เมื่อซื้อมาแล้วเฟิงลี่ก็เริ่มหัดใช้ในทันที แค่นางคิดแผนที่ก็ปรากฎตรงหน้า แต่ที่น่าตกใจคือเมื่อนางกดดูจุดสีขาวก็จะเห็นชื่อคนขึ้นมาพร้อมข้อมูลเบื้องต้น
แต่อยู่ๆจุดสีแดงก็ปรากฎขึ้นดักหน้าทางกลับบ้านของนาง เฟิงลี่ตกใจมากแต่ก็รีบกดอ่านข้อมูลจุดแดง จึงพบว่าเป็น ‘ตี้เซียง’ คิดว่าเขาน่าจะมาดักเพื่อกลั่นแกล้งนางหลังจากรู้ว่าซ่งเฟิงกลับบ้านไปก่อนเป็นแน่
เฟิงลี่รีบวิ่งกลับไปที่แยกแล้วไปแอบอยู่หลังกองไม้ ทำให้ตี้เซียงที่รอเด็กหญิงอยู่นานจนทนรอไม่ไหว เขาจึงเลือกจะเดินไปตามนาง และเดินผ่านนางไปทางบ้านท่านปู่เซียง
“หายไปไหนของนาง เมื่อครู่ข้ายังได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่เลย ไม่ใช่ว่าเห็นเงาข้าก็กลัวแล้ววิ่งหนีไปหรอกนะ อย่าให้ข้าจับได้นะ ข้าจะตบให้หน้าทิ่ม ให้สมกับที่พี่ชายนางทำข้าอับอายเลยทีเดียว!”
เสียงเหี้ยมเกรียมของตี้เซียงดังขึ้นขณะที่เขาเดินผ่าน เฟิงลี่ขนลุกขึ้นมาทันที เมื่อเขาเดินไปจนลับจากแผนที่ นางจึงทำใจกล้าวิ่งหนีกลับบ้าน
ตี้เซียงที่ห่างออกไปไม่กี่เมตรได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันกลับไป ก่อนจะวิ่งตามเด็กหญิงไป แต่แน่นอนว่าเขาไม่กล้าส่งเสียงหรือเอะอะ ไม่เช่นนั้นเขาคงถูกบิดาตีเป็นแน่
เพราะอย่างนั้นเมื่อพ้นจุดเปลี่ยวตรงนั้นไป เขาก็ไม่กล้าไปจับตัวเฟิงลี่ต่อหน้าคน ทำให้นางหลุดมือเขาไป จนเขาได้แต่คิดแค้นในใจและหมายมั่นว่าจะต้องรังแกนางให้ได้ในสักวัน!
ส่วนเฟิงลี่ที่เห็นผลของการมีแผนที่ นางได้แต่ตบอกตัวเองอย่างโล่งใจเมื่อมาถึงหน้าบ้าน ซ่งเฟิงเห็นน้องสาววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาก็เงยหน้าขึ้นถามอย่างแปลกใจ
“เป็นอะไรไป ทำหน้าเหมือนเห็นผี”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” เฟิงลี่ไม่อยากให้ตี้เซียงโกรธแค้นพวกนางไปมากกว่านี้ นางจึงยิ้มตอบพี่ใหญ่
“เป็นอย่างไรบ้างลูก น้าอู๋ของเจ้าอาการหนักมากหรือ เห็นอาเฟิงบอกว่านางไม่รู้สึกตัวเลย” มารดาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง น่าเสียดายที่พวกนางทั้งสองป่วยง่ายพอกัน จึงไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันเท่าใด ไม่เช่นนั้นคงได้คบหากันมานานแล้ว เพราะแต่เดิมทั้งคู่ล้วนเป็นคนจิตใจดี
“ท่านปู่เจียงพาท่านน้าอู๋ไปหาหมอแล้วเจ้าค่ะ คิดว่าถ้าถึงมือหมอก็น่าจะปลอดภัยแล้ว” เฟิงลี่เชื่อมั่นในระบบเต็มที่ แปลว่าหากนางยื้อชีวิตนางอู๋เหรินไว้จนปู่เจียงกลับมา นางจะต้องปลอดภัยแน่
“ดีแล้ว เจ้าเหนื่อยหรือไม่ มาดูสิวันนี้พ่อเจ้าได้ไข่เป็ดน้ำมาด้วย แม่กำลังจะต้มเพื่อนำมายำอีกทีหนึ่ง” นางตี้จิงหรุยรีบเรียกบุตรสาวมาดูผลงานของสามี
นับตั้งแต่แยกบ้านมา ไม่มีวันใดที่นางตี้จิงหรุยรู้สึกภูมิใจในสามีเลย หากไม่นับความกตัญญูอย่างหน้ามืดตามัวของเขา แต่ตอนนี้แม้กระทั่งดอกหญ้าที่เขานำมาหยอกนางเล่น นางยังเก็บไว้อย่างภาคภูมิใจเลย
เฟิงลี่มองมารดายิ้มๆ ไม่ได้เข้าไปในครัวแต่นางเดินไปยังชายป่าเพื่อยืนยันสิ่งที่ปรากฎบนแผนที่ นางสามารถแยกจุดสีต่างๆที่ปรากฎในแผนที่ได้เป็นหลายสี สีขาวคือมนุษย์ทั่วไป สีแดงคือสิ่งอันตรายบางอย่าง ไม่ใช่แค่มนุษย์ที่มุ่งร้าย แต่ยังรวมถึงสัตว์ร้ายบางอย่างด้วย
อย่างตอนที่เดินเข้าบ้านนางพบแมลงป่องตัวใหญ่นอนตายอยู่ในกองไม้ โดยมีพี่ใหญ่กำลังใช้ไม้ทุบ เมื่อมันตายจุดสีแดงก็หายไป
ส่วนจุดสีเขียวคือวัตถุดิบที่ไม่มีชีวิต อย่างเช่นสมุนไพร พืชหัวที่สามารถกินได้ พืชที่สามารถกินได้ ส่วนจุดสีเหลืองบนแผนที่คือสัตว์ตัวเล็กๆธรรมดา เช่นกระต่ายป่า ไก่ป่า เป็ดน้ำ ห่าน หงส์ จนถึงนกและกระรอกด้วย
แน่นอนว่ามันสามารถตั้งค่าให้แสดงผลได้ ว่าจะให้แแสดงผลเฉพาะสัตว์อะไรหรือไม่ แต่สีแดง และสีขาวจะตั้งค่าไม่ได้
แน่นอนว่าเมื่อเฟิงลี่เดินทางมาถึงชายป่าและไปตามจุดสีเขียวบนแผนที่ นางก็เจอกับต้นอ่อนสมุนไพรหลายจุด จนถึงต้นอ่อนของพืชกินหัวที่กำลังขึ้น
ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนไปตั้งค่าให้แสดงผลแค่สิ่งที่กินได้ตอนนี้และสิ่งที่ล้ำค่าเท่านั้น แต่นางก็ไม่รู้หรอกว่าระบบจะจัดอันดับความล้ำค่าไว้ยังไง
ส่วนจุดสีเหลืองรอบๆนี้มีเพียงสองจุดเท่านั้น แต่เฟิงลี่ไม่มีความสามารถมากพอจะจับสัตว์ได้ด้วยตนเองนางจึงปล่อยมันไปก่อน
ชีวตของนางผ่านไปอย่างสงบสุข คนในครอบครัวแข็งแรงขึ้นทุกที กระทั่งผ่านไปยี่สิบวันจากวันแรกที่นางมาถึงโลกใบนี้ พี่ชายของนางก็หายดี แม้จะยังเดินไม่คล่องแต่ก็ไม่ต้องใช้ไม้ค้ำยันแล้ว
และภารกิจของนางก็สำเร็จเสียที น่าเสียดายที่เฟิงลี่ไม่ได้รับภารกิจอื่นเลยแม้นางจะออกเดินหาทั่วหมู่บ้านในทุกๆหนึ่งหรือสองวันก็ตามที เมื่อกดรับรางวัลแล้ว หน้าต่างภารกิจก็ว่างเปล่าทำให้นางเริ่มคิดหนัก
เพราะยาเพิ่มพลังกายที่นางใส่ให้ครอบครัวกินคนละสองหยด ขณะที่นางและพี่ชายจะได้มากกว่าคนอื่นเป็นคนละสามหยด ร่างกายของนางก็เริ่มมีเนื้อมีหนังมากขึ้นแล้ว
บ้านใหญ่ไม่ได้มารุกราน แต่เมื่อได้เห็นท่าทางแข็งแรงดีของพวกนาง พวกเขาก็เริ่มแวะมาหยิบเนื้อออกไปจากครัวบ้านนางอย่างหน้าด้านๆ โดยเฉพาะป้าสะใภ้ใหญ่และลุงสาม
เฟิงลี่จนใจกับญาติแบบนี้จริงๆ แต่เพราะบิดามารดานางนิ่งเฉย นางเองก็ต้องนิ่งเฉยไปเหมือนกัน บิดาเอาแต่บอกว่า
“บ้านใหญ่ต้องเลี้ยงคนจำนวนมาก ลุงใหญ่ของเจ้ามีที่ดินแค่เจ็ดหมู่เท่านั้นให้ทำไร่ ผลผลิตเมื่อปีที่แล้วก็ไม่ค่อยดีเพราะดินในหมู่บ้านไม่ดีนัก”
“ส่วนลุงสามเจ้าทำงานรับจ้างเล็กน้อย ได้ค่าแรงไม่พอยาไส้ ส่วนน้าเล็กเจ้า(หมายถึงน้าสี่ที่เรียนหนังสือเก่ง)ต้องใช้เงินในการเรียนหนังสือ ยังมีเด็กๆรุ่นเจ้าอีกหลายคนที่พวกเขาต้องดูแล หากพวกเขาต้องการเนื้อนิดหน่อยก็ให้พวกเขาแบ่งไปเถอะ”
เมื่อบิดาบอกเช่นนั้นเฟิงลี่ก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกเขาอีก ออกจะไม่สนใจเสียด้วยซ้ำ ในชาติภพแรกนางเคยมีญาติผู้พี่ผู้น้องที่เห็นแก่ตัวอยู่มากมาย ทั้งบุตรสาวบุตรชายอนุของบิดา ดังนั้นนางจึงเคยชินกับการเบียดเบียนเล็กๆน้อยๆพวกนี้ดี
ขณะเดียวกันแปลงผักของบ้านก็ค่อยๆเป็นรูปเป็นร่าง เพราะเฟิงลี่ใช้น้ำวิเศษที่่ผสมน้ำธรรมดารดน้ำพวกมันทุกวัน ทำให้ผลผลิตเติบโตเร็วขึ้นมาก อย่างเช่นผักกวางตุ้งก็ลดเวลาการเติบโตลงถึง1ใน3
อย่างผักกวางตุ้งน่าจะโตเต็มที่ในอีก15วัน ส่วนผักกาดขาวน่าจะเริ่มเป็นหัวในอีก1เดือน และเก็บเกี่ยวได้ในช่วงอายุไม่ถึง2เดือน
เฟิงลี่คิดว่าจะนำผักไปขายและหาซื้อเมล็ดพันธุ์ผักโขมมาปลูกเพิ่ม แน่นอนว่าต้องซื้อผักระยะยาวอย่างอื่นมาปลูกด้วย อย่างเช่นแตงกวา มะเขือยาว ถั่วฝักยาว เป็นต้น
และต้องเผื่อพื้นที่สักเล็กน้อยสำหรับปลูกข้าวโพด เพื่อใช้สำหรับเป็นอาหารสำรองก่อนเข้าหน้าหนาว เมื่อนางวางแผนไว้แล้วก็จดเอาไว้ที่ลานด้านข้างบ้านที่เป็นพื้นที่ว่าง เพื่อกันลืม
ชีวิตในแต่ละวันของเฟิงลี่มีความสุขอย่างยิ่ง และนางหวังว่าความสุขเช่นนี้จะคงอยู่ตลอดไป แม้นางจะต้องแต่งงานกับชาวบ้านธรรมดาสามัญเฟิงลี่ก็ยินดี ขอเพียงพวกเขาอยู่ใกล้ๆบ้านบิดามารดาของนาง และเป็นคนดีก็พอ
แต่ความสุขไม่ได้อยู่กับเราจนนิรันดร์ ดั่งพระเจ้าต้องการจะย้ำให้นางจดจำ ว่าชีวิตมนุษย์ต้องมีทั้งทุกข์และสุขปะปนกัน