ตอนที่ 1

1070 Words
       มาเลซาสโซ ฮอสพิทอล (Malesasso Hospital) สถานพยาบาลเอกชนที่มีความทันสมัย พรั่งพร้อมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์อันดับต้นๆ ของโลก อภิมหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งขึ้นมาคือ มาริโอ มาเลซาสโซ ก่อนจะส่งมอบสู่อุ้งมือของลูกชายคนที่สองอย่าง เมสัน  มาเลซาสโซ ที่เรียนจบทางด้านแพทย์สูตินรีเวชมาดูแลมันต่อจากตนเอง            เมสันทั้งบริหารมาเลซาสโซ ฮอสพิทอล และออกตรวจคนไข้ในเวลาเดียวกัน เขาทำทุกอย่างได้ดีเยี่ยมไร้ที่ติ แม้จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาหมดแรงล้มลง เพราะคนรักที่กำลังจะแต่งงานด้วยจบชีวิตจากไปกะทันหัน แต่ตอนนี้เขาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง เขาเข้มแข็งมากขึ้น แม้ว่าจะยังอาลัยรักต่อคนรักที่จากไปอยู่ก็ตาม            ชายหนุ่มถอนหายใจแผ่วเบา เอนกายพิงพนักเก้าอี้ในห้องตรวจ ดวงตาคมกริบจ้องมองรูปถ่ายของญาญ่าที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานเสมออย่างคิดถึง เหตุการณ์ในวันนั้นคือฝันร้าย มันคือเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้ ภาพร่างชุ่มไปด้วยหยาดเลือดแดงฉานของคนรักยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำ เขาไม่มีทางลืมมันได้ ญาญ่าขาดใจตายอยู่ในอ้อมกอดของเขาในห้องฉุกเฉิน            อดีตไม่สามารถหวนคืนมาได้ ญาญ่าได้จากไปแล้วตลอดกาล แต่กระนั้นหล่อนก็ไม่เคยหายไปจากความทรงจำของเขา            “ญาญ่า...ผมคิดถึงคุณมากนะ”            เมสันถอนหายใจออกมา ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินอ้อมโต๊ะทำงานตรงไปยังประตูห้อง            “คุณหมอจะกลับแล้วเหรอคะ” พยาบาลหน้าห้องตรวจเอ่ยถาม            เมสันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง ก่อนจะตอบ “ครับ คงไม่มีคนไข้แล้วล่ะ”            เขาก้าวยาวๆ เดินออกไปจากห้องตรวจ มุ่งหน้าไปยังลานจอดรถด้วยท่าทางเหงาหงอย เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง เขาหยุดเดิน แล้วหมุนตัวกลับไปมอง            “กรแก้ว...” เขาระบายยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นเพื่อนสนิทปรากฏตัวขึ้นไม่ไกลนัก            กรแก้ว อัครวงศ์ เป็นเพื่อนหมอร่วมคลาส รุ่นเดียวกับเขา อายุอานามของหล่อนก็ขึ้นเลขสามมาสักพักแล้ว แต่หญิงสาวก็ยังไม่ยอมมีคนรักเสียที เขาถามทีไร หล่อนก็บอกว่ายังไม่เจอคนถูกใจ            “คิดถึงไมค์นะคะ” กรแก้วเดินเข้ามาสวมกอด และจูบแก้มของเขาเหมือนกับที่เคยทำมาตั้งแต่อดีต มันเป็นธรรมเนียมฝรั่งที่เด็กนักเรียนนอกอย่างพวกเขารู้ดีว่ามันไม่มีอะไรเกินกว่าคำทักทาย “คิดถึงเช่นกันครับ” กรแก้วระบายยิ้มกว้าง ดวงตาจ้องมองเมสันหวานฉ่ำ “ก็ต้องคิดถึงสิคะ เราไม่ได้เจอกันมาจะปีหนึ่งแล้วนี่” “นั่นสิ ว่าแต่ที่โรงพยาบาลที่ย้ายไปทำเป็นยังไงบ้าง งานหนักหรือเปล่า” คนถูกถามถอนหายใจออกมา ก่อนจะฝืนยิ้ม “โรงพยาบาลรัฐในประเทศไทยมีงานไม่หนักด้วยเหรอคะ แต่กรก็ทนค่ะ เพราะกรอยากมียศราชการติดบ่า” “กรทำได้อยู่แล้ว ผมเชื่อ” “ขอบคุณค่ะ” กรแก้วยังคงยิ้มหวานฉ่ำ ขณะจ้องมองเมสันอย่างพิจารณา “ไม่ได้เจอกันนาน คุณหล่อขึ้นนะคะไมค์” เมสันหัวเราะขบขันก่อนจะส่ายหน้าไปมา “แกล้งชมหรือเปล่าครับ ผมงานยุ่งมาก หน้าก็ออกจะโทรมช่วงนี้ ไม่น่าจะหล่อมากขึ้นได้ ถ้าจะหล่อก็คงหล่อระดับเดิมนั่นแหละ” กรแก้วหัวเราะคิกคัก “ค่า พ่อเพื่อนสุดหล่อ อ้อ ว่าแต่มีแฟนหรือยังคะเนี่ย อัปเดตให้กรฟังบ้างสิคะ” เมสันส่ายหน้าพรืด “ผมทำงานยุ่งจะตาย จะเอาเวลาไหนไปหาล่ะครับ” กรแก้วดีดนิ้วเสียงดัง ก่อนจะหรี่ตาแคบทวงสัญญากับเมสัน “จำได้ไหมคะคำสัญญาของเราเมื่อสิบกว่าปีก่อน” คิ้วเข้มเลิกสูงเล็กน้อย พยายามคิดแต่คิดไม่ออก “ขอโทษนะกร ผมนึกไม่ออก” “แหม ก็ที่เราเคยพูดกันเล่นๆ ว่า ถ้าอายุสี่สิบเมื่อไหร่ แล้วพวกเรายังไม่ได้แต่งงานกับใครไปก่อน เราสองคนจะแต่งงานกันเอง” เมสันได้ยินก็หัวเราะก๊าก “นี่คุณคิดจริงจังอยู่อีกเหรอกร ผมว่าเราแค่พูดกันเล่นๆ นะนั่น” “แหม กรคิดจริงนะคะ” เมสันส่ายหน้าน้อยๆ หัวเราะไม่หยุด ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “แล้วนี่กินข้าวเย็นมาหรือยังครับ” “ยังเลยค่ะ นี่ว่ากำลังจะหาเจ้ามืออยู่พอดี แต่ว่าจะมีคนใจดีแถวนี้เลี้ยงไหมนะ” หล่อนยิ้มเล็กยิ้มน้อยให้เมสัน ชายหนุ่มอมยิ้ม มองเพื่อนสนิทของตัวเอง “งั้นก็ขับรถตามมาเลยครับ เดี๋ยวจะพาไปกินร้านเด็ด รับรองอร่อยจนกรต้องขับรถจากตราดมากรุงเทพฯ บ่อยๆ แน่นอน” “จริงเหรอคะ” “จริงสิครับ งั้นเจอกันที่ร้านนะ” เมสันกำลังจะเดินไปขึ้นรถ แต่กรแก้วคว้าท่อนแขนเอาไว้ และฉีกยิ้ม “กรจอดรถไว้ที่นี่ดีกว่าค่ะ คือกรเริ่มลืมการขับรถในกรุงเทพฯ ไปแล้วน่ะค่ะ” เมสันขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะคลายลง “งั้นก็ได้ครับ ตามสะดวกคุณเลยกร” “คุณยังใจดีเสมอเลยนะคะไมค์” แล้วหญิงสาวก็เขย่งปลายเท้าขึ้นจูบแก้มของเมสัน ชายหนุ่มอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะถอยออกห่าง “งั้นเราไปกันเถอะครับ” “ค่ะ” เมสันเดินไปเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับให้กับกรแก้ว หญิงสาวกล่าวขอบคุณก่อนจะก้าวขึ้นไป ส่วนเขาพอปิดประตูให้แล้วก็เดินอ้อมตัวรถกลับมาที่ฝั่งคนขับเช่นเดิม “ดีใจจังค่ะที่ได้คุยกับไมค์อีกครั้ง” เมื่อรถแล่นออกมาจากโรงพยาบาลหรูแล้ว หญิงสาวก็เริ่มต้นสนทนาอีกครั้ง “อยู่นู่นเหงาล่ะสิ” “เหงามากที่สุดเลยล่ะค่ะ” “แล้วทำไมไม่ลองย้ายกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ ดูล่ะครับ” กรแก้วส่ายหน้าน้อยๆ “ตอนนี้ยังย้ายไม่ได้หรอกค่ะ น่าจะต้องรออีกปีกว่าๆ” “อดทนไว้ ยังไงกรก็ทำได้อยู่แล้ว” “ขอบคุณค่ะไมค์”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD