บทที่4 โชคลาภของร่างทรง
เช้าวันถัดมาทันทีที่ลืมตาซ่งจิ้นก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นบุตรสาวหน้าเปื้อนสีถ่านและก้มๆเงยๆอยู่ในห้องครัว เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นว่าในหม้อมีทั้งแกงเห็ด และอีกหม้อมีน้ำสีเขียวกลิ่นแปลกๆอยู่
“อาลี่ทำอะไร” ซ่งจิ้นเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“ท่านพ่อนั่งก่อนเจ้าค่ะ เราจะกินข้าวเช้าก่อน และจากนั้นค่อยนำอาหารไปส่งท่านแม่และท่านพี่ ส่วนนี่เป็นสมุนไพรที่ลูกเก็บมาเมื่อวาน น่าจะช่วยให้ลูกฟื้นตัวได้ดีขึ้น”
“อาลี่...” ซ่งจิ้นรู้สึกละอายใจอย่างมาก ตัวเขาไม่มีความสามารถจะซื้อยามาให้บุตรสาวกิน เขาเกือบลืมไปเลยว่าเมื่อสองวันก่อนเฟิงลี่เกือบตายด้วยพิษไข้ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับซ่งเฟิง เขามัวห่วงบุตรชายจนละเลยบุตรสาวอีกครั้ง
“ท่านพ่อไปนั่งรอในบ้านเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะรีบต้มเห็ดและเตรียมข้าว” เฟิงลี่ไม่ได้สนใจอาการของบิดา รีบหันไปสนใจหม้อที่ตนเองต้มแกงไว้ นางรู้สึกกระปรี้กระเป่าเมื่อได้ทำอะไร
เมื่อเช้านางตื่นมาเพราะเสียงของระบบที่ปลุกและบอกว่ามีหนูมาแอบขโมยกินสมุนไพรนาง พอนางมาถึงห้องครัวก็เห็นหนูสีทองตัวน้อยคล้ายแฮมสเตอร์ในโลกก่อนนอนพุงกางอยู่ในตะกร้าสมุนไพร
ดังนั้นนางจึงจับมันมา และเลี้ยงมันไว้ในห้องครัว เพราะมันคือหนูทองที่ชอบสมุนไพร นางจึงตักน้ำจากตุ่มที่ผสมน้ำวิเศษเอาไว้มาให้มัน พร้อมกับสมุนไพรที่เหลือ
ความจริงในโลกนี้ไม่มีการทำพันธสัญญาแต่มนุษย์จะเลี้ยงสัตว์เหมือนสัตว์เลี้ยงทั่วไปเท่านั้น แต่เพราะเฟิงลี่มีระบบ ระบบจึงแนะนำวิธีทำพันธสัญญาให้นาง
สุดท้ายเฟิงลี่จึงได้รับหนูน้อยน่ารักมาหนึ่งตัว
เมื่อรับอาหารเรียบร้อย เฟิงลี่หันไปจัดเตรียมห่อผ้าสำหรับให้ท่านแม่เปลี่ยนเสื้อผ้า รวมถึงตำราปักผ้า สะดึง ผ้าสำหรับปัก ด้ายสีต่างๆ และเข็มปักผ้ารุ่นทันสมัยที่นางได้จากระบบ เพื่อให้มารดาทำงานเย็บปักระหว่างเฝ้าพี่ชาย
อีกตั้ง9วันกว่าที่พี่ชายจะออกจากโรงหมอได้ ดังนั้นหากมารดาสามารถเรียนปักผ้าได้ดีแล้ว ต่อไปบิดาล่าสัตว์ไปขายในเมือง นางจะได้นำผ้าปักของมารดาไปเสนอขายด้วย
ตอนนี้นางต้องการเงินส่วนหนึ่งเพื่อนำไปซื้อพับผ้ามาตัดเสื้อผ้า เสื้อผ้าของครอบครัวมีรอยปะชุนหลายแห่ง แม้จะสะอาดดีแต่ก็ดูไม่เรียบร้อย นางอยากจะให้ครอบครัวใส่เสื้อผ้าดีดีกว่านี้สักหน่อย ไม่ใช่ใส่ผ้าดิบสีซีดเช่นนี้
ระหว่างทางที่เดินผ่าน เฟิงลี่สามารถเห็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ข้างทางได้ พวกเขามีใบหน้ายิ้มแย้มและกำลังจับสัตว์เล็กๆที่ลงมายังที่นาของพวกเขา บ้างก็กำลังแยกแมลงและนกออกจากแหที่วางไว้บนที่นา เป็นการกำจัดศัตรูพืชล่วงหน้า ก่อนเข้าฤดูกาลเพาะปลูก
มีทั้งลูกเล็กเด็กแดง ทั้งคนแก่คนชรา พวกเขาดูมีสุขภาพแข็งแรงมากแม้จะเพิ่งผ่านหน้าหนาวมา บ่งบอกว่าบ้านที่อยู่รอบนอกหมู่บ้าน ดูเหมือนจะมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าหมู่บ้านของนางด้วยซ้ำ
เฟิงลี่สะกิดบิดา แล้วชี้ไปที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งมีป้ายเขียนว่า ‘ขาย’ เอาไว้ มันเป็นบ้านที่มีที่ดินขนาดราว3หมู่ บ้านสองห้องที่สร้างจากไม้ น่าจะมีราคาไม่น้อย
“ลี่เอ๋อร์ใจเย็นๆก่อนนะลูก ตอนนี้เรายังไม่มีเงินมากพอจะย้ายออกจากหมู่บ้าน อีกสักสองปีพ่อรับรองว่าจะพาเจ้าออกมาอยู่ด้านนอกนี้แน่นอน” ซ่งจิ้นเอ่ยสัญญา แน่นอนว่าเขาตั้งใจจริง เพราะเขาเองก็อึดอัดกับคนในหมู่บ้านอย่างมาก
ยิ่งนึกถึงการแต่งงานของบุตรสาว เขาก็ยิ่งกระตือรือร้นมากขึ้น เขาจะต้องมีสินสมรสดีดีไว้ให้บุตรสาวก่อนที่นางจะแต่งออกไปให้ได้! ยังไม่นับรวมสินสอดที่จะต้องเตรียมไว้สู่ขอสะใภ้ให้บุตรชายอีก
ทั้งสองอยู่ในความคิดของตนเองขณะเดินเข้าไปในโรงหมอ เป็นข้ารับใช้ออกมาต้อนรับเช่นเดิมและนำเข้าไปยังห้องของพี่ใหญ่
...
