บทที่6 ริษยา
นางตี้เหวียนเป็นผู้ควบคุมดูแลบ้านตระกูลตี้มาตั้งแต่เป็นสาว นางเป็นคนมีความสามารถอย่างมากจนแม่สามียอมวางใจมอบหน้าที่ดูแลจัดการบ้านให้นางตั้งแต่นางยังสาว
แต่เพราะยังมีบ้านรองของนายท่านตี้เชียนซึ่งเป็นน้องชายของสามีนาง ทำให้นางทุกข์ใจอย่างยิ่งทุกครั้งที่ต้องจัดแจงค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน เพราะรู้สึกเหมือนเงินทั้งหมดนี้เป็นของตนแต่กลับต้องแบ่งให้คนอื่น
และเมื่อบ้านรองประสบเหตุร้าย นางตี้เหวียนกลับรู้สึกยินดีในความทุกข์ของผู้อื่น บ้านรองของน้องเขยตี้เชียนเหลือเพียงบุตรสาวคนเดียวอย่างตี้จิงหรุย ขณะที่บุตรชายคนเดียวของบ้านรอง กลับหายตัวไประหว่างเกิดอุบัติเหตุ คาดว่าน่าจะพลัดตกน้ำตายไปแล้ว
ตระกูลตี้อยู่ในความเศร้ายาวนาน แม่สามีนางก็ตายจากไปเพราะตรอมใจที่สูญเสียบุตรชายคนรองไป หลังจากเกิดเรื่องเพียงไม่นาน
หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดหยุดยั้งอำนาจของนางตี้เหวียนได้อีกต่อไป ไม่มีแม่สามี ไม่มีบ้านรอง มีเพียงเห็บตัวหนึ่งอย่างนางตี้จิงหรุยบุตรสาวของบ้านรองผู้นั้น
แต่ก่อนที่นางจะได้ทำอะไร สามีของนางนายท่านตี้ชุนก็นำเด็กชายผู้หนึ่งกลับมา เขาเป็นเด็กเล็กๆอายุไม่เกินสามขวบ อายุมากกว่าตี้จิงหรุยเด็กสาวบ้านรองเพียงปีกว่าเท่านั้น
ตี้เหวียนยอมรับเลี้ยงเด็กทั้งสองเพราะเกรงกลัวว่าสามีจะมองว่านางเป็นคนไม่ดี แต่ถึงอย่างนั้นของดีดีนางก็จะให้บุตรและบุตรีของตนเองก่อนเสมอ
เพราะนางตี้เหวียนมีบุตรเยอะ ยิ่งพวกเขาเติบโต บ้านใหญ่ขึ้น ครอบครัวยิ่งยากจนขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อบุตรชายคนเล็กของนางมีบุญสอบผ่านและได้เข้าเรียนโรงเรียนในเมือง นางตี้เหวียนก็ยิ่งตระหนี่มากขึ้น
ยิ่งเด็กสองคนที่ไม่ใช่บุตรในอุทรตนเองนางยิ่งไม่ใยดี ต้องกล่าวว่าหากไม่มีผู้เฒ่าชุนสอนเด็กทั้งสองหากิน ทั้งซ่งจิ้นและตี้จิงหรุยคงตายไปตั้งแต่อายุ7-8ขวบแล้ว
ยิ่งต่อมาเมื่อนางตี้จิงหรุยเติบใหญ่ขึ้น นางยิ่งงดงามผุดผ่องมากขึ้นเรื่อยๆจนไปต้องตาเศรษฐีผู้หนึ่งเข้าในที่สุด ขณะที่นางตี้เหวียนกำลังวางแผนขายหลานสาวให้เศรษฐี เฒ่าตี้ชุนกลับตัดหน้ายกตี้จิงหรุยให้ซ่งจิ้นก่อน
