“พอแล้วน่า เอะอะก็ทุบ เอะอะก็ตี อยากเป็นม่ายไวๆ หรือยังไงนะ”
สุ้มเสียงเขาไม่มีเลยวี่แววความโกรธกรุ่น จนวิรามรต้องเงยมองหน้าอุดมหนวดเคราที่เล็มไว้อย่างเรียบร้อยอย่างอดไม่ได้ ด้วยความไม่แน่ใจ
แล้วก็เลยถูกตรึงให้จ้องสบตาคมเข้มกว่า ที่มองลงมา
ชั่วขณะหนึ่ง หญิงสาวผู้หยิ่งยโสเหมือนถูกดึงเข้าไปในโลกใบใหม่ โลกที่ไม่คุ้นเคย โลกที่เต็มไปด้วยมนต์ขลัง
แต่ไม่กี่อึดใจ สติที่ทำท่าจะลอยห่างตัวก็กลับคืนมา
“นี่ ปล่อยมือฉันเดี๋ยวนะ”
พูดออกไปแล้วก็นึกโมโหตัวเอง ที่สุ้มเสียงช่างไม่เด็ดขาดเอาเสียเลย
แล้วความรู้สึกบ้าๆ ที่กำลังเกิดขึ้นมาจากไหนกัน... เจ้าความรู้สึกที่ว่าร่างสูงกำยำที่ยืนเกือบชิด ช่างน่าเอนกายซบอิง
ปลายนิ้วหรือก็คันยิบๆ ด้วยความอยากลูบไล้แผ่นอกกว้างตึงด้วยกล้ามแข็งที่ปกคลุมด้วยผิวเรียบเนียนสีน้ำตาลจาง
จมูกเจ้ากรรมก็อยากสูดดมผิวกายค่อนข้างขาว เพื่อให้แน่ใจว่ากลิ่นที่ลอยเข้าจมูก คือกลิ่นสะอาดชวนดม
ขณะใจสาวว้าวุ่น ดอนค่อยๆปล่อยมือข้างหนึ่งจากข้อมือเล็ก เพื่อใช้แขนโอบเอวคอดหยุ่น รั้งร่างหอมกรุ่นเข้าชิดยิ่งขึ้น
วิรามรหลุดจากห้วงคำนึงที่เกิดจากความรู้สึกไม่คุ้นเคย ที่เจ้าตัวไม่กล้าคิดหาคำตอบ เพราะสำนึกรับรู้ถึงตัวตนความเป็นชายของชายหนุ่ม ทันทีที่สองร่างแนบชิดกัน
“ปล่อยฉัน”
“ปล่อยก็ได้ แต่ก่อนปล่อยขอชื่นใจก่อนได้มั้ย จูบเดียวไม่มากกว่านั้น”
“แกนี่มัน...”
“อ๊ะๆ เรียกผัวขึ้นไอ้ขึ้นแกเดี๋ยวก็เอาตรงนี้ซะเลย”
“บ้า!”
พยายามจะสะบัดตัวให้พ้นจากวงแขนรัดรอบ แต่ครั้งนี้ไม่ง่ายที่จะพาตัวเองออกพ้นพันธนาการ
“คำก็บ้าสองคำก็บ้า”
“ก็แกน่ะมันบ้าจริงๆ ไม่งั้นคงไม่ทำอะไรบ้าๆ”
“ทำอะไรเหรอที่ว่าทำบ้าๆ” ดอนถามเสียงซื่อ ถามแล้วก็ตอบเอง “หรือที่ผมใช้ปากจนคุณหนูวิทนเสียวไม่ไหวเสร็จคาปากผม”
“นี่! หยุดพูดบ้าๆ เสียที”
วิรามรแหว หน้าแดงก่ำ ความอับอายมีมากพอๆ กับความโมโห หรืออาจจะมากกว่า
“ไม่พูดก็ได้ แต่ขอทำได้มั้ย”
“นายดอน”
“ครับ”
“ฮื้อ! ฉันบอกให้ปล่อย ไม่ได้...”
จูบของชายหนุ่มทำให้วิรามรลืมว่าจะพูดอะไร
ยิ่งกว่านั้น ลืมว่าตนอยู่ที่ไหน
พูดจริงๆ ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่เคยถูกจูบมาก่อนจะมาเจอผู้ชายที่พรากความสาวบริสุทธิ์ไปจากเธอคนนี้
แต่ผู้ชายสองสามคนที่เคยคบหา และยอมให้เข้าถึงเนื้อถึงตัว ซึ่งได้แค่กอดกับจูบ ไม่เคยมีคนไหนทำให้เธอสั่นสะเทือนถึงแก่นอารมณ์ความเป็นหญิงได้เท่าผู้ชายคนนี้ ที่ไม่มีอะไรคู่ควรกับเธอเลยไม่ว่าฐานะ การศึกษา ศักดิ์ตระกูล
แต่ทุกครั้งที่เขาเข้าถึงตัว แม้ใจจะต้านทานแต่ร่างกายกลับสมยอม
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาบุกเข้าหา เขาไม่ได้ขืนใจเธอ แต่ใช้กลเม็ดชั้นเชิงในการโอ้โลมที่ช่ำชองพิชิต จนร่างกายเธอกลายเป็นเครื่องเล่นสุดแท้แต่เขาจะชักพา
ดอนถอนจูบ
“บอกสิว่าคุณวิต้องการผม”
เขากระซิบ สองมือประคองใบหน้านวลงามเพื่อสบตาคมโตที่ดูสะลึมสะลือ เพราะพิษสงจูบเร่าร้อนของเขา
วิรามรกระพริบตา วูบหนึ่งที่คิดว่าเห็นแววผยองบอกถึงการเป็นผู้ชนะเปล่งประกายวาบขึ้นในดวงตาคม ช่วยเธอหลุดพ้นจากมนตร์จุมพิต
“ไม่”
ดอนปล่อยมือ ถอยห่างร่างนุ่มเนียน
วิรามรมีทั้งความโล่งใจ และเสียดาย
แต่ที่มาแรง ทันทีที่ร่างสูงหันหลังผละจากไปดื้อๆ คือความรู้สึกว่างโหวง เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นก่อน
“น้องริน”
รินรดาหันตามเสียงเรียก
“พี่ตวน... สวัสดีค่ะ มาทำบุญเหมือนกันหรือคะ”
“มาทำบุญวันเกิดตามธรรมเนียมน่ะครับ”
“รินไม่รู้เลยว่าวันนี้วันเกิดพี่ตวน แฮปปี้ เบิร์ดเดย์ค่ะ ขอให้มีความสุขมากๆ นะคะ”
รินรดายิ้มน่ารักให้ชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับญาติสาวผู้พี่ แต่แล้วยิ้มของสาวน้อยก็สะดุดกึก เมื่อสายตาแลเลยไปสบเข้ากับแววตาเข้มคมคู่หนึ่ง
“ขอบคุณครับ”
ทวนเทพตอบยิ้มๆ มองตามสายตาหญิงสาวคราวน้องแล้วก็รีบแนะนำ
“พี่ชายพี่เองครับ พี่ตุลย์ ตุลยธร”
บอกหญิงสาวแล้วจึงพูดกับพี่ชาย
“พี่ตุลย์นี่น้องริน... รินรดา เป็นเพื่อนรักกับยายส้มจี๊ด” เขาหมายถึงญาติผู้น้อง ลูกของน้าสาว
“สวัสดีค่ะ”
รินรดายกมือไหว้อย่างเด็กสาวที่ได้รับการอบรมมาดี
แต่ชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว หน้าคมสัน กลับเอาแต่จ้องใบหน้าสวยหวาน และเมื่อเปิดปากหยักได้รูป แทนที่จะกล่าวทักทายตอบ กลับตั้งคำถามน้องชายทั้งที่ตาคมปลาบยังมองหน้านวลผ่องของสาวน้อยไม่วางตา จนคนถูกมองเริ่มรู้สึกมือแขนเกะกะ
“แฟนนายเหรอ”
“ก็...”
ทวนเทพอึกอัก มองหน้าเนียนใสปรากฏรอยระเรื่อด้วยความเขินอายอย่างเห็นใจ
“คงต้องถามน้องรินละครับ ว่าจะยอมรับผมเป็นแฟนหรือเปล่า” เขาตอบในที่สุด
ชายหนุ่มไม่นึกว่าพี่ชายจะยังไม่ลดละที่จะให้ได้คำตอบอย่างกระจ่าง ด้วยการถามหญิงสาวตรงๆ ขณะสายตาคมก็ยังมองหน้าเนียนละเอียดผิวใสดุจทารกเขม็ง
“ว่าไงครับ คุณรินรดา รับนายตวนเป็นแฟนมั้ย”
จากที่เขินสายตาจับจ้องชายหนุ่มอายุมากกว่าหลายๆปี ก็เปลี่ยนเป็นฉุน กังวานน้ำเสียงที่ตอบไปจึงห้วนผิดวิสัยอ่อนหวานตามปกติ