เมืองหลวงแคว้นต้าจงอยู่ท่อนกลางค่อนไปทางใต้เล็กน้อย มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเพื่อรองรับการขยายตัวของแคว้น เพราะความเจริญรุ่งเรือง เพราะมียอดทหารซึ่งชนะศึกไปทุกทิศ ทำให้ตอนนี้แคว้นต้าจงถือว่าเป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทวีปตอนใต้
ผู้ครองบัลลังค์ในตอนนี้คือฮ่องเต้ซึ่งได้บัลลังค์มาด้วยการแย่งชิงไม่ต่างจากแคว้นอื่นๆมากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นฮ่องเต้ที่ทรงมีเมตตาอยู่มาก บรรดาพี่น้องก็ให้ยศอ๋องและมอบเมืองให้ปกครอง แม้จะอยู่ชายแดนไปบ้างแต่ก็ถือว่าเมตตามากแล้ว
ดูอย่างท่านอ๋องซ่งผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ คนผู้นั้นมีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ซึ่งไม่ควรมีบทบาทในการแย่งชิงบัลลังค์ แต่เพราะเหตุผลหลายอย่าง ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจึงหวาดระแวงคนผู้นี้มากกว่าใคร
และ...พระองค์คิดไม่ผิด เพียงไม่นานข่าวการกบฎก็มาถึงหู ตระกูลซ่งตกเป็นกบฎถูกประหาร7ชั่วโคตร
ฮ่องเต้ผู้มีจิตใจเมตตาเงยพระพักตร์ขึ้นจากกองฎีกา สะบัดมือครั้งหนึ่งพระสนมที่นั่งฝนหมึกอยู่ด้านข้างก็วางแท่นหมึกลง และก้าวถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ
ผู้ที่เข้ามาใหม่มีร่างกายสูงใหญ่ดั่งชายชาติทหาร แต่กลับมีกลิ่นอายของบัณฑิต เมื่อฮ่องเต้ในฉลองพระองค์สีเหลืองทองพยักหน้าให้ ผู้มาใหม่ก็นั่งลงฝั่งตรงข้าม
"ผ่านมาเกือบปีแล้วนับแต่กบฎกลุ่มสุดท้ายถูกปราบลง พวกเราไม่คาดคิดเลยว่าจะมีทหารถูกเกณฑ์จากชาวชบ้าน และนำตัวไปซ่องสุมไว้แถบตะวันออกเฉียงเหนือมากปานนั้น... สำหรับชาวบ้านเหล่านั้น..."
ผู้เข้ามาใหม่คือหยางโหว ผู้นำการปราบกบฎในครั้งนี้ แต่ก่อนเขาไม่ค่อยมีบทบาทในราชสำนัก หากแต่ความจริงหน้าที่ของเขาคล้ายผู้ตรวจการและหน่วยเฉพาะกิจ ทำงานใต้ฮ่องเต้เท่านั้น
ในความหมายของเขาคือ ชาวบ้านเหล่านั้นไม่ได้รู้เลยว่าตนเองถูกเกณฑ์มาเป็นกบฎ แต่เพื่อความปลอดภัยของแว่นแคว้นเขาไม่อาจไว้ชีวิตทหารเหล่านั้นได้ ทหารทั้งหมดจำต้องถูกประหาร และ...เขาทำไปแล้ว
ปัญหาก็คือ พวกเขาจะแจ้งแก่ครอบครัวของทหารเหล่านั้นว่าอย่างไร? ในเมื่อตอนนี้บ้านเมืองเข้าสู่ช่วงสงบที่สุด ไม่มีแม้กระทั่งข่าวการรบรากัน นับแต่แคว้นต้าจงยอมแพ้ให้แก่แคว้นต้าถง
"ทางตะวันตกมีเผ่านอกด่านทำตัวเป็นโจรอยู่ ส่งทหารไปเพิ่มสิบหมื่น จากนั้นค่อยประกาศว่ามีสงครามและ...เจ้าน่าจะคิดเองได้"
"กระหม่อม...น้อมรับคำบัญชา"
ทางด้านหน้าด่านทางตะวันตก หัวหน้าเผ่ากำลังเลี้ยงฉลองการปล้นครั้งใหญ่ ลูกน้องกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น
"แย่แล้วหัวหน้า ทหารนับแสนเรียงหน้ากระดานมาบดขยี้เผ่าเราแล้วขอรับ"
"เป็นไปได้อย่างไร!! พวกเรามีกันแค่ไม่กี่ร้อยเท่านั้น..."