ว่า ถ้าดูหนังเรื่องหนึ่งก็ดึกอยู่นะคะ นอนนี่ไหม ใช้หนี้เมื่อวันก่อนที่ไปกวนพี่ป๊อบ” เอรินยิ้มอายๆ
“รบกวนหรือเปล่า”
“ไม่เลยค่ะ ดีใจล่ะสิไม่ว่า เดี่ยวไปเตรียมห้องให้เลย” เอรินทำท่าจะลุกขึ้น แต่ถูกรั้งตัวเอาไว้
“ไม่ต้องเลยห้องอ๋อมก็ได้ จะได้ไม่ต้องลำบากว่าแต่อึดอัดหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ แต่อ๋อมกลัวพี่ป๊อบจะอึดอัดน่ะสิคะ”
“ถ้าอึดอัดแล้วจะบอก ให้อ๋อมลงมานอนข้างล่างก็แล้วกัน ตกลงตามนี้เน๊าะ” ปานรวีหัวเราะคิกคักออกมา เมื่อเห็นเอรินขย่มตัวไปที่เก้าอี้รับแขกซึ่งนั่งอยู่ ทดสอบดูความนุ่มแล้วก็ทำหน้าจ๋อย
“ก็ได้ค่ะ ว่าแต่ต้องโทรศัพท์บอกพี่โตไหมคะ” เอรินถามเสียงอ่อยๆ
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ไม่ได้กังวลอะไรใช่ไหม”
“เปล่าค่ะ แค่ถามดูเฉยๆ เผื่อพี่ป๊อบจะโทรศัพท์หาพี่โต อ๋อมจะได้ไปเตรียมชุดนอนให้ พี่ป๊อบจะได้คุยโทรศัพท์ได้สะดวก”
“อ๋อมบอกตรัยหรือเปล่าที่ไปนอนบ้านพี่น่ะ” ปานรวีถาม
“เปล่าค่ะ”
“คนเราต้องมีเวลาส่วนตัวและเรื่องส่วนตัวกันบ้าง ถ้าจะต้องบอกกันทุกเรื่องคงต้องคุยกันทั้งวันทั้งคืนนะ ว่าไหม” ปานรวี
ชำเลืองมองสังเกตคนที่ยิ้มน้อยๆ และลุกไปที่หน้าทีวี
“อ๋อมอยากเล่านะคะ เมื่อก่อนตอนอยู่กับแม่ กลับบ้านปุ๊บ เล่าโน่นเล่านี่ จนหลังๆ แม่รำคาญบอกเล่าแต่เรื่องคนไข้ เรื่องเลือด เรื่องยา เบื่อจะฟัง” เอรินหัวเราะกลับมานั่งลงข้างๆ ปานรวี
“ไว้เล่าให้พี่ฟังบ้างสิ” ปานรวีพูดขึ้นลอยๆ สายตาจับจ้องอยู่ที่หน้า จอทีวี เอรินแอบถอนใจเบาๆ
“เดี๋ยวแต่งงานมีลูก ก็ไม่มีเวลามาฟังน้องนุ่งแล้วมั้งคะ”
“ก็ไปเล่าที่บ้านสิคะ ได้ช่วยเลี้ยงหลานด้วย” ปานรวีบอก
“โหยสงสารหลาน ได้น้าอย่างอ๋อมนะ ไม่ได้เรื่องสักกะอย่าง พี่ป๊อบอยากมีลูกสาวหรือลูกชายคะ” เอรินถามดูเป็นเรื่องปกติ ซึ่งจริงๆ ก็เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปของคนที่อายุอานามเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน แถมปานรวียังมีคู่หมั้นคู่หมาย ซึ่งคงจะแต่งงานในอีกไม่นานนัก
“ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ได้คิดไกลขนาดนั้นนะ ว่าแต่ว่า ถ้าพี่แต่งงานแล้ว อ๋อมยังจะเป็นอ๋อมแบบนี้อยู่ไหม พี่ยังมานั่งดูหนังด้วยได้อยู่หรือเปล่า”
“คงได้ค่ะ” เอรินพูดเสียงอ่อยๆ
“น้ำเสียงเหมือนไม่ค่อยเต็มใจนะ” ปานรวียิ้มน้อยๆ
“หาอะไรมาให้ทานดีกว่า” เอรินหาทางพูดเปลี่ยนเรื่อง
“ไม่อยากทานแล้วค่ะ ดูหนังเถอะ” ปานรวีดึงมือเอรินที่เซถลาตามแรงดึงนั้นจนล้มลง ปานรวีคว้าตัวโอบกอดเอาไว้แบบไม่ได้ตั้งใจนัก
“ขอโทษค่ะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ” เอรินขยับออกหางทันที
“ไม่เจ็บเลย ตัวหอมเหมือนกันนะ เราน่ะ” ปานรวีพูดออกมา แต่สาย ตาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่หน้าจอทีวีเหมือนเดิม เหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรนักกับสิ่งที่พูด เอรินจ้องมองแล้วแอบถอนใจขยับนั่งให้ห่างออกมาอีกเล็กน้อย
ความมืดมิดเข้าครอบงำ หลังจากสองสาวล้มตัวลงนอน ปกติเอรินเป็นคนหลับง่าย เรียกว่า หัวถึงหมอนก็สามารถหลับได้ในเวลาไม่นานนัก หากแต่ว่า ความกังวลที่มีคนมานอนอยู่ข้างๆ นั้น ทำให้เจ้าของบ้านต้องคอยมองและเฝ้าสังเกตว่า ปานรวีนอนหลับไปแล้วหรือยัง ส่วนปานรวีนั้นคิดว่าเอรินหลับไปแล้ว พลิกตัวหันมาก็สบตาเข้ากับคนที่จ้องมองอยู่ก่อน ถึงแม้จะไม่มีแสงไฟ แต่แววตาวาววับนั้น ก็เห็นได้อย่างเด่นชัด เอรินยิ้มน้อยๆ
“นอนไม่หลับ หรือคะ” เอรินถาม
“คงแปลกที่ เดี๋ยวคงหลับ” ปานรวีบอก ถอนใจเบาๆ หลบสายตาของเอริน ซึ่งไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันถึงไม่กล้ามองสบตาด้วยในเวลาแบบนี้
“ขยับมาใกล้ๆ สิคะ อ๋อมมีวิธี” เอรินบอก ปานรวีทำท่าคิดนิดหนึ่ง และขยับเข้าใกล้อีกเล็กน้อย เอรินก็ขยับเข้ามาพยักหน้าเป็นสัญญาณให้คนที่มองด้วยความงุนงงขยับตัวเล็กน้อย เพื่อที่จะได้เอื้อมแขนไปโอบกอดเอาไว้
“มันแปลกๆ นะ อ๋อม” ปานรวีรำพึงออกมาเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ขยับหนี
“ขยับออกหรือขยับเข้าใกล้อ๋อมก็ได้นะคะ เอาแค่ที่พี่ป๊อบรู้สึกว่านอนสบายน่ะคะ” เอรินบอกเพราะจากสิ่งที่ได้ยินปานรวีพูด คง
รู้สึกกังวลและคิดว่าปานรวีคงขยับออกไปอีกเล็กน้อยแต่กลับตรงกันข้ามกับที่คิด เพราะคนที่ถอนใจเล็กๆ ไปเมื่อสักครู่นั้น กลับเบียด
ตัวและซุกใบหน้าไปกับหน้าอกของเอรินที่กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีก
“แค่นี้ ไม่เป็นไรใช่ไหม” ปานรวีถามเสียงแผ่วๆ
“เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม ฉันเก็บเอาไว้ให้เธอ และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ ถนนสายนั้นที่ทอดยาว มีเรื่องราวของความเป็นจริง มีเงา
ไม้เอาไว้ให้พักพิงมีให้เธอเอาไว้ยามอ่อนล้า” เอรินยังคงร้องเพลงคลอเบาๆ ปานรวียิ้มๆ เบียดตัวเข้าหาอ้อมกอดอันแสนจะอบอุ่นนั้นอีกครั้ง จนกระทั่งหลับไปตอนไหนไม่รู้ตัว แต่เพลงที่ได้ยินนั้น ทำให้เกิดรอยยิ้มทั้งบนใบหน้าและในหัวใจได้อย่างชัดเจน เอรินร้องไปจนจบเพลง อมยิ้มและกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีกชำเลืองมองคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมกอดและหลับไปอย่างมีความสุข