บทที่4 โชคลาภของร่างทรง2

2878 Words
ขณะเดียวกันสองพ่อลูกก็เดินทางมาถึงโรงหมอแล้ว เสียงกระซิบกระซาบรอบด้านดังขึ้นบ้างบางครั้ง เฟิงลี่ถือหม้อไว้ในมือ นี่เป็นแกงเห็ด ส่วนอีกหม้อเป็นน้ำข้าวที่ท่านพ่อถืออยู่ นอกจากนี้ในกระบอกน้ำยังมียาน้ำที่นางต้มไว้ให้มารดาดื่มด้วย “ท่านแม่ พี่ใหญ่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” เฟิงลี่ปรี่เข้าหามารดาทันที นางวางอาหารไว้ตรงหน้านางตี้จิงหรุย ก่อนจะหยิบย่ามวางไว้บนมือมารดา “ลี่เอ๋อร์ พี่ใหญ่เจ้าอาการดีมาก ฟื้นตัวเร็วมาก ท่านหมอยังบอกว่าหากฟื้นตัวเร็วเช่นนี้อาจจะรักษาไม่ถึงสิบวันก็ออกจากโรงหมอได้แล้ว ถ้าพี่เจ้าฟื้นตัวเร็วขึ้นท่านหมอจะค*****นส่วนต่างให้เราด้วย” ตี้จิงหรุยเอ่ยอย่างยินดี “เมื่อเงินเหลือแล้ว แม่จะให้ท่านหมอตรวจอาการของเจ้าด้วย ดีมั้ยหืม?”นางเอ่ยถามบุตรสาวอย่างใจดี “ท่านแม่ ข้าดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ ข้าบอกแล้วว่าข้าเรียนหมอมาบ้างแล้ว นี่เป็นยาที่ข้าต้มเองแหละ ท่านแม่ดื่มหน่อยนะเจ้าคะ จะได้สุขภาพแข็งแรง” เฟิงลี่เอ่ยอย่างอารมณ์ดี รีบนำเสนอยาต้มของตนเองทันที ทั้งบิดาและมารดาล้วนหัวเราะ แต่ก็ไม่คิดขัดบุตรสาว พวกเขายอมดื่มยานั้นแต่โดยดี เมื่อมารดาเห็นแกงเห็ดนางก็ดุเฟิงลี่ที่ไม่รู้จักประหยัด เฟิงลี่ได้โอกาสหลังจากที่ตีั้จิงหรุยกินข้าวเช้าเสร็จ นางรีบนำเสนอตำราปักผ้าทันที “ท่านแม่ อย่างที่ข้าเคยบอกท่านเทพได้ให้ตำราปักผ้านี้กับข้า บอกว่าให้นำมาให้ท่านแม่ ท่านแม่ต้องเก็บไว้ดีดีนะเจ้าคะ ท่านเทพไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าท่านช่วยเหลือครอบครัวเราอยู่” เฟิงลี่รีบกระซิบมารดาทันที ตี้จิงหรุยมองตำราที่ดูกลางใหม่กลางเก่าอย่างไม่อยากเชื่อ แต่เมื่อเปิดดูแล้วเห็นลายปักผ้าและภาพสอนที่เหมือนจริงและเข้าใจง่ายนางก็น้ำตารื้นขึ้นมา ซ่งจิ้นเองก็แปลกใจเช่นกัน คราแรกเขายังกังขาเรื่องที่บุตรสาวบอกว่าติดต่อกับท่านเทพได้ แต่เมื่อเห็นตำราที่ดูไม่เหมือนตำราที่เขาเคยเห็นของน้องสี่(บุตรชายบ้านใหญ่ที่สอบซิ่วไฉได้) ซ้ำรูปภาพยังเป็นสีต่างๆอย่างน่าพิศวง เขาก็ยอมเชื่อเฟิงลี่อย่างเต็มหัวใจแล้ว “ได้ แม่จะเก็บซ่อนไว้ด้วยชีวิต แม่จะไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อน” ตี้จิงหรุยรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ “จิงหรุย พี่จะเข้าเมืองกับลูก เจ้าต้องการอะไรหรือไม่” “ท่านพี่...ท่านป้าจะไม่ว่าหรือเจ้าคะ” นางมองสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่ห้อยอยู่ที่เอวของสามี ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน้าสามีอย่างหนักใจ “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก ข้าจัดการเอง ต่อไปนี้เราจะมอบเงินให้ท่านป้าตามที่ได้ตกลงเอาไว้ ต่อไปเจ้าจะได้รับหน้าที่ดูแลเงินทองของบ้านเรา ดังนั้นต้องทำจิตใจให้เข้มแข็งล่ะ” ซ่งจิ้นล้อเลียนภรรยา “ท่านพี่…” ตี้จิงหรุยเอ่ยอย่างเขินอาย เฟิงลี่มองมารดากับบิดาด้วยสายตาแห่งความรักความเอ็นดู เหมือนกำลังมองบุตรหลานไม่ใช่มองบิดามารดาอยู่ “ท่านพี่ดูสิ ลูกล้อเราแล้ว จะไปก็รีบไปเถอะเจ้าค่ะ เดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ”นางตี้จิงหรุยเอ่ยอย่างเขินอาย เมื่อเห็นเฟิงลี่มองมาที่ตนเองอย่างนั้น “เอาล่ะ ถ้าลูกชายตัวดีของข้าฟื้นขึ้นมา ก็ให้เขากินแกงเห็ดเยอะๆล่ะ นั่นลูกลี่เก็บมาเองเลยเชียวนะ นางยังทำกับข้าวเองด้วย” “แน่นอนเจ้าค่ะ ถ้าไม่ใช่ลี่เอ๋อร์ทำ เป็นท่านทำงั้นหรือ เช่นนั้นแกงเห็ดคงกินไม่ได้หรอก” หลังจากหยอกภรรยาจบแล้ว ซ่งจิ้นก็พาเฟิงลี่ออกเดินทาง การเดินทางเข้าเมืองนั้นค่อนข้างปลอดภัย เพราะถนนรอบเมืองมีแต่แปลงเพาะปลูกของเหล่าเศรษฐี และชาวบ้านอยู่ประปราย ไม่มีจุดเปลี่ยวเลย เฟิงลี่มองพื้นที่อย่างแปลกตาแปลกใจ แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียว ก่อนที่นางจะต้องถูกแบกขึ้นหลังบิดาเพราะร่างกายนางอ่อนแอเกินกว่าจะเดินเท้าไปถึงเมือง เมื่อถึงเมืองแล้ว ท่านพ่อยื่นป้ายไม้ยืนยันตัวให้เจ้าหน้าที่จดบันทึก จากนั้นทั้งสองก็เข้าเมืองได้โดยง่าย ท่านพ่อมุ่งตรงไปยังร้านอาหารในเมืองทันที ร้านอาหารในเมืองมีหลายร้านแต่ที่โด่งดังเรื่องอาหารป่านั้นมีไม่กี่ร้านเท่านั้น ดังนั้นจึงเลือกค่อนข้างง่าย เมื่อมาถึงร้านแรกคือร้านเจิ้งหยวน พวกเขาเป็นเหลาอาหารขนาดกลางและค่อนข้างกดราคา เฟิงลี่มองบิดาที่ถูกเอาเปรียบ แต่ถึงอย่างนั้นสัตว์หกเจ็ดตัวนั้นก็ได้เงินมากว่า1ตำลึง กับอีกหลายอีแปะ บ่งบอกว่าสัตว์ป่าอยู่ในช่วงราคาดี “ไปเถอะ เราได้เงินสำหรับซื้อข้าวแล้ว และเงินสำหรับให้บ้านใหญ่ พ่อจะพาเจ้าเดินดูตลาดก่อน อาลี่ไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้ใช่มั้ยเล่า” บิดาเอ่ยอย่างอารมณ์ดี เฟิงลี่ส่ายหน้าเล็กน้อย นางรู้สึกปวดใจอย่างยิ่งที่เห็นบิดาดีใจกับอีแค่เศษเงินที่ร้านค้านั้นมอบให้ นางจำได้ว่าในสินสมรสของมารดาในชาติแรกมีเหลาอาหาร นางยังจำราคาอาหารที่ใช้ไก่ฟ้าครึ่งตัวทำได้ มันมีราคามากกว่า50ตำลึง หากว่านางมีความสามารถในการทำอาหาร นางคงเลือกเปิดเหลาอาหารไปแล้ว ดูเหมือนจะได้กำไรดีมาก เพราะได้กดขี่ชาวบ้านเช่นนี้ เหอะ! “ดูนั่นถังหูลู่ที่เจ้าเคยถาม มันมีราคาตั้ง20อีแปะแน่ะ นั่นซื้อข้าวได้กึ่งชั่งเลยนะ อย่างน้อยก็กินได้หลายวัน” ซ่งจิ้นหันไปชี้ถังหูลู่ และเหมือนพยายามสอนค่าเงินให้บุตรสาวด้วย เฟิงลี่ได้ฟังแล้วก็อนาถใจ แค่20อีแปะบ้านนางยังต้องกระเบียดกระเสียดเพื่อให้เหลือเงินซื้อข้าวมากรอกหม้อ เฮ่อ~ “โอ้ ลายปักผ้านั่นงามจริงๆ อาลี่ชอบหรือไม่ ถ้าชอบก็จำแบบไปให้มารดาเจ้าปักให้นะ” คราวนี้ซ่งจิ้นชี้ไปยังผ้าเช็ดหน้าปักลายที่อยู่บนร้านค้าแผงลอย เฟิงลี่ขมวดคิ้วน้อยๆ ลายผ้าเช่นนั้นไม่ถือว่างาม ทั้งฝีมือการปักยังไม่ได้ครึ่งของตัวนางด้วยซ้ำ หากจะเสียเงินซื้อหลายสิบอีแปะ นางคงลงมือปักเองดีกว่า “ใช่สิ เราต้องแวะร้านธัญพืชก่อน” ว่าแล้วบิดาก็แวะเข้าไปในร้านธัญพืชขนาดกลางที่ตั้งอยู่ในหลืบ เฟิงลี่เดินตามก่อนจะโดนคนสวมผ้าคลุมชนไหล่จนตัวเซ “เอ๊...” นางตกใจเล็กน้อยและมองตามคนสวมผ้าคลุมไป ก่อนจะเลิกสนใจเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้สนใจคนอื่นๆ เขาตัวสูงกว่านางเล็กน้อยและอุ้มบางอย่างในอ้อมแขน “ไปกันเถอะอาลี่ เถ้าแก่ที่นี่ไม่ขายข้าวครึ่งชั่ง เราคงต้องหาซื้อร้านในตลาด” ซ่งจิ้นเดินออกมาอย่างผิดหวัง ความจริงเขาสามารถซื้อข้าวทั้งชั่งได้ แต่เพราะต้องให้เงินกับบ้านใหญ่ เงินจึงไม่เหลือพอจะซื้อข้าวทั้งชั่ง “ท่านพ่อ ข้าวบ้านเราก็ยังเหลืออยู่บ้าง ไม่ต้องซื้อก็ได้เจ้าค่ะ” “กว่าเราจะได้มาในเมืองอีกคงหลายวัน หากซื้อข้าวกลับไปเลยน่าจะดีกว่า” “เป็นเช่นนั้น...ก็ตามแต่ท่านพ่อเจ้าค่ะ” เฟิงลี่ยิ้มเข้าใจ คืนนั้นบิดานางบาดเจ็บเล็กน้อยกลับมา คาดว่าน่าจะเจอกับสัตว์ดุร้ายระดับต่ำในภูเขา เช่น หมาป่าหลงฝูง หรือ หมูป่า เนื่องจากบิดานางไม่ได้นำอาวุธแหลมคมขึ้นเขา เขาจึงไม่สามารถเอาชนะพวกมันได้ และปกติพรานป่านจะไม่ขึ้นเขาช่วงฤดูผสมพันธุ์ เหตุผลหนึ่งเพราะความดุร้ายของสัตว์ป่า อีกเหตุผลคือต้องการให้สัตว์ได้ขยายพันธุ์ก่อน ดังนั้นการที่บิดานางฝืนขึ้นเขา เหตุผลก็เพราะบ้านใหญ่ ในเมื่อบิดาปลดภาระบ้านใหญ่ออกจากหลังได้แล้ว เขาจึงไม่คิดขึ้นไปเสี่ยงอีกกระมัง เฟิงลี่ก็เห็นด้วย นางต้องการให้บิดาและมารดาได้บำรุงร่างกายให้หายดีเสียก่อน จริงสิ นางสามารถใช้น้ำวิเศษปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ได้นี่นา “ท่านพ่อบ้านเรามีเมล็ดพันธุ์ผักอยู่บ้างมั้ยเจ้าคะ” เฟิงลี่เงยหน้าขึ้นถาม “ผักหรือ พ่อกับแม่เจ้าปลูกผักไม่เป็นหรอก บ้านเราเคยทำแต่ไร่ในสมัยที่ยังไม่แยกบ้าน จึงไม่มีเมล็ดผักอยู่เลย” “ท่านพ่อ เราไปดูเมล็ดพันธุ์ผักมาปลูกกันสักหน่อยดีมั้ยเจ้าคะ” เฟิงลี่กล่าวแล้วดึงตัวบิดาลงมากระซิบข้างหูเขา “ข้าสามารถใช้ความสามารถปลูกผักได้นะเจ้าคะ” “เป็นท่าน...เป็นท่านผู้นั้นให้มาอีกแล้วหรือ?” บิดารู้ว่าไม่ควรพูดอะไรออกมา เขารีบกระซิบถามบุตรสาวทันที “ใช่เจ้าค่ะ เราสามารถเริ่มปลูกผักได้เลย เอาไว้กินเองก็ได้ เอาไว้ขายก็ได้ทั้งนั้น” เฟิงลี่เอ่ยยิ้มๆ “ดี! ข้าวเรายังมีเหลืออยู่บ้างจากช่วงหน้าหนาวที่ผ่านมา งั้นไปดูในตลาดกัน” ซ่งจิ้นเดินพาบุตรสาวกลับเข้าถนนหลัก ส่วนมากสินค้าในตลาดจะไม่ค่อยมีเมล็ดพันธุ์ จะต้องหาซื้อจากร้านใหญ่เลยทีเดียว แต่เพราะความโชคดีของเฟิงลี่ ทำให้พวกเขาเจอร้านเมล็ดพืชที่แอบอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งโดยบังเอิญ “เข้ามาได้เลย ร้านเราขายเมล็ดพันธุ์ จะเล็กน้อยเท่าใดก็ขาย” เสียงเสี่ยวเอ้อร์ดังขึ้น เขายังคงนั่งแกะเม็ดแตงคั่วอยู่ด้านใน โดยวางขาไว้บนโต๊ะบัญชี บ่งบอกว่าร้านนี้ไม่ได้มีระเบียบใดใด “พี่ชาย ข้าต้องการเมล็ดพันธุ์เล็กน้อยจริงๆ ข้ามีเงินเท่านี้ อยากได้หัวไชเท้า ผักกวางตุ้ง ผักกาดขาว ถั่วเขียว ต้นหอม กระเทียม” “เด็กน้อย เจ้ามีเงินเท่าใดกันมาถึงก็ชี้ๆจะเอานู่นนี่” เสี่ยวเอ้อร์เหลือบตามา มองขึ้นลงๆสำรวจสภาพพ่อลูก ก่อนจะเอ่ยถาม แม้คำพูดจะดูถูกแต่น้ำเสียงกลับเรียบเฉยไม่แยแส “พี่ชาย ข้ามีเงินเท่านี้” เฟิงลี่ขอเงินจากบิดามา มันเป็นเงิน60อีแปะที่เกินมาจากเงินตำลึง เมื่อเสี่ยวเอ้อร์เห็นก็ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะโบกมือนิดๆ “น้องสาวเจ้าต่อรองราคาเก่งเกินไปแล้ว เงิน60อีแปะได้เมล็ดทุกอย่างนั่น อย่างละสองนิ้วมือ เจ้าจะเอามั้ย?” เสี่ยวเอ้อร์ยักคิ้ว เขาเดินไปประชิดพ่อลูก ก่อนจะใช้สองนิ้ววาดไปบนกองเมล็ดพันธุ์พืชชนิดหน่อย ซึ่งได้ติดมาแค่หยิบมือ “ถ้าพี่ชายให้ข้าตวงเองก็ย่อมได้” เฟิงลี่เอ่ยยิ้มๆ นางจำนิทานที่เคยอ่านในชาติก่อนได้ มีคนๆหนึ่งทำให้นิ้วเปียกแล้วค่อยตวงเมล็ดพันธุ์ “อาลี่ ให้พ่อทำดีกว่า มือเจ้าเล็กนิดเดียว” “บิดา มันเป็นความสามารถของข้า ข้าอยากทำเอง” เฟิงลี่รีบค้าน “ได้ เด็กน้อย หากเจ้าตวงได้เท่าใดที่ไม่ตกจากสองนิ้วนั้น ข้าจะให้เจ้า” เสี่ยวเอ้อร์รับคำทันที เฟิงลี่ยิ้มน้อยๆ นางหยิบห่อข้าวที่อยู่ในแขนเสื้อออกมา ห่อข้าวนี้นางเก็บเอาไว้กินเผื่อหิวระหว่างเดินทาง มันมีข้าวที่ถูกต้มจนสีแดงออกไปหมดแล้วสองก้อนเล็กๆ นางใช้ข้าวแปะไปทั่วนิ้วทั้งสองมือ ก่อนจะตวงเมล็ดพันธุ์ที่เสี่ยวเอ้อร์ชี้ให้ เสี่ยวเอ้อร์มองเด็กหญิงตาเป็นประกาย ก่อนจะหัวเราะออกมาดังลั่นเมื่อเห็นเมล็ดพันธุ์เกาะขึ้นมาเต็มนิ้วทั้งสอง นอกจากนี้ยังมีเมล็ดพันธุ์ที่อยู่เหนือสองนิ้วอีกกองหนึ่ง “ฮ่าๆๆ เจ้าเป็นเด็กฉลาดจริงๆ แล้วจะทำอย่างไรล่ะ สองนิ้วแรกของเจ้ามีเมล็ดพันธุ์ชนิดหนึ่งอยู่แล้ว” เสี่ยวเอ้อร์พูดหยอกล้อ ซ่งจิ้นมองบุตรสาวอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนจะยิ้มน้อยๆ “พี่ชายท่านต้องมีกระบอกใส่เมล็ดพันธุ์ หรือถุงอยู่แน่ๆ เอาออกมาให้ข้าใส่ก่อนเถอะ” เฟิงลี่พูดอย่างอ่อนหวาน จังหวะจะโคนราวคุณหนูตระกูลใหญ่จริงๆ “ดี ดี ปกติแล้วถุงใส่เมล็ดพันธุ์ต้องซื้อ แต่เพราะข้าชอบเจ้าข้าจะแถมให้แล้วกัน เอาล่ะมาดูซิว่าเจ้าจะกำจัดเมล็ดพันธุ์ออกจากนิ้วยัง...ไง” ก่อนที่เขาจะพูดจบ หลังจากเฟิงลี่รับถุงใส่เมล็ดพันธุ์มา นางก็เดินออกไปหน้าร้าน ก่อนจะเปิดถุงน้ำหนังสัตว์ เอามือใส่ในถุงเมล็ดพันธุ์ที่ทำจากผ้าแล้วล้างมือลงไปในนั้นทันที หลังจากแน่ใจว่าเมล็ดพันธุ์ออกหมดแล้ว นางก็เช็ดมือดีดีแล้วเริ่มละเลงข้าวลงไปใหม่ “เด็กน้อย เจ้าช่างขี้โกงเหลือเกิน จำไว้ว่าโตไปไม่โกงเข้าใจมั้ย?” เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยหยอกล้อ เขาอยากให้เถ้าแก่มาเห็นเด็กคนนี้เหลือเกิน ท่านจะต้องชอบเด็กคนนี้มากจนยอมยกเมล็ดพันธุ์ให้สักเกวียนแน่ๆ “ตอนนี้ข้ายังไม่โตนี่เจ้าคะ โกงได้” เฟิงลี่เอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะเริ่มตวงเมล็ดพันธุ์ชนิดที่สอง หลังจากตวงครบทุกชนิดแล้ว ปรากฎว่าเมล็ดพันธุ์ที่ได้แต่ละชนิดนั้นไม่น้อยเลย หากเอามานับจริงๆแล้วน่าจะเกือบร้อยอีแปะ “แม่หนู เจ้าฉลาดเหลือเกิน มาทำงานที่นี่ดีมั้ย ร้านเราต้องการเด็กฝึกงานอย่างเจ้า” เสีย่วเอ้อร์รีบเสนออย่างรวดเร็ว “ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ” ก่อนที่ซ่งจิ้นจะได้เอ่ยปาก เฟิงลี่ก็ปฏิเสธไปเรียบร้อย นางยังมีอะไรให้ทำอีกมาก