“ทำไมวันนี้คุณถึงไม่ล่ามโซ่ฉันไว้ล่ะ ไม่กลัวว่าฉันจะหนีเหรอ”
รินนาราเอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื่อวันนี้เขาปลดพันธนาการออกจากร่างกายของเธอจนหมดสิ้น ปล่อยให้เธอสามารถเดินไปไหนมาไหนภายในห้องได้ตามใจ
“กล้าหนีก็ลองดูสิ ผมไม่ใช่ผู้ชายใจดี และอ่อนโยนหรอกนะ”
เขาเอ่ยขณะที่กำลังยัดข้าวของใส่กระเป๋าเป้ลายพรางอย่างเร่งรีบ ไม่ได้สนใจที่จะหันมามองเธอ
‘แล้วไอ้ที่เป็นเมื่อคืนมันไม่เรียกว่าอ่อนโยนสินะ’
คำตอบของเขาทำให้รินนาราอดไม่ได้ที่จะต่อว่าคนตัวใหญ่มาดขรึม ด้วยความหมั่นไส้น้อยๆ
“วันนี้ผมต้องออกไปทำงาน เดี๋ยวจะเอาคนมาอยู่เป็นเพื่อน แล้วอย่าคิดหนีเชียว เพราะถึงจะหนียังไงก็หนีไม่พ้นอยู่ดี”
เขาหันมาบอกอีกครั้ง ก่อนที่จะก้าวยาวๆ ลงจากบันไดไป ปล่อยให้ดวงตาคู่สวยมองตามด้วยความสับสน ปนดีใจ เพราะวันนี้เป็นวันที่เธอจะสามารถเดินเหินไปไหนมาไหนได้สะดวกตามใจ
หลังจากมั่นใจว่าเขาออกจากกระท่อมไปแล้ว รินนาราก็เดินลงบันไดมาชั้นล่างถือวิสาสะสำรวจกระท่อมหลังเล็กที่ทำจากไม้สักทั้งหลัง ซึ่งมีห้องรับแขก ห้องครัว ห้องเก็บของ จะเรียกว่ากระท่อมก็ไม่ถูกเพราะบ้านทั้งหลังถูกจัดอย่างเป็นสัดส่วน และออกแบบอย่างสวยงาม น่าจะเรียกว่าบ้านพักตักอากาศน่าจะเหมาะกว่า จากนั้นเธอก็เดินออกมาข้างนอกเพื่อสำรวจรอบๆ บ้านต่ออีกพักใหญ่ ก็มีหญิงวัยประมาณยี่สิบต้นๆนางหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมเอ่ยแนะนำตัว
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อรำไพ เป็นคนงานในไร่ เห็นนายสิงห์บอกว่าเพื่อนที่กรุงเทพฯ อยากลองมาใช้ชีวิตอยู่กลางป่า เลยอยากให้รำไพมาอยู่เป็นเพื่อน แต่ไม่คิดว่าจะเป็นคุณผู้หญิงที่สาวและสวยขนาดนี้”
รำไพแนะนำตัว พลางถือวิสาสะกวาดสายตามองไปทั่วร่างงามในชุดคลุมยาวลายดอกไม้สีสดใสด้วยสายตาชื่นชมอย่างไม่คิดปิดบัง จากนั้นก็มาหยุดยิ้มเมื่อสบตากับเธอ
“ค่ะ ฉันชื่อรินนารา เรียกฉันว่ารินเฉยๆ ก็ได้”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแสดงความเป็นมิตรกับตน รินนาราก็ส่งยิ้มให้พลางพูดคุยอย่างเป็นกันเอง
“เรียกคุณรินดีกว่าค่ะ เรียกชื่อเล่นเฉยๆ จะเป็นการทำตัวเสมอนาย เพราะเพื่อนนายสิงห์ก็เหมือนเจ้านายอีกคนนั่นแหละค่ะ”
“งั้นก็เอาที่รำไพสะดวกเลย”
“ว่าแต่คุณรินคิดยังไงถึงจะมาลองใช้ชีวิตอยู่กลางป่าละคะ ผู้หญิงตัวเล็กๆ สวยๆ แบบนี้ไม่กลัวเหรอที่ต้องมาอยู่ในป่าในเขาแบบนี้”
