“อื้อ!” เซี่ยอีอิ่งต่อต้านด้วยการขบริมฝีปากล่างของชินอ๋องแห่งต้าฉีจนปริแตก แต่ร่างสูงใหญ่กลับยิ่งบดขยี้กดริมฝีปากหยักสวยหนักมากยิ่งขึ้น ริมฝีปากขององค์หญิงฮวาเป๋ยบวมเจ่อจนนัยน์ตาหงส์เริ่มแดงก่ำ
“เจ้ากัดข้า ข้าก็กัดตอบ ก็สมควรแล้วไม่ใช่หรืออย่างไรกัน” หวังอ๋องยักคิ้วใส่โฉมสะคราญที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ และก่อนที่นางจะหลุดคำหยาบคายออกมา บุรุษองอาจก็อุ้มร่างอรชรขึ้นมา จากนั้นก็กดให้สตรีนอนราบลงไปบนตั่งอย่างไม่ยากเย็นนัก
“ท่านคิดจะทำอะไร ลู่จื่อ ช่วยข้าด้วย!” เซี่ยอีอิ่งหน้าถอดสี เมื่อเห็นว่าชินอ๋องแห่งต้าฉีกำลังจะถอดเสื้อผ้าออก แต่นางร้องไปได้ไม่กี่คำก็ถูกฝ่ามือหยาบกระด้างอุดปากไว้ ร่างสูงใหญ่เปลือยเปล่าอย่างรวดเร็ว แผงอกล่ำบึ้กทำให้โฉมสะคราญรู้สึกหวาดกลัว และยิ่งเมื่อหลุบสายตามองลงต่ำก็ต้องตกใจจนหน้าขึ้นสีแดงก่ำเพราะหน้าท้องที่มีมวลกล้ามเนื้อแข็งแรงวางเรียงกันอย่างงดงามนั้นปลุกอารมณ์บางอย่างทำให้นางรู้สึกเกร็งที่ท้องน้อย
“อื้อ! อื้อ!” คนใต้ร่างดิ้นอย่างรุนแรง ตอนนี้นางไม่สนใจด้วยซ้ำว่าข้อเท้าจะบาดเจ็บหรือไม่
“องค์หญิงห้า ...มิใช่สิ เจ้าเป็นเพียงเชลยมีหน้าที่คอยอุ่นเตียงให้ข้า ดังนั้นควรเรียกว่าเมียรักถึงจะถูก” หวังหย่วนเหอยิ้มร้าย ในใจลึก ๆ เขาไม่ค่อยพอใจนักที่เซี่ยอีอิ่งต่อต้านเช่นนี้ ทั้งที่สตรีทั่วทั้งแคว้นต่างก็ต้องการปรนนิบัติอุ่นเตียงให้เขาทั้งนั้น แต่นางกลับไม่ยินยอม
“ข้ามีคู่หมั้นแล้ว...ถ้าท่านกล้าข่มเหงก็ลองดู ถ้าองค์ชายเก้ารู้เรื่องนี้ เขาไม่มีทางปล่อยท่านเอาไว้แน่” สตรีเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ นางเป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้นฮวาเป๋ย ไม่มีทางที่จะมีจุดจบเฉกเช่นนี้ แววตาของหวังอ๋องเข้มขึ้นทันทีที่ได้ยินองค์หญิงห้าย้ำสิทธิ์ของตงหรุ่ยที่อยู่เหนือกว่าเขา
“เจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า มิใช่ของตงหรุ่ยนั่น” คนหน้าด้านก็ยังคงหน้าด้านอยู่วันยังค่ำ ความเข้าใจผิดนี้แก้ยากเสียแล้ว ชินอ๋องผู้เอาแต่ใจตัวเองไม่ยอมฟังคำขององค์หญิงห้าเลยสักเพียงนิด เมื่อเถียงกันไปก็หาข้อสรุปไม่ได้ บุรุษองอาจจึงแทรกตัวเข้ามากลางหว่างขาของโฉมงาม เล่นเอาเซี่ยอีอิ่งตั้งตัวแทบไม่ทัน
