บทที่ 00
คำขอร้องของผู้ชายตาดำๆ [2]
“น้องขวัญสั่งอาหารก่อนเลยนะครับ เดี๋ยวพี่กลับมา”
“เดี๋ยวค่ะ”
เพราะความรู้สึกและสัญชาตญาณที่ไวกว่าสติและเหตุผล รู้ตัวอีกทีเธอก็เอื้อมมือไปรั้งข้อมือของเขาเอาไว้เสียแล้ว และเมื่อเขาหันมาสบสายตา ก่อนจะมองสลับกลับไปที่ข้อมือของตัวเองที่เธอจับเอาไว้ เธอจึงรู้ตัว ต้องรีบปล่อยออกในทันที
“ขอโทษค่ะ แต่ว่า...”
“พี่ขอเวลาส่วนตัวแป๊บเดียวครับ” ศรุตม์ไม่รอฟังคำอธิบาย ทันทีที่ข้อมือเป็นอิสระ เขาก็รีบก้าวยาวๆ ตามปั้นแป้งออกไปตามที่สัญชาตญาณสั่ง
พาขวัญไม่รอช้า รีบเดินตามออกมาเพราะรู้สึกไม่วางใจ เธอไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร ต่อให้จะแน่ใจว่าเขาเป็นคนมีเหตุผลและไม่ใช่คนวู่วาม แต่ในทางกลับกันเธอก็มั่นใจว่าปั้นแป้งเองก็ไม่ใช่คนใจเย็นสักเท่าไรนัก
“แป้ง”
เสียงเรียกของศรุตม์ทำให้พาขวัญชะงักฝีเท้าลงในฉับพลัน ตัดสินใจแอบดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ เพราะหากก้าวออกไปขวางตอนนี้ก็กลัวว่าจะทำให้เรื่องลุกลามบานปลาย
“อ้าว มีอะไรตาร์”
“ขอคุยด้วยหน่อยสิ”
น้ำเสียงหงุดหงิดของศรุตม์ทำให้พาขวัญรับรู้ได้ทันทีว่าประเมินเขาผิดไป ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่คนใจเย็นแบบที่เธอคิด ดีไม่ดีอาจจะกำลังคิดทำอะไรวู่วามเสียด้วย
“เดี๋ยวฉันมานะหนึ่ง”
“อืม รอที่รถแล้วกัน” ตกลงกันได้เป็นหนึ่งจึงเดินไปรอที่รถ ก่อนไปยังอดที่จะหันกลับมามองศรุตม์แวบหนึ่งไม่ได้ เพียงแต่ไม่ได้คิดที่จะอธิบายอะไร
ปั้นแป้งเดินย้อนกลับมาหาศรุตม์ที่ยืนรออยู่ด้านหลัง ส่งยิ้มให้ตามปกติอย่างคนไม่คิดอะไร ซึ่งถึงแม้จะไม่ใช่รอยยิ้มที่แสนหวาน แต่เธอก็เป็นแบบนี้กับเขามาแต่ไหนแต่ไร หากเมื่อไรที่เธอยิ้มหวานให้เขานั่นสิถือเป็นเรื่องน่าแปลก
“มีอะไร”
“ใคร”
“นายหมายถึงใครล่ะ” ปั้นแป้งตั้งใจตีรวน
พาขวัญที่แอบมองอยู่ไกลๆ เห็นท่าทางตั้งใจกวนประสาทของลูกพี่ลูกน้องตัวเองแล้วยิ่งรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง กลัวว่าพวกเขาจะมีเรื่องกัน
“อย่ากวน” สีหน้าของศรุตม์ตอนนี้ดูไม่ดีเอาเสียเลย พาขวัญลุ้นจะแย่แล้ว
“ขวัญยังไม่ได้แนะนำให้นายรู้จักเหรอ”
“ฉันถามเธอ”
“เป็นหนึ่ง เพื่อนน่ะ”
“เพื่อนที่ไหน ทำไมฉันไม่รู้จัก” ศรุตม์ถามต่อเสียงเข้ม สีหน้ายังคงบึ้งตึงอย่างไม่คิดจะปกปิดว่ากำลังไม่พอใจ
“หนึ่งไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่จบมัธยมปลาย เพิ่งกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อน”
“แล้วทำไมไม่เห็นเธอเคยเล่าถึงเขาให้ฉันฟังเลย”
“นี่ไอ้ตาร์”
“พี่แป้งคะพี่แป้ง”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์กำลังแย่ลงเรื่อยๆ พาขวัญจึงรีบวิ่งออกไป
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นยัยขวัญ”
“แต่พี่แป้งคะ คือว่า...”
“อย่าทำตัวงี่เง่า” ปั้นแป้งว่าใส่ศรุตม์เสียงดัง ไม่แม้แต่จะฟังคำทัดทานของพาขวัญเลยสักคำ
ได้ยินคำพูดใจร้ายของปั้นแป้งแล้ว แม้แต่พาขวัญเองยังรู้สึกว่าหัวใจร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ค่อยๆ หันไปมองศรุตม์ทีละนิดๆ เพราะไม่กล้าที่จะมองตรงๆ กลัวว่าเขาจะรู้สึกเสียหน้า แต่กลับเห็นว่าเขายังเอาแต่มองปั้นแป้งอยู่อย่างนั้นเหมือนไม่คิดจะละสายตาไปมองที่อื่นเลย
“มีอะไรจะถามอีกไหม”
“แล้วฉันงี่เง่าเพราะอะไรล่ะ”
“ฉันจะไปรู้นายเหรอ”
“ก็เพราะ...”
“ฉันไม่ได้อยากจะมาทะเลาะกับนายหรอกนะ แต่จะพูดอีกแค่ครั้งเดียวว่าฉันกับหนึ่งเป็นเพื่อนกัน ถ้านายฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง หรือว่าทำใจเห็นฉันเป็นเพื่อนกับผู้ชายคนอื่นไม่ได้ ก็ยังไม่ต้องเสนอหน้าไปที่ร้าน” ปั้นแป้งตัดบทด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด พูดจบเธอก็หันไปยิ้มให้พาขวัญเล็กน้อยแล้วเดินกลับไปขึ้นรถของเป็นหนึ่งโดยไม่หันกลับมามองด้านหลังอีกเลย สักพักเป็นหนึ่งจึงขับรถออกไป
บรรยากาศระหว่างพาขวัญกับศรุตม์เงียบลงจนน่าอึดอัด เธอนึกอยากจะถามอะไรสักคำแต่ก็ไม่กล้า อยากจะชวนเขาเดินกลับเข้าไปในร้านก็ไม่แน่ใจเลยสักนิดว่าเขายังมีอารมณ์อยากจะสั่งอาหารอยู่หรือเปล่า
“กลับเข้าไปในร้านกันเถอะครับ” ครู่ใหญ่กว่าที่ศรุตม์จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวน
พาขวัญยิ้มแห้งๆ ก่อนจะเดินตามเขาเข้ามาเงียบๆ อย่างไม่มีทางเลือก ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องลำบากใจเพราะเธอกลายเป็นคนกลางระหว่างศรุตม์กับปั้นแป้งไปโดยบังเอิญ
นึกอยากจะพาลใส่ยาหยีเสียจริง เพราะถ้าหากคนที่อยู่ตรงนี้เป็นยาหยี เธอก็คงไม่ต้องมานั่งอึดอัดแบบนี้แน่ๆ
ใช้เวลาไม่นานในการสั่งอาหารเพราะศรุตม์คงกินอะไรไม่ลง นับตั้งแต่ที่เดินกลับเข้ามา สีหน้าของเขาก็ยังไม่ดีขึ้นเลย
“น้องขวัญครับ”
คล้อยหลังพนักงานเขาก็เอ่ยเรียกเธอเพื่อถามในสิ่งที่กำลังอยากจะรู้
“คะ”
“น้องขวัญรู้จักกับผู้ชายที่มากับแป้งนานหรือยังครับ”
“รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ ครอบครัวพี่หนึ่งกับครอบครัวของขวัญ แล้วก็ครอบครัวของพี่แป้งสนิทกัน” พาขวัญตอบอย่างตรงไปตรงมา ได้ยินความจริงข้อนี้แล้วศรุตม์ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด เพราะนั่นหมายความว่าเขากำลังเจอคู่แข่งที่น่ากลัวทีเดียว
“คุณศรุตม์คะ”
“น้องขวัญต้องช่วยพี่นะครับ” เอ่ยปากแล้วสบตาพาขวัญอย่างต้องการจะขอร้องเธอ นาทีนี้เองที่พาขวัญเข้าใจความหมายของคำว่าคนกลางลำบากใจ
แล้วเธอจะพูดอะไรได้ล่ะ คนหนึ่งก็พี่สาว อีกคนก็เจ้านาย
“ช่วยเท่าที่พอช่วยได้ก็พอครับ พี่ไม่ทำให้น้องขวัญลำบากใจมากหรอก แต่ถ้าจะให้พี่ยอมแพ้ตอนนี้เลยพี่ก็ทำไม่ได้”
คำสารภาพอย่างตรงไปตรงมาของศรุตม์ทำให้พาขวัญน้ำท่วมปาก
“ถ้าคุณศรุตม์มีอะไรให้ขวัญช่วย ก็บอกแล้วกันนะคะ ถ้าช่วยได้ขวัญยินดี”
“ขอบคุณครับ” ศรุตม์ยิ้มได้เล็กน้อยเมื่อพาขวัญยอมตกปากรับคำว่าจะช่วยเขา แม้จะไม่ได้วางใจเสียทีเดียวทั้งหมดเพราะอีกด้านเธอเองก็รู้จักและน่าจะสนิทสนมกับคู่แข่งของเขาเป็นอย่างดี
“น้องขวัญครับ”
“คะ”
“เรื่องของขวัญวันนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขวัญเข้าใจ เอาตามความสบายใจของคุณศรุตม์จะดีกว่านะคะ” พาขวัญรีบออกตัว
ดูจากสีหน้าของเขารวมถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไปเมื่อครู่ บางทีเขาอาจยังไม่พร้อมที่จะไปเจอหน้าปั้นแป้งในเร็วๆ นี้ก็ได้ ดังนั้นหากเขาต้องการจะเลื่อนแผนการทั้งหมดออกไปก่อนก็ไม่เป็นไร แม้ว่าเธอจะมองออกว่าเขาคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แต่การถอยกลับมาตั้งหลักก็นับว่าเป็นทางเลือกที่ดี
“เปล่าครับ พี่แค่คิดว่าจะเปลี่ยนแผนเป็นไปซื้อของขวัญหลังจากไปตรวจงานเสร็จ เราจะได้มีเวลาเลือกมากหน่อย เลยจะถามว่าวันนี้ น้องขวัญมีนัดอะไรสำคัญหรือเปล่าครับ อยู่ช่วยพี่ก่อนได้ไหม เสร็จแล้วเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
กลายเป็นอย่างนั้นไปเสียได้ พาขวัญถึงกับยิ้มแห้งด้วยความคาดไม่ถึง ไม่คิดว่าเขาจะมุ่งมั่นเอาชนะใจปั้นแป้งถึงขนาดไม่ยอมจะถอดใจแม้แต่เสี้ยววินาที
“ขวัญไม่มีนัดหรอกค่ะ”
“ขอบคุณนะครับ”
“บอกแล้วไงคะว่าถ้าขวัญช่วยได้ขวัญก็ยินดีจะช่วย” พาขวัญตอบด้วยความเต็มใจ แม้ความจริงแล้วเธอจะยังมองไม่เห็นความเป็นไปได้ระหว่างเขากับปั้นแป้งเลยสักนิดก็ตาม
ยิ่งได้เห็นแววตาไม่ยอมแพ้ของเขา มันยิ่งทำให้เธอนึกถึงเนื้อหาในหนังสือที่เธอเคยอ่าน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับปั้นแป้งคงเหมือนกับบทสรุปของเรื่องราวในหนังสือเล่มนั้น...
“คนที่ใช่ ต่อให้โลกจะเหวี่ยงให้ต้องห่างไกลกันแค่ไหน แต่สุดท้ายพวกเขาก็จะตามหากันจนเจอ
แต่คนที่ไม่ใช่ ต่อให้จะอยู่ใกล้กันแค่เอื้อมมือ ก็เอื้อมคว้าเอาไว้ไม่ได้”