บทที่ 5 วาสนา(ด้ายแดง)ขนมเปี๊ยะ
หลังจากที่อนุซางถูกขับออกจากจวน บรรดาอนุทั้งหลายในจวนตระกูลฟางต่างก็ไม่กล้าเสนอหน้าหรือมีปากเสียงใดอีกแม้เพียงสักคน อีกทั้งยังสวมชุดสีอ่อนเพื่อไว้ทุกข์ให้อดีตฮูหยินอย่างว่าง่ายอีกด้วย
เช้านี้อากาศค่อนข้างดีไม่น้อย เนื่องจากอยู่ในช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิ ฟางเมี่ยวที่อาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น ยามนี้นางกำลังจ้องมองอาภรณ์ในหีบที่มีอยู่ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับลู่ชิง
"ลู่ชิง เจ้าจงไปหาช่างฝีมือดีมาหลายคนหน่อย ข้าจะตัดชุดใหม่ ชุดพวกนี้สีสันฉูดฉาดเกินไป ข้าไม่อยากใส่"
ลู่ชิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย
"เอ๋?ปกติคุณหนูชื่นชอบเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดนี่เจ้าคะ คุณหนูบอกว่ายิ่งสีชัดยิ่งดี คุณหนูจะได้เป็นที่จับตามองของเหล่าบุรุษ จะได้เด่นเกินหน้าเกินตาผู้อื่นอย่างไรเล่าเจ้าคะ!!"
ฟางเมี่ยวหลับตาลงพลางยกมือนวดขมับ นางอยากจะยกเท้าถีบกลางหน้าอกของสาวใช้บัดซบผู้นี้เสียจริง!!
แต่ช่างเถิด นางจะปรับเปลี่ยนตนเองใหม่ นางจะไม่เจ้าอารมณ์อีก
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงหันไปเอ่ยกับลู่ชิงอย่างมีความอดทน
"ข้าสั่งให้เจ้าไป เจ้าก็ไป ไม่ต้องมาย้อนถามข้า"
"เจ้าค่ะคุณหนู"
เมื่อลู่ชิงออกไปแล้ว ฟางเมี่ยวจึงปิดหีบใส่อาภรณ์เหล่านั้นอย่างไม่ใส่ใจ
ชาติก่อนนางชอบแต่งกายฉูดฉาด เครื่องประดับต่างประโคมใส่ตามคำแนะนำของอนุซาง จนกลายเป็นตัวตลกต่อคนที่ได้พบเห็น ผู้คนต่างมองนางอย่างดูถูกและสมเพช
แต่ยามนี้นางจะไม่ทำเช่นนั้นอีก นางจะไม่ทำให้ตนเองเป็นที่จับตามองอีก
สองสามวันนี้นางค่อนข้างวุ่นวายไม่น้อย โชคดีที่ได้แม่นมหลิ่ว แม่นมชราที่ติดตามท่านแม่มาจากจวนของท่านตา และเหล่าข้ารับใช้เดิมที่คอยดูแลกิจการของท่านแม่กลับมา นางจึงพอจะเข้าใจเรื่องงานกิจการของท่านแม่ได้มากขึ้น
แม่นมหลิ่วและผู้ดูแลร้านออกจะมีท่าทีเกรงใจนางไม่น้อย นางเองก็พอเข้าใจได้ เดิมทีนางเอาแต่ใจไม่สนสิ่งใด จู่ๆกลับอยากสืบทอดกิจการของท่านแม่ต่อก็เป็นเรื่องที่น่าแปลก
หลังจากตรวจสอบบัญชีต่างๆเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฟางเมี่ยวจึงหันไปเอ่ยกับแม่นมหลิ่ว
"นี่แม่นมหลิ่ว ได้ยินว่ายามนี้จวนท่านตาข้าถูกทิ้งร้างเอาไว้ ไม่มีคนดูแลหรือ?"
แม่นมหลิ่วที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยกับฟางเมี่ยวอย่างโศกเศร้า
"เจ้าค่ะคุณหนู เดิมทีฮูหยินก็เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวในตระกูล หลังจากนายท่านจากไปก็ไม่มีผู้ใดดูแลจวนอีกเลย"
ฟางเมี่ยวถอนหายใจคราหนึ่ง ตระกูลท่านแม่เป็นตระกูลคหบดี ได้ยินว่าท่านตาท่านยายเลี้ยงดูท่านแม่เป็นอย่างดี น่าเสียดายนักที่นางไม่เคยไปเยี่ยมเยือนท่านตายามที่ยังมีชีวิตอยู่เลย
"ข้าจะส่งคนไปดูแล ปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ก็เสียดาย ข้าจะเก็บไว้ไปนอนพักยามเบื่อก็แล้วกัน"
"คุณหนู!!"