มิหนำซ้ำเขายังขู่นางว่า หากไม่ยกตี้จิงหรุยให้ซ่งจิ้น ก็ต้องยกตี้หงบุตรสาวคนโตให้แทน แม้จะต้องให้นางเป็นสาวเทื้ออยู่หลายปีเพื่อรอซ่งจิ้นถึงอายุที่เหมาะสมก็ตามที
นางตี้เหวียนมีหรือจะยอม บุตรสาวของนางไม่ใช่คนสวยแต่ก็เป็นบุตรีที่นางประคบประหงมมาอย่างดี สั่งสอนเรื่องการดูแลบ้านไว้อย่างดี เตรียมให้แต่งกับบุตรของพ่อค้าเร่ที่รวยที่สุดในหมู่บ้านตระกูลตี้แล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซ่งจิ้น เจ้าเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าผู้นั้นเลย แม้นางจะไม่เข้าใจว่าทำไมตาเฒ่าชุนจึงบอกว่า ‘แล้วเจ้าจะเสียใจ’ แต่นางจะยิ่งเสียใจหากมอบบุตรสาวให้กับคนไร้อนาคตเช่นนั้น ไร้หัวนอนปลายเท้าเช่นนั้น
เมื่อเป็นอย่างนั้นนางตี้เหวียนจึงยอมรามือจากตี้จิงหรุย จนเฒ่าชุนจัดงานแต่งให้เด็กทั้งสองที่เขาเลี้ยงมากับมือด้วยตนเองในที่สุด และได้หลานจากพวกเขาสองคน ซึ่งเฒ่าชุนก็เอ็นดูเด็กทั้งสองมากกว่าหลานคนอื่นๆ
นั่นยิ่งทำให้ตี้เหวียนผูกริษยาเด็กทั้งสองเป็นอย่างมาก กระทั่งลามไปถึงบุตรชายหญิงของพวกเขา และแม้กระทั่งก่อนที่เฒ่าชุนจะตาย เขายังบีบบังคับให้ครอบครัวนั้นแยกบ้านออกไป โดยอ้างว่าซ่งจิ้นไม่ใช่คนตระกูลตี้ ดังนั้นจึงไม่เหมาะที่จะให้อยู่ในบ้านตระกูลตี้
ซึ่งไม่มีใครคัดค้านได้เลย เพราะหัวหน้าหมู่บ้านก็ไว้หน้าเฒ่าชุนอย่างมาก สุดท้ายนางตี้เหวียนจึงใช้ข้ออ้างเรื่องความกตัญญู ทวงบุญคุณเล็กๆน้อยๆ ทำให้บ้านเล็กต้องลำบากเสมอมา
กระทั่งสร้างเรื่องราวมากมายเพื่อให้คนในหมู่บ้านมองบ้านเล็กตระกูลซ่งอย่างไร้ค่า ทั้งไม่ยอมให้ยืมเงินจนพวกเขาต้องเร่ไปยืมคนอื่นในหมู่บ้าน ทั้งไม่ยอมแบ่งข้าวให้จนพวกเขาต้องไปยืมข้าวบ้านอื่นมากรอกหม้อ
แน่นอนว่าเด็กสองคนนั้นไม่เคยโต้ตอบนางเลย กระทั่งเมื่อเดือนก่อน อยู่ๆซ่งจิ้นผู้นั้นก็ทำปีกกล้าขาแข็งและยืนยันจะจ่ายเงินเท่าที่สัญญาไว้เท่านั้น และไม่ยอมให้นางไปยุ่งกับสัตว์ที่เขาล่ามาได้อีกต่อไป
นางตี้เหวียนรู้สึกเสียใจที่ตนเองไม่ยอมทิ้งเงินเล็กน้อยแต่กลับตัดท่อน้ำเลี้ยงสำคัญของตนเองไป ในคราวแรกนางคิดว่าทุกอย่างจะง่ายเป็นปกติ ไม่มีเนื้อสัตว์จากซ่งจิ้นนางก็สามารถควบคุมรายรับรายจ่ายของบ้านได้อยู่ดี
แต่สุดท้ายกลับไม่เป็นอย่างที่คิด ผ่านไปแค่อาทิตย์เดียวหม้อข้าวนางก็แห้ง คนในบ้านนางมากเกินไป ขณะที่คนที่สร้างรายได้กลับมีเพียงบุตรชายคนที่สามซึ่งไปทำงานนอกหมู่บ้านเท่านั้น
แถมเขายังเก็บเงินไปส่วนหนึ่งเพราะครอบครัวลูกสามมีเพียงตัวเขากับภรรยา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องส่งเงินเข้าบ้านทั้งหมด ตามกฎของตระกูลตี้
ขณะที่ลูกชายคนโตของนางมีบุตรชายสามคนที่กำลังโตเป็นหนุ่ม กินข้าวพอๆกับผู้ใหญ่แล้ว ครอบครัวลูกหนึ่งนั้นมีอาชีพทำไร่ทำสวน นี่เพิ่งจะต้นวสันต์ ยังมีลมหนาวและอาจมีหิมะตกบางครั้งดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำสวนทำไร่ได้ผลผลิต
นอกจากฤดูเพาะปลูก บุตรชายคนโตของนางก็ไม่คิดทำอะไรอย่างอื่น เพราะนางเลี้ยงดูเขามาแบบตามใจตั้งแต่ยังเล็ก สุดท้ายนิสัยขี้เกียจก็ถ่ายทอดไปยังหลานๆของนางซึ่งเริ่มโตแล้วแต่กลับขี้เกียจเหลือเกิน
มีเพียงตี้เว่ยหลานชายคนเล็กที่อายุเพิ่งจะเจ็ดขวบแต่ยังไปหาไข่ไก่ป่าบนเขาลงมาได้ นางได้ยินว่าหลานผู้นี้มักไปหาซ่งจิ้นให้เขาช่วยสอนล่าสัตว์ให้
ขณะที่บุตรชายสายสี่นั้นอย่างพูดถึงเลยเพราะเขาต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบเสมอทำให้ไม่มีรายได้เลยแม้แต่น้อย ส่วนลูกสะใภ้และสาวใช้อุ่นเตียงของเขาก็หยิ่งยโสเกินทน โชคดีที่พวกเขาอาศัยอยู่ในเมือง
แต่กระนั้นบุตรชายสายสี่ก็ลูกดกเหลือเกิน มีลูกกับเมียหลวงคนหนึ่งเป็นเด็กผู้ชายอ้วนท้วมน่ารักยิ่ง และมีลูกกับสาวใช้อุ่นเตียงสองคนเป็นหญิงทั้งคู่และยังเด็กมากทั้งคู่
และภาระทั้งหมดนั้นก็ตกอยู่ที่ใครหากไม่ใช่คนดูแลบัญชีของบ้านอย่างนางตี้เหวียนเล่า เมื่อนางคิดดูดีดีรายได้ส่วนมากของบ้านมาจากการนำสัตว์ที่ซ่งจิ้นล่าได้ไปขายด้วยซ้ำ
เมื่อคิดขึ้นได้ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว สุดท้ายนางยังกลัวว่าตนเองจะทำขายหน้า จึงได้แต่ส่งลูกหลานให้ไปขอเนื้อ ขอข้าวบ้านเล็กกินเป็นครั้งคราวอย่างหน้าด้านๆ โดยแกล้งลดอาหารของพวกเขาลงหลายส่วน และลดให้เหลือเพียงสองมื้อเท่านั้น
“เฮ้อ ข้าคงแก่เกินไปแล้ว” นางตี้เหวียนกุมขมับตนเองแล้วนวดเบาๆ ก่อนจะมองหิมะที่โปรยปรายลงมา ใบหน้าจึงเปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง
“ตี้จู เจ้าบอกว่าบ้านเล็กปลูกผักทำสวนแล้วงั้นหรือ พวกเขาคงไม่รู้สินะว่าช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือนนี้จะมีหิมะตกอีกรอบ”
นั่นเพราะนางตี้เหวียนกำลังหัวเราะให้กับความโชคร้ายของบ้านเล็กนั่นเอง ไม่ได้รู้เลยว่าเฟิงลี่มีน้ำวิเศษที่ทำให้พืชทนอากาศได้ แม้กระทั่งถูกหิมะทับถมก็ไม่ตาย และยังไม่นับรวมหลังคาหญ้าแห้งที่นางมุงผักเอาไว้
“แต่ข้าเห็นพวกเขามุงหลังคาให้ผักด้วยนะเจ้าคะท่านแม่ บางที...หากพวกเขาทำแล้วได้ผัก ข้าก็ว่าลองให้ท่านพี่ลองทำดูก็ไม่น่าเสียหายอะไร”
ตี้จูเป็นบุตรสาวสายรองของบ้านหัวหน้าหมู่บ้าน นางจึงเป็นที่พึงพอใจของนางตี้เหวียนอยู่มาก ทั้งกริยามารยาทและความขยันเอาใจ แม้งานอื่นๆนางจะไม่ได้เรื่อง แตะงานหนักก็ไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่าเมียลูกสาม
รายนั้นเป็นคนเอาแต่ใจและไม่ยอมใคร กระทั่งเงินที่ส่งเข้าบ้านก็ยืนยันจะส่งตามกฎเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะไปฟ้องทางการ เมื่อเป็นอย่างนั้นนางเหวียนจึงไม่ชอบขี้หน้าเมียของลูกสามเท่าไหร่ ยังไม่นับที่เมียของลูกสามไม่อาจมีทายาทให้นางได้ด้วยซ้ำ
“มุงหญ้าแล้วยังไงล่ะ อากาศเย็นขนาดนี้ผักช้ำหมด ยังไงก็ไม่รอดหรอก ฮ่าๆๆ เอาล่ะๆ อากาศเย็นขึ้นแล้วเจ้าไปอุ่นผ้าอุ่นผ่อน เตรียมข้าวปลาเถอะ” นางตี้เหวียนโบกมือไล่สะใภ้
เมื่อนางตี้จูออกมาจากห้องของแม่สามี นางก็ชักสีหน้าและแค่นด่ายัยแก่ด้านในทันที จะไม่ให้ด่าได้อย่างไร ยัยแก่นั่นแก่จะลงโลงอยู่แล้ว แต่ยังไม่ยอมปล่อยวางเรื่องการจัดการบ้านให้นางเสียที ทั้งที่นางก็ทำตัวดีมาตลอด เห็นทีหากยัยแก่นั่นไม่ตาย...นางก็คงไม่มีโอกาสได้จับเงินของบ้านเป็นแน่
แถมยัยแก่นั่นยังลำเอียงให้เงินแต่ลูกคนเล็กที่สอบซิ่วไฉได้ นางอยากจะรู้นักว่าเขาจะสอบระดับภาคได้จริงหรือไม่ เพราะเขาค้างอยู่ระดับซิ่วไฉมากว่าสี่ปีแล้ว ใช้เงินกินเที่ยวเล่นอยู่ในเมืองอย่างกับลูกเศรษฐี แต่คนที่บ้านกลับต้องอดๆอยากๆ คนอย่างนี้จะมีวันเจริญด้วยเรอะ!! ฮึ!
หากเลือกได้นางก็คงจะแยกบ้านเช่นกัน แต่เพราะสามีนางก็ไม่ได้เก่งกาจปานนั้น อีกทั้งยังมีบุตรชายไม่เอาไหนอีกสองคน และบุตรชายคนเล็กที่ถึงจะเอาไหนนางก็ไม่อาจฝากฝังเขาได้เพราะเขายังเล็กเกินไป!
เพราะอย่างนั้นนางตี้จูจึงทำได้เพียงกัดฟันกล้ำกลืน และเฝ้ารอวันที่แม่สามีจะจากโลกนี้ไปเสียที ในสักวันหนึ่งข้างหน้า