“ข้าบอกว่าไม่...อื้อ! อะอือ อ่อยอ๊ะ (ปล่อยนะ)” ร่างสูงใหญ่โน้มตัวลงมากอดร่างบอบบางเอาไว้ จากนั้นริมฝีปากหยักสวยก็จู่โจมริมฝีปากที่บวมเจ่อทันที แม้ว่าภายในโพรงปากสาวจะเจือไปด้วยรสขมฝาดของเลือดเก่าจากแผลปริแตกของบุรุษ แต่ว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้รสชาติอันหวานละมุนลดลงไปได้เลย
“ทะ ท่านอ๋องอย่า...อย่าทำหม่อมฉันเลยนะเพคะ” เซี่ยอีอิ่งยอมพูดขอร้องหวังอ๋องด้วยถ้อยคำอ่อนหวานแต่กลับถูกฝ่ามือหยาบกร้านลูบไล้ไปทั่วทั้งเรือนกายอย่างไม่ปรานี เสื้อผ้าเนื้อหยาบที่สวมติดกายก็ถูกฉีกทึ้งจนแทบไม่เหลือติดร่างกาย ร่างขาวเนียนปรากฏต่อสายตาชายหนุ่มที่ส่องประกายวับวามเจือไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจ
“เจ้าขอร้องหรือร้องไห้ไปก็ไร้ผล องค์หญิงห้าต้องเป็นสตรีของข้าเพียงเท่านั้น” สิ้นคำนั้น ริมฝีปากร้อนก็ไล่จุมพิตต่ำลงมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ซอกคอขาวเนียนที่แม้จะเจือไปด้วยกลิ่นเหงื่อแต่มันก็หอมรัญจวนจนหวังอ๋องควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ เขาขบเม้มผิวกายนั้นของโฉมงามด้วยความหื่นกระหาย เนิ่นนานมาแล้วที่ชินอ๋องไร้คนข้างกายคอยอุ่นเตียงให้ ความเสียดเสียวจู่โจมไปทั่วร่างกายของเซี่ยอีอิ่ง
“คนบ้า! อย่ากัดนะ” เซี่ยอีอิ่งไม่ยอมนอนนิ่ง ๆ ให้หวังหย่วนเหอเชยชมได้อย่างถนัดถนี่ นางทั้งดิ้นทั้งจิกทั้งข่วนจนหน้าอกของแม่ทัพหนุ่มเป็นรอยยาว แต่ชินอ๋องเหมือนคนอำมหิต นอกจากเขาจะไม่เจ็บแล้วยังรู้สึกชอบอีกด้วย
“สุดท้ายแล้วเจ้าก็ไม่คิดจะยอมลงให้ข้าใช่หรือไม่” ร่างสูงใช้มือข้างหนึ่งรวบแขนทั้งสองที่สร้างบาดแผลให้เขาไว้เหนือหัวของสตรี แล้วก้มหน้าลงไปใช้จมูกดอมดมที่ทรวงอกอวบอิ่มนั้น
“ยะ อย่านะ...อย่ามองตรงนั้น” เซี่ยอีอิ่งหมดแรงไปในทันทีที่ถูกรุกเร้าตรงจุดอ่อนไหว แม้นางจะรู้สึกไม่ยินยอมแต่ท้ายที่สุดความเสียวซ่านก็แทรกซึมเข้ามาผ่านจุมพิตอันอ่อนละมุนนั้นที่กำลังสัมผัสปลายยอดผลอิงเถาสีอ่อนให้ตั้งชูชันผิดกับการแสดงออกของนาง
“เจ้ากลัวหรือ...” อยู่ดี ๆ บุรุษองอาจก็รู้สึกสงสารสตรีขึ้นมา สีหน้าของเซี่ยอีอิ่งในตอนนี้ทำให้เขาแทบอดทนไม่ไหวอีกต่อไปเพราะท่อนเนื้อที่อยู่กึ่งกลางกายยืดขยายใหญ่ขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ มันดุนดันอยู่ที่จุดกึ่งกลางของสตรีด้วยความรู้สึกทรมานอย่างถึงที่สุด
“อ๊ะ อื้อ” อีอิ่งครางออกมาโดยไม่รู้ตัว ร่างขาวเนียนโอนอ่อนผ่อนตามอย่างน่าประหลาดคล้ายกับว่านางกำลังจะยินยอมให้เขาล่วงล้ำเข้ามาใกล้ หวังหย่วนเหอเห็นดังนั้นก็ยิ่งขบเม้มยอดปทุมถันให้แรงขึ้นอีกพร้อมทั้งขยับสะโพกสอบ ใช้เจ้าแท่งร้อนนั้นครูดสีไปที่เนินเนื้อที่ปิดสนิท