รำไพเอียงคอถามด้วยความสงสัย เพราะโดยปกติแล้วคงไม่มีผู้หญิงสวยๆ คนไหนอยากมาใช้ชีวิตลำบากอยู่กลางป่าหรอก แต่ทำไมเธอคนนี้ถึงอยากมาลองใช้ชีวิตที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสะบาย ไม่มีแม้แต่ไฟฟ้าใช้แบบนี้ล่ะ แต่แล้วก็ดูเหมือนเธอจะนึกเหตุผลบางอย่างออก
“หรือว่าอกหักมา เลยอยากหาที่สงบๆ ทำใจ”
‘คิดดีไปอีก’
เมื่อได้ฟังความคิดไร้เดียงสาของสาวชาวไร่ รินนาราถึงกับยิ้มเจื่อน ตอนแรกที่เธอคิดจะขอความช่วยเหลือให้หญิงผู้คนนี้นำเธอออกจากที่คุมขังเห็นทีจะไม่ได้เสียแล้ว เพราะเธอคงถูกผู้เป็นนายล้างสมอง เล่าความเท็จไปอย่างที่เธอได้พูดมันออกมาเมื่อครู่
“รำไพเดาถูกไหมคะ”
“เอ่อ…ค่ะ”
เมื่อไม่รู้จะปฏิเสธยังไง รินนาราเลยจำใจต้องพยักหน้ายิ้มให้ ขณะที่ในใจนั้นก็เร่งคิดหาทางออกจากที่นี่เงียบๆ
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าคนสวยๆ อย่างคุณรินจะอกหักได้ คนที่กล้าเลิกกับคุณรินนี่ถือว่าตาต่ำสุดๆ เลย”
“ก็ไม่ขนาดนั้นเหรอ รำไพก็พูดเกินไป คนเราก็มีจุดบกพร่องด้วยกันทั้งนั้น”
“รำไพพูดจริงนะคะ นอกจากเมียนายเสือแล้วรำไพก็เพิ่งเห็นคุณรินนี่แหละที่สวยปานนางฟ้าอีกคน แต่ถ้าคุณรินอกหักจริงๆ ก็ลองคบกับนายสิงห์ดูก็ได้นะคะ สวยหล่อเหมาะสมกันดี”
ประโยคของหญิงชาวไร่ ทำให้คนที่กำลังสิ้นหวังสะดุดหูขึ้นมาทันทีโดยเฉพาะประโยคที่กล่าวถึงบุคคลอีกคนที่เธอไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อน กระนั้นก็ยังทำใจเย็นสนสนากับเธอต่อไปด้วยน้ำเสียงปกติเพื่อไม่ให้หลุดพิรุธใดใดให้อีกฝ่ายจับได้
“เรื่องนั้นไว้ฉันคิดดูก่อนนะ ว่าแต่นายเสือที่รำไพพูดถึงคือใครเหรอ”
“ก็พี่ชายของนายสิงห์ไงละคะ นายสิงห์ไม่ได้เล่าให้ฟังหรอกเหรอ”
“เปล่าหรอก พอดีนายสิงห์ของรำไพเขาไม่ชอบเล่าอะไรให้ฟังสักเท่าไหร่”
คำถามของรำไพทำให้คนที่เกือบหลุดพิรุธบางอย่างต้องรีบหาคำแก้ตัวในทันที และโชคดีที่อีกฝ่ายเชื่ออย่างสนิทใจเลยพูดต่อด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว
“จริงค่ะ รายนั้นชอบเก๊กหน้าขรึม ทำเสียงดุมากกว่า”
พูดแล้วก็ชวนให้นึกถึงเจ้านายหน้าขรึม ทว่าหล่อปานเทพบุตรที่ใครๆ ต่างให้ฉายาว่า สิงห์ยิ้มยาก
“เห็นเมื่อกี้รำไพรบอกว่าเป็นคนงานในไร่ใช่ไหม รำไพมีบ้านพักอยู่แถวนี้เหรอ”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ บริเวณท้ายไร่นายสิงห์ไม่ให้ใครมาสร้างบ้านพักคนงาน เพราะนายสิงห์ไว้เป็นที่ส่วนตัวเอาไว้พักผ่อน ที่บ้านพักนี่ก็มีแค่หลังนี้ของนายสิงห์เท่านั้นแหละค่ะ”
