“มีอะไรรึเปล่าครับ ถ้ามีธุระผมกลับได้นะ” ผมถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นคุณบัวเดินออกมาพร้อมกับโทรศัพท์ที่เธอกำลังเลื่อนไปมา
“ไม่ค่ะ ฉันเลื่อนทวิตอยู่พอดีมีข่าวเกี่ยวกับศิลปินที่ชอบเลยไปเสพสุขมานิดนึง” เธอตอบกลับมาทันทีพร้อมกับท่าทางมีความสุข
ผมพอรู้มาบ้างว่าคนเป็นติ่งมักมีความสุขจากศิลปินที่ตัวเองชอบเพราะความสุขของศิลปินเองก็คือแฟนคลับเหมือนกัน
“ถามได้ไหมครับคุณบัวเป็นแฟนคลับศิลปินคนไหน” ผมถามขึ้นทันทีเพราะผมเองก็เป็นเจ้าของหน้ากากเพชรสีบลู แอบมีความหวังลึกๆว่าคนที่ผมสนใจเขาจะชอบอีกด้านของผม
“ไม่บอกหรอกค่ะ” เธอปฏิเสธที่จะตอบผมทันที
“ทำไมหรอครับ” ผมถามกลับอีกครั้งเพราะในใจตอนนี้อยากรู้มากๆ
“ขืนบัวบอกคุณเพชรไป คุณเพชรรู้จักเขาบัวต้องมาหวีดกับคุณเพชรแน่ๆ เพราะงั้นบัวไม่บอกหรอก” เธอตอบกลับผมอีกครั้ง
“แต่หวีดสองคนดีกว่าหวีดคนเดียวนะครับ” ผมตอบกลับอีกครั้งเพราะผมเองก็มีศิลปินในดวงใจการที่มีใครสักคนชอบเหมือนกันคุยในเรื่องเดียวกันได้มันดีมากๆ
“อย่าพูดแบบนี้นะคะ บัวไม่อยากบอก” เธอตอบปฏิเสธอีกรอบ
“โอเคครับไม่บอกก็ไม่บอก” ผมตัดปัญหาโดยการไม่เซ้าซี้แต่ผมก็จะหาทางที่จะรู้ให้ได้
เมื่อกี้เธอพูดมาว่าศิลปินที่เธอชอบประกาศจะคัมแบล็กเพราะงั้นมีไม่กี่คนหรอกที่จะคัมแบล็กเพลงใหม่เร็วๆนี้รวมถึงผมด้วย
“เราคุยเรื่องอื่นกันดีกว่า” คุณบัวพูดขึ้นอีกครั้ง
“ครับ งั้นคุยเรื่องอะไรดี” ผมถามคุยพร้อมกับยกแก้มเบียร์ขึ้นกระดกเข้าปาก
“คุณเพชรไม่มีแฟนหรอคะ” คำถามของเธอทำเอาเบียร์ในปากของผมแทบพุ่ง
“ถ้าผมมีแฟนผมก็คงไม่จีบคุณหรอกครับ” ผมตอบกลับทันทีทำเอาคนตรงหน้าหน้าแดงขึ้นสี
“อันนี้จีบแล้วหรอคะ เหมือนเป็นบัวมากกว่าที่จีบคุณเพชร” อ่า…ให้ตายผมก็ไม่เคยจีบใครด้วยสิ
“ผมไม่เคยมีแฟน ไม่รู้ว่าต้องจีบยังไงเพราะงั้นอยู่รอให้ผมจีบเป็นก่อนนะครับ” ผมพูดขึ้นอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้หากผมจะควงสาวมันก็คงไม่พ้นเรื่องบนเตียงผมไม่เคยมีความสัมพันธ์กับใครในรูปแบบแฟน มีแค่น้ำแตกแล้วแยกทางเป็นอันจบ
“งั้นระหว่างที่บัวรอคุณเพชรจีบ บัวจะจีบคุณเพชรไปก่อนแล้วกัน” ผมยกยิ้มทันทีกับคำพูดของคุณบัว
ตอนนี้ผมไม่สนว่าเธอจะมูฟออนจากแฟนเก่าได้หรือไม่ ผมสนแค่ว่าผมจะทำให้เธอเปลี่ยนมารักผมให้ได้