“อืมมม” ร่างสูงดูดยอดถันรุนแรงขึ้นจนร่างบางจากที่หลับตาลงรับสัมผัสที่ไม่คุ้นเคยก็สะดุ้งตัวลืมตาโพลง
“จะ เจ็บนะ!” โฉมงามเผลอใช้น้ำเสียงตัดพ้อ นัยน์ตาหงส์เอ่อล้นไปด้วยน้ำใสที่พร้อมจะร่วงลงมาได้ทุกขณะ ขณะที่ทุกอย่างกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็ม ทหารที่อยู่ด้านนอกก็ส่งเสียงร้อนรนเข้ามาขัดจังหวะ
“เรียนท่านอ๋อง ห่างออกไปราว ๆ สิบลี้มีกองทัพของแคว้นเสวี่ยหลงเข้ามาในเขตของเราพ่ะย่ะค่ะ” เพียงรองแม่ทัพรายงานข่าวด่วน ร่างสูงก็คำรามออกมาด้วยความขัดใจแต่ก็ยอมหักห้ามใจ เขาเงยหน้าขึ้นไม่แม้แต่จะสบตาองค์หญิงห้าด้วยซ้ำ
“แคว้นเสวี่ยหรือ...เจ้าให้คนส่งม้าเร็วไปแจ้งสารถึงองค์ชายเก้า บอกว่า ‘ข้าเก็บเชลยได้คนหนึ่ง มีหน้าตาคล้ายกับองค์หญิงห้าแคว้นฮวาเป๋ย แต่ว่านางนั้นตกเป็นของข้าแล้ว’ แล้วก็รีบมารายงานข้า” หวังหย่วนเหอแสยะยิ้มร้ายกาจ เขากำข้อมือของเซี่ยอีอิ่งแน่น
นางสบตาเขาแล้วน้ำตาก็ไหลรินลงมาเมื่อได้ยินคำสั่งนั้น “ข้าไปทำสิ่งใดให้ท่านขุ่นเคืองกัน เหตุใดต้องมาทำร้ายข้าด้วย” สตรีร้องไห้พร้อมกับด่าทอบุรุษจนลู่จื่อที่เพิ่งได้ยินเสียงด้านในเล็ดลอดออกมารู้สึกเป็นห่วงองค์หญิงขึ้นมา คำถามประโยคนั้นของคนที่นอนอยู่ใต้ร่างทำให้หวังอ๋องคลายข้อมือของโฉมสะคราญออก
“เจ้าบอกว่าเป็นคู่หมั้นตงหรุ่ยมิใช่หรือ ข้าอยากรู้นักว่าเขาจะมาช่วยเจ้าหรือไม่” ร่างสูงใหญ่หัวเราะดังลั่นเพราะถ้าหากองค์ชายเก้าติดกับดักยอมนำทัพออกมาจริง ๆ เขานี่แหละจะเป็นคนสังหารชายคนนั้นที่บังอาจได้หมั้นหมายกับสตรีที่เขาหมายตาผู้นี้
เซี่ยอีอิ่งเริ่มหวาดกลัวในใจเพราะหวังอ๋องผู้นี้เป็นคนน่ากลัว ถ้าหากนางยอมเป็นนางบำเรอให้เขาจริง ๆ ต่อจากนี้ไปจะเป็นเช่นไร แววตาของสตรีฉายแววสับสน หวังหย่วนเหอจึงผละตัวออกพร้อมกับเรียกให้ทหารรับใช้นำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ รอเพียงไม่นานนักเสื้อผ้าเนื้อดีก็ถูกนำมาส่งจำนวนสองชุด ชินอ๋องลุกขึ้นแต่งตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โยนชุดคลุมกายตัวหนึ่งของตัวเองให้องค์หญิงห้าสวม
“ถ้าหากว่าเจ้ายังคงนั่งเหม่อลอยชักช้าไม่รีบสวมเสื้อคลุม ข้าจะเปลี่ยนใจ...” หวังหย่วนเหอข่มขู่เพียงเท่านั้น เซี่ยอีอิ่งก็รีบกุลีกุจอคว้าชุดคลุมมาห่อตัวที่เปลือยเปล่าเอาไว้ทันที
“ว่องไวดีนี่” ชินอ๋องกล่าวเพียงเท่านั้นก็เสด็จออกไปที่ด้านนอก ชุดเกราะเต็มตัวถูกนำมาสวมให้เขาทันที ม้าศึกถูกนำเข้ามา ทหารในกองทัพตั้งแถวเป็นระเบียบเตรียมพร้อมรอรับคำสั่งจากแม่ทัพใหญ่
ลู่จื่อเห็นว่าชินอ๋องขี่ม้าออกไปแล้วก็ถือวิสาสะเข้ามาดูองค์หญิง
“องค์หญิงเพคะ” เมื่อได้เห็นสภาพภายในรถม้าที่เละเทะไม่เป็นท่า เสื้อผ้าชุดเดิมของโฉมสะคราญถูกฉีกเป็นเศษเล็กเศษน้อย นางกำนัลก็ร้องไห้ออกมาทันทีด้วยความสงสารผู้เป็นเจ้านาย
“ขะ ข้ายังไม่ถูกเขาข่มเหง เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด” เซี่ยอีอิ่งรู้สึกอับอาย หากมีข่าวลือแพร่งพรายออกไปว่านางถูกชินอ๋องแคว้นต้าฉีจับมาเป็นเชลย ถึงเวลานั้นชื่อเสียงก็คงย่อยยับไม่มีชิ้นดี
“องค์หญิงรีบเปลี่ยนชุดดี ๆ ก่อนเถิดเพคะ ก่อนที่ท่านแม่ทัพใหญ่จะกลับมา” ลู่จื่อตั้งสติ นางกวาดตามองไปเห็นชุดผ้าไหมของบุรุษที่ยังพับเรียบร้อยดีจึงรีบหยิบขึ้นมาฉีกชายเสื้อซับในสีขาวตัวบางที่ยาวจนถึงเข่านำมาใช้เป็นผ้าพันหน้าอกให้องค์หญิง เซี่ยอีอิ่งรีบทำตามที่นางกำนัลคนสนิทบอกทันที เพียงไม่นานนัก สตรีโฉมสะคราญก็แต่งตัวมิดชิดส่วนผมที่ยาวสลวยก็ถูกมัดรวบเป็นหางม้าหลวม ๆ เอาไว้ด้วยเศษผ้าที่พอจะนำมาทำเป็นผ้าผูกผมได้ ไม่นานมากนักเสียงม้าก็ดังใกล้เข้ามา ด้วยความเป็นห่วงบ่าวรับใช้ เซี่ยอีอิ่งจึงรีบไล่ให้ลู่จื่อออกไปประจำที่ตามเดิม
“องค์หญิงเพคะ นี่เป็นสิ่งเดียวที่พอจะมอบให้ได้” ก่อนจากไปลู่จื่อรีบยัดปิ่นปักผมทองคำอันเก่าขององค์หญิงที่เคยประทานให้นาง
“ขอบใจเจ้ามาก” โฉมสะคราญไม่เอ่ยคำใดอีก ทั้งสองสบตากันด้วยความรู้ใจเพราะอยู่ด้วยกันมานาน จากนั้นลู่จื่อก็รีบเดินออกไป ไม่ถึงครึ่งเค่อ*แม่ทัพใหญ่ก็ควบขี่ม้ากลับมาพร้อมกับถือของบางสิ่งมาด้วย ทหารที่เดินแถวอยู่ตรงนั้นต่างทำหน้าเรียบเฉย แต่พอบุรุษสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้ ทุกคนก็ผงะตัวออกด้วยความตกใจไปตาม ๆ กัน
“กรี๊ด!” ลู่จื่อที่นั่งอยู่หน้ารถม้าเห็นชินอ๋องเดินถือหัวของใครคนหนึ่งเข้ามาใกล้ แต่พอได้เห็นชัดเต็มสองตาก็ต้องตกใจจนตาเบิกโพลง
“เกิดอะไรขึ้น!” เซี่ยอีอิ่งรีบวิ่งกะเผลกออกมาจากด้านในรถม้า แต่เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือบุรุษองอาจ นางก็ทรุดตัวลงด้วยความหวาดกลัวเพราะในมือของแม่ทัพใหญ่เป็นหัวของบุรุษผู้หนึ่งที่มีหน้าตาคล้ายกับคนใกล้ชิดขององค์ชายเก้า