“อ่าว แล้วแบบนี้รำไพก็ต้องเดินกลับบ้านพักไกลเลยนะสิ แล้วนี่จะกลับยังไงล่ะ ฉันเห็นมีแต่ทางเดินแคบๆ เส้นทางนี้ไม่เห็นมีทางรถเข้าออกเลย”
“เดินเท้าค่ะคุณริน นายสิงห์ไม่ให้คนงานขยายถนนมาที่นี่เพราะไม่อยากให้ใครตัดต้นไม้ใหญ่ๆ ส่วนนายสิงห์เดินเท้าเข้ามาบ้าง บางทีก็เอาม้ามา”
“แล้วแบบนี้รำไพก็ต้องเดินกลับไกลนะสิ”
“ไม่ไกลหรอกค่ะ สามกิโลเมตรไปกลับแป๊บเดียวเอง ถ้าเดินบ่อยๆก็ชินเองแหละค่ะ”
‘สามกิโลเลยเหรอ’
รินนาราถึงกับหลุดอุทานในใจกับระยะทางที่ได้ยิน ปกติแล้วเธอไม่เคยเดินเท้าไกลเป็นกิโลเมตรมาก่อน หากคิดจะหนีก็คงต้องทำใจเรื่องนี้เสียแล้ว
“ไม่มีทางอื่นที่ใกล้กว่านี้แล้วเหรอรำไพ ฉันหมายถึงทางลัดน่ะ”
“มีค่ะคุณริน ทางหลังบ้านจะมีทางเชื่อมไปยังไร่ ทางนั้นจะใกล้หน่อย แต่ต้องผ่านหน้าผาแล้วก็ป่าใหญ่กว่า นานๆ ทีจะมีคนใช้เส้นทางนั้น ทำให้ถนนเล็กๆ มีใบไม้ทับถมไว้มาก ถ้าใครไม่ชินทางก็อาจจะหลงเข้าไปในป่าได้”
รินนาราพยักหน้าน้อยๆ พยายามเก็บรายละเอียดเส้นทางเอาไว้ในใจเงียบๆ โดยที่ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอกำลังหลอกถามข้อมูลบางอย่างอยู่
“แล้วที่บ้านพักคนงาน มีรถเข้าออกจากไร่ไหม”
คำถามที่เริ่มจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รำไพต้องขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย ทำให้รินนาราต้องรีบหาคำแก้ตัว
“เอ่อ…ฉันหมายถึงเวลาที่ต้องไปซื้อของใช้ส่วนตัว รำไพใช้รถอะไรไปตลาดล่ะ”
“มีรถของไร่เข้าออกทุกวันค่ะคุณริน รถที่นี่จะออกจากไร่สิบโมงเพื่อเข้าไปซื้อของในเมือง ว่าแต่คุณรินอยากได้อะไรเหรอคะ เดี๋ยวรำไพจะฝากคนซื้อมาให้ พรุ่งนี้รำไพจะเอามาให้”
“คือฉันอยากจะได้ผ้าอนามัยหน่อยน่ะ แต่ฉันอยากจะออกไปซื้อด้วยตัวเอง เพราะฉันอายไม่กล้าฝากใครหรอก”
“โอ้ย! นึกว่าเรื่องอะไร แค่ผ้าอนามัยที่ร้านสวัสดิการของไร่ก็มีขายค่ะ ไว้พรุ่งนี้รำไพจะซื้อมาให้นะ”
“แต่ฉันไม่มีเงินสดนะ ฉันต้องไปกดในเมือง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ที่ร้านเขามีให้ลงบัญชีเอาไว้ได้มีเมื่อไหร่ค่อยเอามาคืน หรือไม่เดี๋ยวรำไพบอกให้นายสิงห์จัดการให้เอง เงินแค่เล็กน้อยนายไม่งกหรอก”
‘หมดกัน ทางหนีของฉัน’
เมื่อโดนดักทุกทางแบบนี้ รินนาราถึงกับถอดใจ เห็นทีงานนี้ต้องคิดหาวิธีอื่นเสียแล้ว
…………………………………….