เพราะเมื่อไหร่ที่เธอรักผมแล้ว คนที่ขึ้นชื่อว่าแฟนเก่ามันจะไม่มีผลกับตัวเธอและความสัมพันธ์ของเราเลย
“คุณบัวนี่น่ารักจังเลยนะครับ” ใช่ เธอน่ารักมาก ยิ่งตาปรือๆเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ใบหน้าแดงๆ มันยิ่งทำให้เธอดูน่ารักมากกว่าเก่า
“ถ้าบัวน่ารักคุณก็รักสิคะ”
“รักแบบไหนหรอครับ” ผมถามขึ้นพร้อมกับขยับตัวเข้าไปใกล้ๆคุณบัวให้มากขึ้น
“ปกติคุณเพชรรักแบบไหนละคะ” คนตรงหน้าก็เหมือนจะไม่ยอมเธอลุกจากโซฟาขึ้นมานั่งค่อมผมทันที ก่อนที่สองแขนเรียวจะยกมือโอบคอผมไว้
อ่า…ให้ตายท่านี้มัน
“รักก็คือรัก แต่ถ้ามากกว่านี้ก็คงอยากรักแรงๆ” ผมกระซิบข้างหูคุณบัวทันที
“ร้ายนะคะ” เธอตอบกลับอีกครั้งก่อนจะทำท่าลุกจากตัวผม
“ขึ้นมาแล้วอย่าหวังจะได้ลงง่ายๆ” ผมตอบกลับทันทีพร้อมกับจับเองเธอและฉุดให้นั่งลงต่อ
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ชนแก้วกันแบบนี้ก็ได้บัวไม่ติด” เชื่อเลยว่าเธอคือตัวแรงจริงๆ ไม่กลัวสักนิด ทั้งๆที่อยู่ในท่าล่อแหลมแบบนี้
“ผมชอบคุณจัง”
“ฉันก็ชอบคุณเหมือนกัน”
“คุณบัวจะลงใต้หรอครับ” ผมถามขึ้นอีกครั้งหลังจากที่คุณบัวโทรมายกเลิกนัดกินข้าวเย็นของเราวันนี้เพราะเธอต้องรีบพาคุณมะนาวเมียของไอ้โอ๊ตเพื่อนสนิทของผมลงใต้
“ใช่ค่ะ บัวกำลังจะขึ้นเครื่องแล้วด้วยต้องขอโทษที่เทนัดคุณเพชรนะคะ” เธอพูดขึ้นอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรเลยครับว่าแต่มีเรื่องอะไรรึเปล่า” ผมถามขึ้นทันทีไปแบบเร่งรีบแบบนี้ผมว่ามันไม่พ้นเรื่องไม่ดีแน่ๆ
“ก็มีนิดหน่อยค่ะ คุณเพชรอย่าไปพูดอะไรกับคุณโอ๊ตนะคะ บัวอยากให้เขาจัดการกันเองอีกอย่างมะนาวมันขอไว้ด้วย” เธอพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“งั้นก็ได้ครับ แต่กลับจากใต้คุณต้องไปกินข้าวกับผมนะครับ” ผมพูดขึ้นต่อทันที
“ได้ค่ะ บัวให้มากกว่ากินข้าวเลย” ผมยกยิ้มทันทีกับคำพูดของคุณบัวมากกว่ากินข้าว
“อะไรหรอครับที่มากกว่ากินข้าว” แน่นอนว่าพูดมาแบบนี้ผมก็หวัง
“กินของหวานต่อค่ะ บัวไปกินของหวานกับคุณเพชรต่อเลย” แต่แล้วความหวังของผมก็ล่มสินะ เพราะที่เธอพูดถึงมันคือของหวาน
“โอเคครับ งั้นคุณบัวเดินทางปลอดภัยนะครับ เซฟไฟท์ครับ” ผมพูดขึ้นอีกครั้ง
“ขอบคุณค่ะ ถึงแล้วบัวจะบอกนะคะ”
“ครับ” หลังจากวางสายกับคุณบัวผมก็หันมาสนใจกับงานของผมอีกครั้ง
อีกสี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือตอนนี้มันกำลังคืบหน้าแล้วเพราะตอนนี้ผมเริ่มร้องเพลงแล้ว
“เป็นไงบ้างครับเสียงผมวันนี้” ผมถามขึ้นทันทีเพราะหลังจากอัดเสียงเสร็จผมก็ตรงมาคุยโทรศัพท์ไม่ทันได้ถามอะไรสักคำ
“ดีเลยครับแต่ผมอยากได้มากกว่านี้อีกนิด” โปรดิวเซอร์พูดขึ้นอีกครั้ง
“ได้ครับงั้นอัดเลยนะครับ” ผมพูดขึ้นอีกครั้งก่อนจะเข้าไปห้องอัดทันที
หลังจากโปรดิวเซอร์ส่งสัญญาณให้เริ่มร้องได้ ผมก็เริ่มเพลงเสียงร้องเพลงทันที
มากกว่าเดิมที่โปรดิวเซอร์พูดมากก็คงเป็นอารมณ์ที่ใส่เข้าไปในน้ำเสียงในท่อนต่างๆของเนื้อเพลง
นานนับสามถึงสี่นาที ผมก็ร้องจนจบเพลงแน่นอนว่ารอบนี้เสียงปรบมือของโปรดิวเซอร์รวมถึงพี่แตงผู้จัดการของผมปรบมือดังลั่น
“อันนี้คือได้เลย ใช้เสียงนี้ได้ผ่านแล้วครับคุณหน้ากากเพชรสีบลู” โปรดิวเซอร์พูดขึ้นอีกครั้ง
“โอเคครับถ้ามีอะไรผิดพลาดบอกผมได้เลยนะครับ” ผมตอบกลับทันที
“ไม่มีแล้วครับ หลังจากนี้เป็นหน้าที่ของพวกผมแล้ว” โปรดิวเซอร์พูดขึ้นต่อทันที
“ขอบคุณมากๆครับ” ผมพูดขึ้นพร้อมก้มหัวลงเล็กน้อยก่อนจะเดินออกมาพร้อมแตง
“กำหนดปล่อยเพลงนี้คือเดือนหน้า ปล่อยขายวันปล่อยเพลงเลยรับรองเลยว่าขายเกลี้ยง” พี่แตงพูดขึ้นทันที
“หวังว่านะครับแล้วรายชื่อคนมีสิทธิ์เข้าร่วมงานแฟนไชน์ออกตอนไหนครับ” เพราะการซื้ออัลบั้มเท่านั้นจะมีสิทธิ์เข้าร่วมงานแฟนไชน์ได้ ยิ่งซื้อเยอะก็มีสิทธิ์เยอะ ที่จะได้เข้าร่วมงาน
“หนึ่งอาทิตย์หลังจากขายอัลบั้ม เชื่อเถอะว่ามันจะดุเดือดมากเพราะเวลานิดเดียว” พี่แตงตอบกลับมาอีกครั้ง
“ผมก็ขอให้ขายหมดเพราะอะไรก็ไม่แน่นอน” ผมก็ไม่ได้อยากจะเข้าข้างตัวเองเพราะทุกคนก็มีวันล้มต่อให้ตอนนี้ผมจะมีแฟนคลับเยอะดังถึงทั่วนอกประเทศ แต่นักร้องไม่เปิดเผยหน้าแบบผมก็โดนเยอะกว่าคนอื่นเหมือนกัน
“เชื่อเถอะว่ามันจะออกมาดี แฟนคลับแกเขาเต็มที่ ถึงวันงานก็ค่อยตอบแทนแฟนคลับคือการเทคแคร์เขาเยอะๆ” พี่แตงพูดขึ้นอีกครั้ง
“ผมก็ว่าแบบนั้น งานแฟนไชน์ครั้งนี้ผมกะจะขอเวลาคุยกับแฟนคลับแต่ละคนเพิ่มสักหน่อย สักสองนาทีก็ยังดี” ผมพูดขึ้นทันทีเพราะบางทีเวลามันก็น้อยเกินไป
“แกจะเหนื่อยเอานะ งานแฟนไชน์แฟนคลับแกมีสิทธิ์เข้ามาห้าสิบคนเลยนะ” พี่แตงพูดขึ้นต่ออีกครั้ง ซึ่งผมเข้าใจดีการคุยกันทุกคนมันต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา แต่ทำไงได้ในเมื่อเขาคือความสุขของผมและผมก็คือความสุขของพวกเขา
“ไม่เป็นไรเพิ่มเวลาให้ผมอีกคนละสองนาทีก็พอ ถือว่าคืนกำไรให้เขาอัลบั้มเราใช่ว่าจะถูก” ผมตอบกลับอีกครั้ง
“งั้นตามใจแกฉันจะไปคุยกับบริษัทให้ หลังจากนี้ก็พักผ่อนให้เต็มที่ลุยงานอีกทีคืองานแฟนไชน์เลย แกจะว่างเดือนนึง” เพราะงั้นหนึ่งเดือนที่ว่างนี้ผมจะลุยจีบคุณบัวให้เต็มที่
“ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมไปส่งผมรู้วันนี้พี่ไม่ได้ขับรถมา” ผมตอบกลับอีกครั้ง
“ดี ฉันไม่อยากจ่ายค่าแท็กซี่” หลังจากนั้นผมก็ไปส่งพี่แตงที่คอนโดก่อนจะวนรถกลับมาที่บริษัทเพราะวันนี้ผมว่างก็อยากจะเข้ามาหาพ่อบ้าง เรียนรู้งานต่างๆ
“คิดว่าลืมไปแล้วว่าตัวเองมีบริษัทต้องดูแล” พ่อผมทักขึ้นทันทีเมื่อผมเดินเข้ามาในห้องประธานบริษัท
“นี่ไง ผมว่างเดือนนึงหลังจากนี้ก็คงมาช่วยงาน” ผมพูดขึ้นอีกครั้ง
“แค่ช่วยงานหรือไง อายุแกจะสามสิบแล้วไม่คิดจะหาลูกสะใภ้มาให้พ่อกับแม่หรอ” พ่อผมพูดขึ้นต่อทันที
“ตอนนี้กำลังจีบได้เป็นแฟนเมื่อไหร่จะพาไปให้รู้จัก” ผมตอบกลับทันทีผมกับพ่อค่อนข้างสนิทกันเลยทำให้เราคุยกันเป็นกันเอง
“เขารู้รึเปล่าว่าแกคือเจ้าของหน้ากากเพชรสีบลู” พ่อผมถามขึ้นอีกครั้งเพราะพ่อผมค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับกับเรื่องนี้ ผมเคยปรึกษาพ่อเรื่องการเปิดเผยใบหน้า ซึ่งแน่นอนพ่อผมกังวลถึงผลที่ตามมาแต่ถึงยังไงการตัดสินใจก็ยังคงเป็นผม
และผมก็ได้คำตอบให้ตัวเองว่าผมจะถอดหน้ากาก แต่คงไม่ใช่เร็วๆนี้ อาจจะอีกปีหรือสองปีหรืออาจจะเร็วจนเกินคาด
“ไม่รู้ครับ แต่เขาก็เป็นติ่ง” ผมตอบกลับทันที
“เขาเป็นติ่งแกหรือไง” นั่นสิ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ได้เลยว่าศิลปินที่คนบัวชอบคือใคร
“ไม่รู้สิครับผมถามเขาก็ไม่บอก” ผมตอบกลับมันที
“เขาไม่บอกเพราะเขารู้ว่าเป็นแกรึเปล่าไอ้เพชร” ผมชะงักทันทีกับคำพูดของพ่อ
“แต่ผมไม่เคยบอกและไม่มีใครรู้นอกจากกลุ่มเพื่อน ซึ่งแน่นอนว่าก็ไม่มีใครพูด” ผมมั่นใจดีเพราะถ้าพวกมันจะพูดคงพูดนานแล้ว
“งั้นก็คงเหตุผลอื่น”
“ก็คงงั้น”
“แล้วแกจะมาช่วยพ่อตอนไหน” พ่อผมถามขึ้นต่อทันที
“ไม่รู้สิคงจะหลังจากผมเปิดหน้าไม่ก็หลังจากที่ผมเบื่อวงการนี้แล้วแต่ตอนนี้ผมกำลังสนุกอยู่”
“พ่อตามใจแกแต่ขออย่างเดียวพาลูกสะใภ้มาหาพ่อกับแม่”
“ไม่นานเกินรอ”
❤️
อุอุๆ แรงไม่ไหว