"อย่ามาทำหน้าตาซาบซึ้งเช่นนี้เลยแม่นมหลิ่ว ข้าขนลุกยิ่งนัก"
"คุณหนูของบ่าวเติบโตขึ้นแล้ว ฮูหยินอยู่บนสวรรค์ย่อมต้องดีใจมากเป็นแน่เจ้าค่ะ"
ฟางเมี่ยวยิ้มเล็กน้อย เมื่อคิดถึงท่านแม่ขึ้นมาขอบตานางก็รู้สึกร้อนผ่าว ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ยามนี้นางกำลังครุ่นคิดเรื่องราวบางอย่าง
อีกไม่นานวังหลวงจะจัดงานเลี้ยงขึ้น งานเลี้ยงที่ว่านี้ก็คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้นางพาตนเองไปสู่ความตาย
แต่ทว่าก่อนที่จะมีงานเลี้ยง นางจำได้ว่าในชาติที่แล้ว อีกสองวันที่จะถึงนี้ เย่จิ้นหยางและหลี่เยี่ยนเฉิน ที่ยามนี้สู้รบทำสงครามกับแคว้นเหลียงไท่ กำลังจะนำทัพกลับมาพร้อมชัยชนะ
ก่อนที่กองทัพจะเดินทางถึงเมืองหลวง หลี่เยี่ยนเฉินได้ส่งจดหมายมาถึงนาง เนื้อหาในจดหมายบอกว่าให้นางไปรอรับเขาได้หรือไม่ เดิมทีนางไม่อยากจะไป แต่เพราะทนการรบเร้าของท่านพ่อไม่ไหว นางจึงไป และนั่นก็ทำให้นางได้เห็นเย่จิ้นหยางและตกหลุมรักเขาจนโงหัวไม่ขึ้น
ฟางเมี่ยวขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถามลู่ชิงที่กำลังนวดขาให้นางอยู่
"ลู่ชิง มีจดหมายส่งมาถึงข้าบ้างหรือไม่?"
"ไม่มีเลยเจ้าค่ะ"
"สักฉบับหนึ่งก็ไม่มีเลยหรือ?"
"ไม่มีเจ้าค่ะ"
ฟางเมี่ยวยิ่งแปลกใจมากขึ้นไปอีก เหตุใดในชาตินี้หลี่เยี่ยนเฉินจึงไม่ส่งจดหมายมาหานางเล่า
ไม่เป็นอันใด เขาไม่เขียนนางก็จะไปรอรับเขาเอง
ชาตินี้นางจะไม่ทำให้เขาเสียใจอีกเป็นอันขาด นางจะไม่ทำให้เขารู้สึกว่าตนไร้ค่าเช่นยามนั้นอีกแล้ว
รอข้าก่อนนะหลี่เยี่ยนเฉิน ข้ากำลังจะไปรอรับเจ้ากลับเมืองหลวงแล้ว!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงเลือกสวมใส่ชุดสีชมพูปักลายดอกกุ้ยฮวา ใบหน้าไม่ได้ประทินโฉมมากนัก ยามนี้นางจึงได้รู้ว่า ใบหน้ายามที่ไม่ได้แต่งแต้มเกินวัยอันควรเช่นกาลก่อนนั้นช่างดูงดงามอ่อนเยาว์ไม่น้อย
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยามที่นางเดินออกมาจากเรือนก็พบกับท่านพ่อที่กำลังเดินมาหานางพอดี
"ท่านพ่อ"
"เอ่อ เมี่ยวเอ๋อร์ คือว่า"
เสนาบดีฟางเหลียนมีท่าทีกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย เขาไม่อยากบีบบังคับบุตรสาวตน เดิมทีเขาอยากจะให้ฟางเมี่ยวไปรอรับหลี่เยี่ยนเฉิน ต้าอู๋เปิดกว้างเรื่องบุรุษและสตรี จึงไม่ได้มีกฎระเบียบใดมากนัก ฟางเมี่ยวเพียงไปยืนส่งกำลังใจให้หลี่เยี่ยนเฉิน เขาจะได้ดีใจที่เห็นว่านางมารอต้อนรับ แต่เขาที่เป็นบิดารู้ดีว่าฟางเมี่ยวไม่ได้คิดอันใดเกินเลยกับหลี่เยี่ยนเฉินเลยแม้แต่น้อย
แม้เด็กสองคนนี้จะเติบโตมาด้วยกันเพราะสองตระกูลสนิทสนมกัน แต่ทว่าคล้ายมีเพียงหลี่เยี่ยนเฉินมีใจชอบพอในตัวฟางเมี่ยวฝ่ายเดียว
"ท่านพ่อ มีอันใดหรือเจ้าคะ?"
ฟางเมี่ยวที่เห็นท่าทีคล้ายจะเอ่ยสิ่งใดก็ไม่เอ่ยของบิดา นางก็พอจะมองออก เพียงแต่ไม่ได้ถามเอ่ยสิ่งใดออกไปเท่านั้น
"เมี่ยวเอ๋อร์ วันนี้อาเยี่ยนจะกลับเมืองหลวงแล้ว พ่อว่า..."
"ลูกกำลังจะไปรอรับเขาพอดีเลยเจ้าค่ะ"
เสนาบดีฟางเหลียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตาโตด้วยความตกใจเป็นอย่างยิ่ง
เขาหูฝาดไปหรือไม่ เมี่ยวเอ๋อร์จะไปรอรับอาเยี่ยน!!!
“เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้ารู้ได้เช่นไรว่าหลี่เยี่ยนเฉินจะกลับมาวันนี้”
ฟางเมี่ยวชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วจึงเอ่ยตอบ
“ได้ยินบ่าวไพร่ในจวนพูดกันน่ะเจ้าค่ะ ว่ากองทัพของแคว้นเราจะกลับมาแล้ว ท่านพ่อ ผู้คนในเมืองหลวงก็เล่าลือกันปากต่อปากว่าทหารของเราได้รับชัยชนะ ข่าวดีเช่นนี้ ลูกรู้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดนี่เจ้าคะ ลูกไปก่อนนะเจ้าคะท่านพ่อ"
ฟางเมี่ยวยิ้มตาหยี ก่อนจะเดินออกจากจวนไปพร้อมกับลู่ชิง เสนาบดีฟางเหลียนมองตามบุตรสาวตนคราหนึ่ง ก่อนจะเดินกลับเรือนไป
นางขึ้นไปนั่งบนรถม้า เป้าหมายคือโรงน้ำชาของท่านแม่ที่เปิดอยู่ใจกลางเมืองหลวง ยามนี้นางได้ขอให้ท่านพ่อช่วยจัดการไล่ผู้ดูแลร้านที่เป็นคนของอนุซางออกไปจนหมดแล้ว จึงมีเพียงคนเก่าแก่ของท่านแม่เท่านั้นที่ดูแลอยู่
"คารวะคุณหนู"
ฟางเมี่ยวพยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนที่สายตาของนางจะเหลือบไปเห็นเด็กชายผู้หนึ่ง เสื้อผ้าที่สวมใส่ขาดวิ่น ในมือจ้องมองไปยังด้านคราหนึ่งด้วยแววตาที่เป็นประกาย เมื่อฟางเมี่ยวมองตามสายตาของเด็กชายผู้นั้นไปก็พบว่าเขากำลังมองขนมที่อยู่ในจานของแขกที่มาดื่มน้ำชา
ผู้ดูแลร้านเกรงว่านายของตนจะมีโทสะ เพราะชื่อเสียงของคุณหนูนั้นเขาเองก็ย่อมรู้ดี นางทั้งเจ้าอารมณ์และรังเกลียดคนที่ฐานะต่ำต้อยกว่า
ฟางเมี่ยวมองเด็กชายผู้นั้นก่อนจะครุ่นคิดถึงอดีตในชาติก่อน
นางเคยพบเด็กผู้นี้ เขามักจะมาขอขนมที่โรงน้ำชาของนางประจำ แต่นางไล่เขาไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าแต่งกายสกปรกเช่นนี้จะทำให้โรงน้ำชาของนางเสื่อมเสีย
“คุณหนู บ่าวจะไล่เขาไปขอรับ”
“ไม่ต้อง มีสิ่งใดก็ไปทำเถิด”
“ขอรับ”
ผู้ดูแลร้านมีท่าทีงงงันไม่น้อย ฟางเมี่ยวไม่ได้ใส่ใจ เพียงสั่งให้ลู่ชิงไปนำขนมเปี้ยะใส่กล่องมาหลายชิ้นหน่อย ไม่นานลู่ชิงก็นำกล่องขนมมามอบให้นาง ฟางเมี่ยวเดินตรงไปที่เด็กชายผู้นั้น ก่อนจะยื่นขนมให้เขา
“ข้าให้เจ้า เห็นว่าเจ้าชอบมายืนดู”
เด็กชายผู้นั้นมีท่าทีหวาดกลัวฟางเมี่ยวไม่น้อย ฟางเมี่ยวถอนหายใจออกมาคราหนึ่งก่อนจะยิ้ม
“ไม่ต้องกลัวข้า ข้าไม่ไล่เจ้าแล้ว หากเจ้าอยากกินอีกก็มาได้เสมอ ข้าจะบอกผู้ดูแลร้านเอาไว้”
เด็กชายมีท่าทีตื่นตระหนกก่อนจะพยักหน้า ฟางเมี่ยวยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะครุ่น
ขอบคุณความตายในครั้งนั้น มันทำให้นางได้มองเห็นหลายๆอย่าง เด็กชายผู้นี้หากเลือกได้เขาคงไม่อยากเกิดมาในสภาพเช่นนี้ แต่นางมีโอกาสได้กลับมาเป็นครั้งที่สอง นางจึงเข้าใจว่าการให้ความหวังเพียงน้อยนิดกับคนที่ไร้หนทางย่อมเป็นเรื่องที่ดี
“ขอบคุณพี่สาว”
“อ้อ ข้าขอถามเจ้าหน่อย เจ้านำขนมเหล่านี้ไปกินคนเดียวหรือ?”
“เอ่อ ไม่ขอรับ ที่บ้านข้ามีท่านแม่ที่ป่วย กับน้องสาวที่พิการ ข้าเอ่อ ไม่มีเงินซื้อของดีดีให้พวกเขา”
ฟางเมี่ยวจ้องมองเด็กชายผู้นั้น ก่อนจะล้วงเข้าไปในแขนเสื้อและหยิบตั๋วเงินห้าสิบตำลึงส่งให้เด็กชายผู้นั้น เด็กน้อยตกใจรีบโบกมือเป็นพัลวัน
“รับไว้ แล้วพาแม่เจ้าไปหาท่านหมอ จำไว้ว่า หากเจ้าลำบากให้มาหาข้าที่นี่ ข้าจะแจ้งผู้ดูแลร้านเอาไว้ หากเจ้ามาเขาจะไปบอกข้า ข้าช่วยเหลือเจ้าเอง”
“พี่สาวท่านช่างใจดียิ่งนัก”
“รีบเอาขนมไปให้ท่านแม่กับน้องสาวเจ้าเถิด ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ”
“ไปแล้วขอรับ ข้าจะพาท่านแม่ไปหาหมอ แล้วจะมาบอกพี่สาว”
“อืม”
ฟางเมี่ยวมองตามก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย ความรู้สึกอิ่มเอมและสุขใจมันดีเช่นนี้เองหรือ
ฟางเมี่ยวก้าวเดินเข้ามาในร้าน หลังจากกำชับเรื่องของเด็กชายผู้นั้นกับผู้ดูแลร้านแล้ว นางจึงเอ่ย
“ทำงานกันไปเถิดไม่ต้องสนใจข้า เพียงนำชาปี้หลัวชุนกับขนมเปี๊ยะไปให้ข้าตรงห้องชั้นบนที่อยู่ติดริมหน้าต่างก็พอ"
"ขอรับ"
ผู้ดูแลร้านพยักหน้ารับอย่างนอบน้อม ฟางเมี่ยวไม่ได้สนใจสิ่งใดอีก นางเดินมุ่งหน้าขึ้นไปที่ชั้นสอง ตรงไปยังห้องใหญ่สุดตรงริมหน้าต่าง ห้องนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบของต้าอู๋ได้อย่างถนัดตา
ไม่นานชาและขนมก็มาถึง ฟางเมี่ยวยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มอย่างช้าๆ ริมฝีปากบางสวยยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะหยิบขนมเปี๊ยะขึ้นมากัดกินอย่างสบายอารมณ์ พลางกวาดสายตามองไปโดยรอบ ก่อนจะได้ยินเสียงผู้คนดังขึ้น นางจึงชะโงกหน้าไปมองที่นอกหน้าต่าง เห็นเหล่าสตรีน้อยหลายนางกำลังขว้างปาดอกไม้โยนไปที่เหล่าขบวนทหารอย่างมีความสุข
ฟางเมี่ยววางถ้วยชาในมือลง ก่อนจะเลื่อนสายตามองไปที่ขบวนทหารที่กำลังเคลื่อนขบวนผ่านโรงน้ำชาของนางไป ดวงตาคู่สวยจับจ้องไปที่เย่จิ้นหยางที่เป็นผู้นำขบวน แต่นางไม่ได้ใส่ใจเขาเลยแม้แต่น้อย ยามนี้นางกำลังจ้องมองไปที่บุรุษผู้หนึ่งที่ควบม้าตามหลังเย่จิ้นหยาง
หลี่เยี่ยนเฉิน!!!
เมื่อได้จ้องมองเขาอย่างล้ำลึก นางจึงได้รู้ว่า เขาช่างหล่อเหลายิ่งนัก ยามนี้เขามีอายุได้ยี่สิบปีแล้ว ดูองอาจและน่ามองไม่น้อย น่ามองเสียจนนางละสายตาไม่ได้
เขาหล่อเหลาถึงเพียงนี้ แต่นางก็ยังตาบอดไปชอบเย่จิ้นหยาง!!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงจ้องมองหลี่เยี่ยนเฉินอย่างอารมณ์ดี
ธรรมเนียมของต้าอู๋ค่อนข้างเปิดกว้าง หากสตรีชื่นชอบบุรุษ ย่อมสามารถโยนดอกไม้หรือถุงหอมให้บุรุษที่ตนชื่นชอบได้ ส่วนบุรุษก็สามารถมอบดอกไม้หรือซื้อเครื่องประดับแทนใจให้แก่สตรีที่ชอบและจะแต่งงานด้วยก็ไม่ผิดเช่นกัน
ฟางเมี่ยวเกรงว่าขบวนจะเคลื่อนไปจนนางไม่ทันได้ทำการสำคัญ นางจึงหันมองซ้ายมองขวาก่อนจะสบถออกมา
บัดซบ!!ไม่มีดอกไม้สักดอกเลย
ทำเช่นไรดี?
นางครุ่นคิดอย่างลนลานก่อนที่สายตาคู่สวยจะไปหยุดอยู่ที่ขนมเปี๊ยะที่เหลืออีกหนึ่งชิ้นสุดท้ายบนจาน
ฉับพลันความเสียดายก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง
ขนมเปี๊ยะนี่นางชอบมาก หากโยนให้เขาไปนางคงเสียดายแย่
เช่นนั้นเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน!!!
ฟางเมี่ยวหยิบขนมเปี๊ยะมากัดกินครึ่งชิ้น ส่วนอีกครึ่งชิ้นที่เหลือ นางโยนออกไปให้หลี่เยี่ยนเฉิน
โอววว!!วาสนาด้ายแดงชัดๆ
ขนมเปี๊ยะครึ่งชิ้นลอยละลิ่วไปโดนใบหน้าหล่อเหลาของหลี่เยี่ยนเฉินเข้าอย่างจัง เขาคว้าจับมันเอาไว้ได้ ก่อนจะสบถในใจ
บัดซบ!ผู้ใดขว้างของเหลือเดนเช่นนี้มาให้ข้ากัน จะให้ข้ากินของเหลือหรือไร!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงเงยหน้าไปมองตามทิศทางที่ขนมเปี๊ยะครึ่งซีกลอยมา ก่อนจะพบกับสตรีนางนั้น สตรีที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี สตรีที่เขาเคยรักนางอย่างสุดหัวใจ
ฟางเมี่ยว!!!
ฟางเมี่ยวยักคิ้วให้หลี่เยี่ยนเฉิน ก่อนจะส่งยิ้มตาหยีมองเขา หลี่เยี่ยนเฉินที่ได้เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกขนลุกขนชันไปทั้งกาย
ให้ตายเถิด!!! ตายไปแล้วก็ยังไม่ไปผุดไปเกิดอีก มาตามหลอกหลอนเขาอยู่ได้
เอ๊ะ!!ช้าก่อนนะ คล้ายว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง
หลี่เยี่ยนเฉินมองไปที่ฟางเมี่ยวอีกครา ใจของเขาพลันเต้นถี่ระรัว เรื่องราวเก่าก่อนพลันปรากฏขึ้นในหัว
เขาย้อนเวลากลับมาเกิดใหม่ในช่วงที่ตนยังเป็นเพียงหัวหน้าทหาร อีกไม่นานก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นรองแม่ทัพ มีความดีความชอบที่ร่วมรบชนะกบฏ
เช่นนั้นยามนี้ฟางเมี่ยวย่อมยังไม่ตาย!!!
สตรีใจดำและเสแสร้งตลบตะแลงผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ในชาตินี้!!!