ไม่ว่างพอมาทำงานรับเงินเดือนหรอก “เอาล่ะ ไหนๆก็เจอกันแล้ว ข้าจะแถมเมล็ดถั่วเขียวให้เพิ่มอีกนิดหน่อย เจ้าเอาไปแค่นั้นไม่พอกินหรอก คราวหน้าก็แวะมาอุดหนุนร้านข้าแบบ ดี! ดี! สักครั้งนะ” เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยยิ้มๆ หลังจากยัดถุงเมล็ดถั่วเขียวให้ทั้งคู่แล้วก็รีบผลักสองพ่อลูกออกจากร้านทันที เฟิงลี่หันไปขอบคุณเขา ก่อนจะดึงมือบิดาเดินออกจากร้าน นางตั้งใจจะปลูกถั่วงอก และปลูกถั่วเขียวไว้เล็กน้อยเพื่อเก็บเกี่ยวเมล็ดในอนาคต “ท่านพ่อกลับกันเถอะเจ้าค่ะ” “เจ้า...อาลี่เจ้าไปเรียนวิธีเช่นนั้นมาจากที่ใดกัน” “หากเสี่ยวเอ้อร์ไม่คิดโกงเราก่อน ข้าคงไม่คิดโกงเขาหรอกเจ้าค่ะ” เฟิงลี่ยู่ปาก นางรู้ว่าหากเสี่ยวเอ้อร์ยอมตวงให้ดีดี เงิน60อีแปะก็สามารถซื้อเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดนั่นได้ แต่เสี่ยวเอ้อร์กลับเล่นลูกไม้ไม่ยอมทำดีดีแต่แรก “ต่อไปเจ้าต้องระวังให้มากนะ โกงคนอื่นก็ต้องดูด้วยว่าเขายอมหรือไม่”ซ่งจิ้นเอ่ยสอน แต่ดูเหมือนคำสอนของเขาจะแปลกๆนะ “เจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะระวัง” เฟิงลี่ผงกหัวหงึกๆ ยังคงอิ่มอกอิ่มใจที่สามารถซื้อเมล็ดพันธุ์ได้มากมายทั้งที่ใช้เงินไปเพียงน้อยนิด “เอาล่ะ ยังมีเงินเหลืออีกราว10อีแปะ เรานั่งรถเกวียนกลับหมู่บ้านกันดีกว่า” ความจริงรถเกวียนที่ว่าวิ่งไปถึงแถวบ้านท่านหมอเท่านั้นก็จะวิ่งกลับ แต่ระยะทางจากหมู่บ้านไปบ้านท่านหมอเพียง4ลี้ แต่ระยะทางจากบ้านท่านหมอมาเมืองคือ20ลี้ พ่อลูกยอมเสียเงินนั่งรถเกวียนกลับบ้าน ส่วนหนึ่งเพราะซ่งจิ้นเห็นใจบุตรสาวที่ร่างกายอ่อนแอของเขา ส่วนหนึ่งเพราะเขาซาบซึ้งใจที่บุตรสาวมีความสามารถต่อรองราคาได้ดีมาก เขาอยากตอบแทนนางสักหน่อย เมื่อสองพ่อลูกมาถึงโรงหมอ เฟิงลี่เข้าไปเยี่ยมมารดาและพี่ชายครู่หนึ่ง เห็นมารดากำลังเรียนปักผ้าจากตำรา ส่วนพี่ชายดูเหมือนจะดีขึ้นมาก นางก็เบาใจและเดินทางกลับบ้านพร้อมบิดา ทั้งคู่มาถึงบ้านราวๆปลายยามเซิน(4โมงเย็น) เฟิงลี่เลยอ้อนขอให้บิดาพานางขึ้นเขาไปเก็บเห็ด สุดท้ายจึงได้กระต่ายกลับมาตัวหนึ่งด้วย เพราะเฟิงลี่ทำอาหารจากกระต่ายไม่เป็น สุดท้ายพ่อลูกเลยตัดสินใจย่างกระต่าย แม้จะออกมาดำบ้างขาวบ้าง แต่ก็ถือว่ากินได้ หลังจากกินไปประมาณ1ส่วน3แล้ว ที่เหลือก็เก็บไว้ให้สมาชิกในครอบครัวอีกสองคน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD