ดาราวดีหันไปดึงข้อโซ่เหล็กที่มัดข้อเท้าของเธอไว้แน่นหนา หญิงสาวดึงมันครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความรู้สึกกลัวสุดขีด เธอไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนและใครพาเธอมาพันธนาการไว้แบบนี้ ร่างแน่งน้อยพยายามขยับตัวแต่ยิ่งดิ้นรนก็เริ่มเจ็บปวดเพราะข้อเท้ายิ่งเสียดสีกับเหล็กกล้าจนเนื้อรอบ ๆ ข้อเท้าบางเริ่มเป็นรอยแดงช้ำ
“ช่วยด้วย!...ช่วยด้วย!”
ร่างเล็กเริ่มร้องไห้ ไม่เคยกลัวอะไรอย่างนี้มาก่อนในชีวิต เสี้ยวหนึ่งของความคิดเธอประหวัดนึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมาในทันใด แต่แล้วชั่วครู่เธอก็ได้ยินเสียงประตูเหล็กถูกเปิดออก หญิงสาวรีบหันกลับไปมอง นัยน์ตาคู่นั้นเบิกกว้างด้วยความยินดี
“โธมัส!...โธมัส...ช่วยฉันด้วยค่ะ”
หญิงสาวร้องขอความช่วยเหลือจากบอดี้การ์ดของเธอโดยไม่รู้ว่าน้ำที่กบรอบตาเหือดแห้งไปตอนไหน ร่างสูงใหญ่ยังอยู่ในชุดสูทเนี๊ยบกริบ ใบหน้าของเขายังราบเรียบขณะจ้องมองร่างเล็กที่พยายามขยับโซ่เหล็กไปมา
“โธมัส...ได้โปรดช่วยฉันด้วยค่ะ...ที่นี่มันที่ไหนกันคะ”
ดาราวดีถามเสียงสั่นขณะร่างใหญ่กำยำย่อตัวลงและยังคงจ้องมองร่างบอบบางที่ตอนนี้อยู่ในชุดยาวสีขาวราวเทพธิดากรีก ผมเป็นคลื่นอ่อนสีน้ำตาลเป็นประกายยุ่งสยาย ใบหน้างามซีดจัดด้วยความประหวั่นพรั่นกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ที่นี่คือเกาะครีต”
เขาตอบด้วยน้ำเสียงห้าวหนัก ดาราวดีหยุดชะงักและหันกลับมามองชายหนุ่มอีกครั้ง นัยน์ตาสีน้ำตาลงดงามตอนนี้ฉายความหวาดหวั่นจนเกินระงับ ริมฝีปากบางราวกลีบกุหลาบระริกสั่น
“เกาะครีตอย่างนั้นเหรอคะ...โอ...โธมัส...ฉันไม่รู้เลยว่าใครทำแบบนี้ ได้โปรดช่วยฉันทีเถอะนะคะ เอาโซ่นี่ออกไปจากตัวฉันที”
ดาราวดีตะกายมือทั้งสองไปบนแขนของชายหนุ่ม รั้งแขนเสื้อสูทของเขาและไว้แน่นราวจะหาที่ยึดเหนี่ยว ความหวั่นหวาดนั้นอาบใบหน้างามจนซีดจัด เธอจ้องมองเขาราวกับนี่คือความหวังสุดท้ายในชีวิต โธมัสหรี่นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มอมเทาลง
“คุณอยากมาที่นี่ไม่ใช่หรือ...ยูบีอา”
“ฉันอยากมา...แต่ไม่ใช่แบบนี้...ช่วยฉันเร็ว ๆ เถอะค่ะโธมัส พวกมันอาจอยู่แถวนี้ก็ได้”
“คุณหมายถึงพวกไหน”
“โธมัส...”
ร่างอรชรหยุดชะงักอีกครั้งเมื่อชายหนุ่มเลื่อนมือของเขาขึ้นมาแตะบนใบหน้าของเธอเบา ๆ ปลายนิ้วแกร่งเลื่อนไล้ไปบนกรามเล็กที่สั่นน้อย ๆ ด้วยความกริ่งกลัว เขาเอียงหน้ามองเธอ หญิงสาวเห็นอะไรบางอย่างวูบไหวในดวงตาคมลึกคู่นั้น แล้วรอยยิ้มเหยียดก็จุดขึ้นบนมุมปากของบุรุษผู้ซึ่งหญิงสาวคิดว่าเขาคือความหวังสุดท้าย
”ถ้าคุณหมายถึงคนที่เป็นศัตรูของเฟอร์นันโด เบนฟอร์ด...คนที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนความเลวร้ายของไอ้คนระยำนั่น ตอนนี้มันอยู่ต่อหน้าคุณแล้วนี่ยังไง!”
ดาราวดีตาเบิกตากว้างเมื่อปลายนิ้วแกร่งที่ลูบไล้บนใบหน้าของเธอไปมาเปลี่ยนเป็นบีบคางเรียวไว้แน่น
“โธมัส...”
หญิงสาวรู้สึกเจ็บไปหมดตั้งแต่สันกรามเล็กจนถึงลำคอ ความกลัวของเธอเริ่มแล่นพล่านไปทั่วร่าง มันแผ่ขยายลงไปถึงปลายเท้าขณะนึกลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า เธอกำลังจะกลับบ้านโดยมี เขา เป็นบอดี้การ์ดขับรถให้ และหลังจากนั้นเธอก็รู้สึกง่วงงุนจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ม่านตาของหญิงสาวขยายมากกว่าเดิมหลายเท่าเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น สายเกินไปเมื่อน้ำตาหยดน้อยร่วงไหลลงบนแก้ม
“โธมัส...ทำไม...”
“ทำไมล่ะหรือ...มีอะไรมากมายที่ผมอยากอธิบาย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากบอกให้คุณรู้เอาไว้...นั่นก็คือ จริง ๆ แล้วผมไม่ใช่บอดี้การ์ดมืออาชีพอย่างที่คุณหรือพ่อของคุณเข้าใจ”
“คุณ...เป็นใคร”
รอยยิ้มเหยียดจุดขึ้นอีกครั้งและไม่น่าเชื่อว่านั่นเป็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมและอำมหิตบนใบหน้าคร้ามเข้มของผู้ชายที่ความหล่อเหลากระชากใจเคยสะกดความรู้สึกของเธอไว้แต่แรกเห็น ลมหายใจของเขาผ่าวร้อน หากแต่หญิงสาวกลับรู้สึกว่ามันคือความเหน็บหนาวที่กำลังทะลวงลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งซึ่งเต็มไปด้วยความหวั่นหวาด
“ผมคือโธมัส เอเฟซัส...เฟอร์นันโดไม่รู้จักผม แต่เขารู้จักครอบครัวของผมดี!”
“โธมัส...คุณเป็นใคร”
ชายหนุ่มเอียงหน้า จ้องหล่อนด้วยแววตาแปลกเปลี่ยน ปลายนิ้วแกร่งยังจับปลายคางของหญิงสาวแน่น แน่นจนดาราวดีชาไปหมดทั้งหน้า รอยยิ้มอำมหิตแผ่เต็มริมฝีปากของชายหนุ่ม ดวงตาของเขาสาดประกายกล้าอย่างน่าครั่นคร้าม
“ผมเป็นใครอย่างนั้นหรือ” เขาทวนคำพูดนั้นด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “ผมก็คือลูกชายของราฟและแพทริเซีย เอเฟซัส สองนักธุรกิจชื่อดังที่ถูกลวงไปฆ่าอย่างอำมหิตเพียงเพราะขัดผลประโยชน์กับนักค้าหุ้นและนักลงทุนที่มันคิดว่าตัวเองใหญ่คับฟ้าอย่างเฟอร์นันโด เบนฟอร์ดยังไงล่ะ!”
“คุณพ่อ...มะ...ไม่จริง”
หญิงสาวส่ายหน้าทั้งน้ำตา เสียงของเธอลอดออกมาจากลำคอแห้งผากยิ่งกว่าทะเลทราย ริมฝีปากระริกถูกบังคับให้อ้าออกเพราะถูกนิ้วทรงพลังบีบสันกรามแน่นขึ้นทุกขณะ ใบหน้าคร้ามเข้มโน้มลงมาใกล้ โธมัสเหยียดปาก เขาเหมือนซาตานร้ายที่กำลังสยายปีกอันน่าสะพรึง
“วันนั้น...วันที่พ่อกับแม่ของผมถูกคนของเฟอร์นันโดฆ่าตาย ไม่มีใครแม้สักคนสังเกตเห็นว่ามีเด็กชายอายุสิบขวบคนหนึ่งนอนหลับอยู่บนเบาะด้านหลังของรถ เด็กผู้ชายคนนั้นได้ยินเสียงพูดคุยกัน ก่อนที่เสียงปืนจะดังขึ้นหนึ่งนัด แล้วตามมาอีกหนึ่งนัด เด็กผู้ชายคนนั้นสะดุ้งตื่นและคลานลงจากรถ เขามองเห็นร่างพ่อแม่ของตัวเองนอนเหยียดยาวอยู่ข้างกันและเขาก็ยังจดจำใบหน้าของคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นชัดเจน เขาอาจไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครถ้าไม่ได้ยินเสียงหนึ่งเรียกชื่อ เฟอร์นันโด...ยี่สิบปีหลังจากเด็กผู้ชายคนนั้นเติบโตขึ้นมาเขาก็ไม่เคยลืมเลยว่า ใคร ที่มันเอาชีวิตพ่อแม่ของเขาไปอย่างโหดเหี้ยมผิดมนุษย์!”