ช่วงนี้ร้านจงเหมินซึ่งเป็นเหลาอาหารใหญ่ของเมืองจินเต๋ามีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างมาก เพราะเมนูถั่วงอก ผักแปลกใหม่ที่หากินที่อื่นไม่ได้
นอกจากนี้แล้ว พวกเขายังมีผักใบเขียวมาขายได้ แม้ในช่วงเวลาต้นใบไม้ผลิ ซึ่งชาวบ้านยังไม่สามารถปลูกผักได้ เพราะอากาศยังเย็นเกินไป
ปกติแล้วช่วงกลางเดือนสามจึงเริ่มมีผักขายในตลาด ดังนั้นเหล่าคนมีเงินจึงฮือกันไปกินเมนูผักที่ร้านจงเหมิน แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนจำกัดและราคาแพงหูฉีกก็ตามที
ก็แหม พวกเขาเบื่อกินผักแห้ง หัวไชเท้าแห้ง และเนื้อแล้วนี่นา เพราะตลอดช่วงฤดูหนาว พวกเขาจำต้องกินผักดองและผักแห้งเท่านั้น ตลอดช่วงเวลากว่า4-5เดือน
หากสามารถหาผักมากินได้เร็วขึ้น เหล่าเศรษฐีผู้มีเงินในเมืองก็ยอมจ่ายกันทั้งนั้น ทั้งการที่พวกเขาสามารถกินอาหารเมนูผักในร้านจงเหมิน ยังถือเป็นการได้หน้าอย่างมาก
ร้านจงเหมินจึงมีกิจการที่ดีกว่าปกติ โต๊ะอาหารส่วนใหญ่มักถูกจับจองล่วงหน้า ที่ต้องต่อแถวรอก็จ่อกันยาวยืดไปถึงกลางตลาด เพียงเพราะเมนูถั่วงอกที่มีเยอะหน่อย และเมนูผักใบเขียวที่ต้องสั่งจองล่วงหน้าและมีจำนวนจำกัด
เพราะกิจการกำลังรุ่งเรือง คุณชายใหญ่จง จงอี้หยวนจึงต้องอยู่ควบคุมกิจการด้วยตนเอง และเขายังเตรียมจัดการฟาร์มหนูพ่วงฟาร์มถั่วงอก ทำให้ชายหนุ่มค่อนข้างยุ่ง
“คุณชายใหญ่ แย่แล้วขอรับ” ฉีชุนเหยาผู้จัดการสาขาเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด วิ่งขึ้นมายังห้องทำงานของเขา ที่ต้องเสียสละให้แก่คุณชายใหญ่จงผู้เป็นเจ้าของร้านตัวจริง
“มีอะไร?” จงอี้หยวนกำลังยุ่งกับการทำบัญชี และเตรียมการสำหรับการสร้างฟาร์มและขยายกิจการขมวดคิ้วมุ่น มองฉีชุนเหยาที่หน้าซีดตัวสั่นมาหา
“คือว่าบุตรชายเจ้าเมืองจินเต๋า ท่านซุยกล่าวว่าผักของร้านเราไม่ใช่รสชาติเดิม ไม่อร่อยเท่าเมื่อหลายวันก่อนที่คุณชายซุยมากิน เขาบอกว่าหากยังไม่ใช่ผักอร่อยเช่นเดิมเขาจะไม่มากินร้านเราอีกขอรับ”
“แล้วมันยังไงกัน มีคนซื้อผักไม่สดมาหรือไง?” จงอี้หยวนไม่เข้าใจนัก ผักที่ไหนๆมันก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ
“ไม่ใช่ขอรับ ข้าน้อยชิมดูแล้ว รสชาติอาหารก็เหมือนเดิม แต่คุณชายน้อยยืนยันว่าผักที่เราใช้เมื่อคราวก่อนเป็นผักที่มีพลังวิญญาณ...คุณชายใหญ่ นั่นเป็นผักชุดที่เราซื้อมาจากบ้านตระกูลซ่งขอรับ!”
“ผักพลังวิญญาณ!” จงอี้หยวนขมวดคิ้วตกตะลึง ผักที่มีพลังวิญญาณหนาแน่นจะมีรสชาติอร่อยกว่าผักทั่วไป แต่ก็ต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ผู้ที่ฝึกวรยุทธ์จะสามารถแยกความแตกต่างออก เนื่องจากจงอี้หยวนมีร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กจึงไม่ได้ฝึกวรยุทธ์ และคนทั่วไปก็ไม่ค่อยฝึกวรยุทธ์ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้กันเลยว่าผักจากบ้านตระกูลซ่งเป็นผักที่มีพลังวิญญาณ!
นอกจากจะมีรสชาติที่ดีกว่าแล้วผักพลังวิญญาณยังช่วยในการฝึกวรยุทธ์ได้เล็กน้อย แม้ไม่ดีเท่าโอสถ สมุนไพรต่างๆ แต่ก็ช่วยเล็กน้อย
ตามสำนักต่างๆ มักมีสถานที่ปลูกผักพลังวิญญาณ เช่นนั้นบ้านตระกูลซ่งก็เป็นสถานที่เช่นนั้นงั้นหรือ? อย่างไรเขาก็ต้องไปเห็นด้วยตาตนเองให้ได้
“บอกคุณชายซุยว่าพวกเราไม่รู้ว่าผักพลังวิญญาณปะปนมาจากที่ใด และไม่มีอีกแล้ว และเตรียมรถม้าข้าจะไปบ้านตระกูลซ่ง”
ฉีชุนเหยารีบกุลีกุจอไปเตรียมรถม้าให้คุณชายใหญ่ ก่อนจะไปปฏิเสธกับลูกค้าคนสำคัญตามที่คุณชายบอก
แม้ซุยหย่งชินจะรู้สึกสงสัยในคำพูดของผู้จัดการฉี แต่เขาก็ไม่อาจบีบบังคับเอาความจริงได้ สุดท้ายจึงยอมจากไป แต่ในใจก็ยังคงสงสัยที่มาของผักวิญญาณ
ซุยหย่งชินนั้นกำลังศึกษาวรยุทธ์อยู่ในสำนักชิงฉี พวกเขามีชื่อในเรื่องการเลี้ยงสุกรวิญญาณ ทำให้ลูกศิษย์ก้าวหน้าได้เร็วเพราะมีเนื้อหมูวิญญาณให้กินมาก
แต่ผักวิญญาณนี้พบได้ง่ายกว่าเนื้อสัตว์วิญญาณ เพราะบางครั้งก็ขึ้นอยู่ตามป่าเขา บางครั้งก็บังเอิญขึ้นแทรกอยู่ตามแปลงผักของชาวบ้าน ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าคนในร้านไม่รู้จริงๆว่านั่นคือผักวิญญาณ
โชคดีที่ผักจากบ้านตระกูลซ่งหมดไปช่วงหนึ่งแล้ว เหลือเพียงพืชชนิดระยะยาวที่ยังไม่ให้ผล และเฟิงลี่ยังไม่ว่างพอจะปลูกผักอีกรอบ ทำให้นางหยุดงานสวนไว้ชั่วคราวพอดี
ขณะที่คุณชายซ่งเดินทางมาบ้านตระกูลซ่งถึงในช่วงเที่ยงพอดี ครอบครัวบ้านใหญ่เกือบสิบคนกำลังนั่งกินข้าวอยู่บริเวณสวนหน้าบ้านอย่างฮาเฮ
ขณะที่ครอบครัวตระกูลซ่งจริงๆกำลังกินข้าวอยู่ด้านในพร้อมดูแลซ่งจิ้นไปด้วย ทำให้ไม่รู้ว่ามีแขกมาพบ
จงอี้หยวนมองบ้านดินบนเนินเขาที่ดูจะพังแหล่ไม่พังแหล่ แต่ก็ไม่ได้นึกดูแคลนชาวบ้าน เพราะเขาเองก็เคยโดนบททดสอบและถูกส่งไปใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขาที่มีเพียงกระท่อมไม้มาแล้วเหมือนกัน
แต่เมื่อเดินมาชิดประตูเข้าบ้าน เขาต้องแปลกใจเมื่อเห็นคนจำนวนมากนั่งสุมหัวกันบนเสื่อ และกำลังกินข้าวในสำรับบนโต๊ะขนาดใหญ่
ในใจเริ่มนึกสงสัย ว่าเหตุใดบ้านตระกูลซ่งจึงไม่คิดทำสวนต่อ ทั้งที่มีคนให้ใช้งานมากมายขนาดนี้ ช่างน่าเสียดายเสียจริง
เขาไม่ได้รู้เลยว่าทั้งหมดนั้นไม่ใช่คนตระกูลซ่ง แต่เป็นคนตระกูลตี้ที่มาขอข้าวบ้านนี้กินเปล่าๆเท่านั้น แต่เพราะความเข้าใจผิดนี้ทำให้จงอี้หยวนนึกดูแคลนคนบ้านตระกูลซ่งอยู่ไม่น้อย
“อ้าวคุณชายน้อย มาหาใครหรือเจ้าคะ หรือท่านหลงทางมา” ผู้ถามคือนางตี้อุยซึ่งเป็นภรรยาของลุงสาม มีศักดิ์เป็นป้าสะใภ้ของบ้านเล็ก และนางเป็นคนที่ไม่มีบุตรนั่นเอง
นางเห็นท่าทางสะโอดสำอางค์ของคุณชายน้อย และมองไปเบื้องหลังเขาที่มีรถม้าดูดีจอดอยู่ สามารถบอกได้ทันทีว่าคุณชายผู้นี้เป็นคนมีเงิน แต่หากไม่หลงทางมาแล้วทำไมเขาจึงมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านตระกูลซ่ง ซึ่งอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากถนนหลักเล่า?
“ข้ามาขอพบ นายท่านตระกูลซ่ง ไม่ทราบว่านี่บ้านตระกูลซ่งใช่หรือไม่”จงอี้หยวนเอ่ยถาม ใบหน้ายิ้มน้อยๆอย่างอ่อนโยน นั่นทำให้ผู้พบเห็นเปิดใจกับเขาได้ง่าย
“ใช่ๆแน่นอน เข้ามาก่อนสิ ข้าจะไปเรียกน้องสะใภ้ออกมา”
จงอี้หยวนเดินตามหญิงผู้นั้นเข้าไปด้านใน เขาเหลือบมองชุมนุมอาหารเที่ยงที่อยู่ลานหน้าบ้าน พวกเขาเพียงเหลือบมามองเขาและหันไปซุบซิบกัน นั่นทำให้เขาแปลกใจมาก
และเมื่อหญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามสวมชุดชาวบ้านมอซอเดินออกมาจากบ้าน ยิ่งทำให้จงอี้หยวนรู้สึกแปลกใจ
หากไม่ใช่ว่าเด็กสาวที่ขายสูตรทำถั่วงอกเดินจูงมือนางมาด้วย เขาคงคิดว่าตนเองมาผิดที่เป็นแน่
บ้านเล็กๆนี้น่าจะอยู่ได้เพียงสองครอบครัวเท่านั้น แต่ทำไมคนที่เป็นใหญ่กลับเป็น ‘น้องสะใภ้’ ที่หญิงคนแรกที่เขาพบบอกเล่า? และเหมือนความสงสัยจะอยู่กับจงอี้หยวนไม่นาน
“น้องสะใภ้ ยังไงวันนี้ก็ขอบคุณเจ้าที่เลี้ยงข้าวพวกเราอีกแล้ว เฮ่อ หากไม่ได้เจ้าพวกเราคงอดอยากเป็นแน่ ข้ากลับก่อนล่ะ เจ้าคงมีธุระ”
“พี่สะใภ้พูดเกินไปแล้ว เสี่ยวลี่ไปส่งท่านป้าและเหล่าพี่ชายของเจ้าสิลูก” นางตี้จิงหรุยสั่งลูกสาว แต่เหมือนเฟิงลี่จะอยากอยู่คุยกับคุณชายจงมากกว่า
โชคดีที่ซ่งเฟิงโผล่หน้ามาจากในห้อง เขาจึงออกตัวทำงานแทนน้องสาว
“ท่านแม่ ข้าไปส่งบ้านใหญ่เอง ท่านกับเสี่ยวลี่รับแขกเถอะขอรับ” ซ่งเฟิงหันไปทักทายคุณชายจง ก่อนจะเดินออกไปส่งคนบ้านใหญ่
นั่นทำให้จงอี้หยวนเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น คนที่มากินข้าวเหล่านั้นไม่ใช่คนบ้านตระกูลซ่งสินะ...ช่างน่า...ตกใจจริงๆ
“คุณชายจงเชิญด้านในก่อน”เฟิงลี่หันไปทักทายคุณชายจง ก่อนจะเดินนำเขาเข้าบ้านไป เมื่อนางตี้จิงหรุยเห็นบุตรสาวรู้จักคนผู้นี้ นางก็เดินเข้าบ้านเพื่อเตรียมชาออกมา
โชคดีที่เฟิงลี่ซื้อชุดน้ำชามาไว้ในบ้านชุดหนึ่ง ทำให้นางพอจะมีอะไรต้อนรับแขก แต่ก็ไม่มีขนมดีดีเหมือนเดิม เพราะคนในบ้านสนใจแต่จะเอาชีวิตรอด จึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องขนมนมเนยมากนัก
จงอี้หยวนมองการต้อนรับที่ธรรมดาสามัญและไม่ตรงตามมารยาทแต่ก็ไม่ได้ถือสา ลำพังบ้านคนสภาพเช่นนี้สามารถหาน้ำชามาต้อนรับเขาได้ก็ดีมากแล้ว
แต่เมื่อชายหนุ่มยกน้ำชาเขาก็ต้องดื่มอีกหลายจอก เพราะน้ำชาของบ้านตระกูลซ่งทำให้คนสดชื่นขึ้นมาได้จริงๆ เขารู้สึกเหมือนโรคภัยที่สะสมมานานปีกำลังบรรเทาลงเรื่อยๆ เขาคิดไปเองหรือไม่?
จงอี้หยวนไม่รู้เลยว่าผลมาจากน้ำวิเศษ ซึ่งสามารถเยียวยามนุษย์ สัตว์และพืชได้ นี่คือแหล่งพลังวิญญาณเป็นๆที่เขามาตามหานั่นเอง!
“ท่านแม่ ท่านผู้นี้คือคุณชายใหญ่จง คุณชายใหญ่จงนี่มารดาของข้าเอง” เฟิงลี่แนะนำ
“คารวะฮูหยินซ่ง ข้ามาในวันนี้ก็เพราะเรื่องผักของพวกท่าน พวกท่านอาจจะไม่รู้แต่เพราะเหตุผลบางอย่างทำให้ผักของพวกท่านกลายเป็นผักที่มีพลังวิญญาณ”
“ข้าไม่อ้อมค้อมนะขอรับ แต่ผักพลังวิญญาณนั้นหายากมากๆ และหากพวกท่านสามารถปลูกผักพลังวิญญาณได้มันจะดึงดูดอันตรายมากมายมาหาพวกท่าน ดังนั้นข้าจึงมายื่นข้อเสนอทำธุรกิจกับพวกท่าน ให้พวกท่านทำการค้ากับข้าเพียงเจ้าเดียวเท่านั้น”
“ตระกูลจงจะเป็นคนออกหน้าเอง ไม่สิ ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเอง”
เฟิงลี่อ้าปากเหวอด้วยความตกใจ ‘อะไรนะ!! ผักที่ข้าปลูกกลายเป็นผักวิญญาณงั้นหรือ?’
วันนี้นอกจากจะดวงซวยหมุนวงล้อได้เงิน100อีแปะติดต่อกัน แล้วยังมีปัญหาพุ่งเข้าใส่จังจังอีก เฮ่อ สงสัยจะเป็นวันซวยของนางจริงๆสินะ