บทที่ 1 โรคจิต

2233 Words
บทที่ 1 โรคจิต ปัง!! -Other- เสียงกระแทกประตูดังสนั่นหวั่นไหวภายในคอนโดมิเนี่ยมหรู ทำเอาคนตัวโตที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่นั้นสะดุ้งอย่างแรง เขาเอนตัวไปทางด้านหลังพร้อมกับหลับตาลงตามสัญชาตญาณ ติณณภพ ลืมตาขึ้นด้วยความรวดเร็ว เขาขมวดคิ้วยุ่งให้กับการกระทำของสาวน้อยคนนี้ “อะไรวะ” เขาพึมพำออกมาด้วยความมึนงง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหมายเลขห้องที่ติดไว้อยู่บนบานประตู “ก็ไม่ผิดนิวะ อะไรวะเนี่ย” ชายหนุ่มส่ายหน้า และขณะนั้นเองที่เสียงเปิดประตูห้องตรงกันข้ามก็ได้ดังขึ้น แกร็ก! แอ๊ดด... “คุณติณณ์หรือเปล่าคะ” เสียงหวานใสของผู้หญิงคนหนึ่งทำให้ชายหนุ่มเจ้าของร่างสูงหันหลังไปมอง เขามองหน้าเธอสลับกับหน้าจอโทรศัพท์ “อ๋า...ผิดคนสินะ” รอยยิ้มมุมปากถูกยกขึ้นสูง สาวน้อยเมื่อครู่ดูท่าจะโมโหที่เขาเคาะห้องผิด ทำอย่างไรได้เล่า ก็เลขห้องมันเขียนอย่างนี้นี่น่า “เหมือนคุณจะเขียนเลขห้องผิดนะ” “โอ๊ะ! จริงเหรอคะ...” หญิงสาวตรงหน้าเขาทำหน้ามึนงง เธอมองโทรศัพท์เครื่องหรูที่ชายหนุ่มรูปงามคนนี้ยื่นให้ “จริงด้วย...ขอโทษนะคะ นิ้วมือมันคงไปโดนตอนพิมพ์น่ะค่ะ” “หึ เธอทำให้ฉันโดนด่าว่าบ้า” เขาส่ายหน้าให้กับความผิดพลาดของเจ้าหล่อน ไม่รู้ว่าสาวน้อยคนเมื่อครู่กำลังคิดอะไรอยู่ เธอคงไม่คิดว่าเขาโรคจิตใช่ไหม “ขอโทษค่ะ คือว่า เอ่อ...” “เฮ้อ เธอทำให้ฉันเสียเวลา” หญิงสาวคนสวยเดินเข้ามาหาเขา เธอยังอยู่ในชุดนักศึกษา ร่างบางอรชรเดินอย่างช้า ๆ ก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นถือวิสาสะแตะไหล่หนาเบา ๆ “ไม่เสียเวลาแน่นอนค่ะ คุณติณณ์จะไม่เสียเวลาเลยล่ะค่ะ” เธอว่าพร้อมกับยิ้มหวาน “หึ เหรอ ฉันต้องลองก่อนใช่ไหม” “แน่นอนสิคะ” ติณณภพเลื่อนลำแขนไปโอบเอวเจ้าหล่อน สาวมหาลัยนี่เนื้อคงอ่อนน่าดู ดูท่าจะเคี้ยวง่ายอย่างที่คิดไว้ในหัว ร่างหนาโอบเอวสาวเจ้าเข้าไปไปในคอนโดหรูนี้โดยที่เจ้าตัวก็รู้ว่ามีคนติดตามเขาและถ่ายรูปเขาไว้ ทุกการกระทำ ทุกฝีก้าวย่างเดิน ชายหนุ่มรู้ รู้ว่ามีคนเฝ้ามองเขาอยู่ตลอด และแน่นอนว่าเขาจงใจทำทุกอย่าง...ทุกสิ่ง ให้ใครคนนั้นเห็น.... วันต่อมา -น้ำชา- เช้าวันที่น่าเบื่อ เฮงซวยเพราะรถเสีย และที่บ้ามาก ๆ คือการออกมาเจออะไรที่อุบาทว์ตาแบบนี้ ไอ้ผู้ชายโรคจิตเมื่อวานมันมายืนทำอะไรอยู่หน้าห้องฉันกับผู้หญิงคนนี้ พลอดรักงั้นเหรอ “บ้าชะมัด!!” ปึก!! ฉันยกฝ่าเท้าถีบบานประตูห้องตัวเองเมื่อมองเห็นว่าผู้ชายคนเมื่อวานกำลังนัวเนียกับผู้หญิงคนหนึ่งผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ กล้องถ่ายภาพตรงหน้าประตูห้องฉันมันก็ชัดเสียเหลือเกิน ฉันจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้เธอเป็นนักศึกษาที่อยู่ห้องตรงข้ามกับฉัน เราเดินสวนกันบ่อยครั้ง “หึ อะไรมันจะขนาดนี้ เอาไปทั่วอย่างกับหมา” ฉันรู้...รู้ว่าเรื่องใคร่ ๆ แบบนี้เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่มันใช่ไหมที่จะมาเอากันตรงหน้าห้องฉันแบบนี้! และดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะรู้ ผู้ชายคนเมื่อวานถอนจูบออกก่อนที่เขาจะโบกมือลาเธอคนนี้และเดินจากไป อดไม่ได้จริง ๆ ที่ฉันจะสงสัย เมื่อวานเขามาถามฉันว่าได้ขายตัวให้เขาไหม ราวกับว่ากำลังถามหาสาวบริการ งั้นแสดงว่าเธอคนนี้...ขายบริการสินะ ฉันส่ายหน้าเพื่อสลัดความคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องออกจากหัว ใครจะขายบริการ ใครจะขายถั่ว ใครจะขายข้าวแกงมันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน และขณะนั้นเอง ครืดด ครืดด~ เสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น ในเวลานี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากสหายเพื่อนรัก ติ๊ด! [เจ๊ มาไงอ่ะ] “เหาะไปมั้งถามได้” ฉันว่าพร้อมกับเปิดประตูออกจากห้อง [ผมถามดี ๆ น่ะเจ๊นะ] ฉันกลอกตามองบน ไม่รู้พวกนี้เป็นอะไรนักหนากับการกวนประสาทฉันโดยการเรียกฉันว่าเจ๊และแทนตัวเองว่าผมแบบนี้ “ก็นั่งรถดิวะถามได้” [จริงอ๋อ เจ๊ไม่เดินมาอ่ะ] “เดินทำไมวะไอ้เจมส์” [ก็นึกว่าเจ๊จะขยันเดินอีก ฮ่า ๆ] “ไอ้บ้า! ถ้ามึงจะโทรมากวนส้นแค่นี้ก็ตัดสายไป” ฉันว่าอย่างนึกโมโห คนกำลังรีบ ๆ อยู่ [ฮ่า ๆ กูรอมึงหน้าคอนโด รีบออกมา] “หึ เลิกกวนแล้วหรือไง” ฉันส่ายหน้าอย่างนึกขัน พูดแบบนี้ก็แล้วไป พวกนี้แค่ชอบกวนให้ฉันโมโห นี่แหละนะการเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม มันอยากแกล้งมันก็แกล้ง มันอยากกวนมันก็กวน [รีบมาดิวะ] “รีบได้ไง ลิฟต์บ้านมึงวิ่งลงได้เหรอ” [เอ้อ ๆ รออยู่เนี่ย] ติ๊ด! “ใครบอกให้มารับวะ...” ฉันกดตัดสายด้วยความรำคาญหู ไม่ได้บอกให้มารับ คอยดูมารับรอบนี้หนูอิ๊งของมันคงร้องเอ๋ง ๆ แล้ว ติ๊ง! เสียงแจ้งเตือนลิฟต์ดังขึ้นเมื่อมันเคลื่อนมาถึงที่หมาย ซึ่งพอลงจากลิฟต์ฉันก็ต้องชะงักให้กับผู้ชายคนเมื่อครู่ที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ เหมือนว่ากำลังเคร่งเครียด คิ้วของเขาชนกันจนจะซ้อนทับกันได้แล้ว ทว่า “เจ๊!!” เสียงไอ้เจมส์... ฉันหันไปตามเสียงเรียกนั้นก่อนจะก้าวขาเดินอย่างฉับไว “เรียกขนาดนี้มึงไม่ไปประกาศเรียกเลยล่ะ” “ทำได้ง่ะ คอนโดเจ๊อย่างแพงทำได้เหรอ” ฉันถอนหายใจออกมา ก่อนจะยื่นมือไปรับเอาหมวกกันน็อคมาสวมใส่ เมื่อไรพวกนี้จะเลิกล้อว่าฉันรวยทั้ง ๆ ที่พวกมันก็มีเงินกันทั้งนั้น “ซิ่งเลยนะเจ๊นะ” “จัดไป...” ฉันก้าวขาขึ้นรถบิ๊กไบค์คันโตของไอ้เจมส์ ก่อนที่มันจะเบิ้ลรถเสียงดังสนั่นคอนโด แน่นอนว่าคนมองกันพรึ่บเป็นตาเดียว “เล่นไรของมึง ไปได้แล้ว” “กอดเอวพี่แน่น ๆ นะน้องนะ” ฉันถอนหายใจออกมาก่อนจะเลื่อนแขนไปโอบเอวหนาของมัน แน่นอนว่าฉันไม่ได้แค่กอดไอ้เจมส์ ฉันกอดทั้งไอ้ต้น ไอ้กั้ง เราเลยคำว่าเพื่อนแล้วล่ะ เราเป็นครอบครัว... -Other – “พอดีผมไม่สบายใจน่ะครับ ไม่เห็นว่าเจ้าของรถจะโทรมา...” ติณณภพถือโทรศัพท์พูดคุยมาจนถึงรถยนต์คันหรู แม้ว่าจะเกิดอุบัติเหตุจากการเหม่อลอยของตัวเองเมื่อวาน แต่เขาก็ให้คนมาเปลี่ยนรถได้ทัน [แล้วคุณติณณ์จะให้ผมช่วยอะไรครับ รถหรูแบบนั้นอาจจะซ่อมเองหรือเปล่า บางทีเขาอาจจะไม่ได้อยากเอาเรื่อง] “เอ่อ ช่วยตามกล้องวงจรปิดแล้วหาเจ้าของรถให้ด้วยนะครับ” [ครับ คุณติณณ์จะกลับบ้านไหมครับอาทิตย์นี้ คุณหญิงย่าถามหานะครับ] “คงไม่แล้วครับ” ชายหนุ่มตอบกลับ เขาขึ้นรถมาแต่ไม่ได้ขับออกในทันที ร่างหนานั่งคุยโทรศัพท์อยู่กับที่ [ครับ แต่เห็นว่าคุณเตชินท์จะมานะครับ] “ครับ ผมรู้แล้ว...แค่นี้นะครับ ถ้าเจอแล้วยังไงโทรหาด้วยนะครับ” [ครับ] พอได้ยินปลายสายตอบรับ เขาก็กดตัดสายในทันที ร่างหนาค่อย ๆ ขับรถคันหรูจากไปอย่างช้า ๆ เพราะยังไม่ถึงเวลางาน เมื่อคืนหนักเอาเรื่อง หรือเขาแก่เกินไปกันนะ หนุ่มวัยสามสิบสี่ปีอย่างเขานี่เรียกว่าแก่หรือยัง ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปาก เขายังไม่แก่หรอกมั้ง “เฮ้ออ...สติ ๆ” ติณณภพพึมพำออกมา ช่วงนี้เขาเหม่ออยู่บ่อยครั้ง เพราะมีเรื่องให้คิดอยู่เต็มหัว ทำให้เมื่อวานขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือไปชนรถคนอื่นเข้าให้ ซึ่งช่วงนั้นเขาก็มีเคสด่วนที่โรงพยาบาลทำให้ต้องไปก่อน ทิ้งไว้เพียงกระดาษโน้ตเล็ก ๆ หน้ากระจกรถ ทว่ากลับไม่ได้รับการติดต่อกลับ และที่ทำให้รู้ว่าอาการของเขาหนักมากก็คงเป็นเมื่อวานกระมังที่มองไม่เห็นว่ามีสาวน้อยคนหนึ่งกำลังจะจ่ายเงินอยู่ที่เคาน์เตอร์ เหตุการณ์เสียมารยาทนั้นจึงเกิดขึ้น แถมเธอยังเป็นคนเดียวกับเจ้าของห้องที่เขาไปเคาะประตูอีก ชายหนุ่มจำฮู้ดของเธอได้...หน้าของเธอเหมือนเด็กที่ยังเรียนไม่จบมหา’ลัย แต่สวยจนเขาตะลึงเลยล่ะ ใช้เวลาไม่นานชายหนุ่มเจ้าของรถเบนซ์ก็มาถึงสถานที่ทำงาน ตึกศัลยกรรมทั่วไปตรงหน้าทำให้เขาตื่นขึ้นมาทันที เคสผู้ป่วยคงรอเขาอยู่ปึกใหญ่แน่ ๆ คิดได้ดังนั้นฝ่ามือหนาก็รีบคว้าเอากระเป๋าสะพายหลังและเสื้อกาวน์ยาวของตนออกจากรถในทันที เหล่าพยาบาลค้อมศีรษะให้กับเขาเมื่อเห็นว่าเขาเดินผ่าน ติณณภพเรียนจบแพทย์ภายในหกปีและกว่าจะเรียนจบเฉพาะทางอายุก็ล่อเข้ามาเลขสาม ชายหนุ่มเป็นที่เคารพรักของเหล่าบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งหน้าตา ชาติตระกูล และความสามารถที่เขามี แต่แล้ว “หมอ! เกือบสายแล้วนะครับ” เสียงทุ้มลึกที่ดังขึ้นทำให้ร่างหนาหยุดชะงักฝ่าเท้า เขากำลังตรงไปยังห้องพักแพทย์ของเขาเพื่อแต่งตัว ถึงแม้จะอาบน้ำไปกับสาวสวยคนเมื่อเช้าแล้วก็ตามแต่ “ครับอาจารย์ แต่ไม่สายนะครับ” เขาหัวเราะเบา ๆ นาน ๆ จะไม่มีเวร พอออกไปก็เอาให้คุ้มแถมยังได้ทำตามแผนอีก “แล้วเป็นไงบ้าง ผมเป็นห่วงคุณนะ ถ้าไม่ดีขึ้นก็ไปพบจิตแพทย์” “ครับ ขอบคุณครับอาจารย์” “ดูแลตัวเองหน่อย พลาดมาในห้องผ่าตัดแก้อะไรไม่ได้แล้วนะ ความผิดพลาดบางอย่างจะติดตัวไปตลอด ผมเป็นกำลังใจให้” ติณณภพค้อมศีรษะให้กับผู้อาวุโสกว่า เขายิ้มรับให้กับคำแนะนำนั้น ร่างหน้าเดินหายเข้าไปในห้องพักของตนเอง เขาวางกระเป๋าสะพายหลังลงบนเก้าอี้ทำงาน ก่อนจะคว้าเสื้อกาวน์ยาวมาสวมใส่ หวนนึกถึงเรื่องที่อาจารย์หมอพูด ความผิดพลาดอย่างนั้นหรือ เพราะความผิดพลาดนั่นแหละทำให้ชีวิตเขาติดแหง็กอยู่อย่างนี้ และขณะนั้นเอง ติ๊ง! เสียงแจ้งเตือนแอปพลิเคชันไลน์ทำให้เขาหันไปมองโทรศัพท์ที่เพิ่งวางลงบนโต๊ะทำงาน [ติณณ์ มิ้งรู้ว่าติณณ์ไปไหนมา] ติ๊ง! [ทำไมทำอย่างนี้] ติ๊ง! [ถ้าติณณ์ไม่หยุดยุ่งกับอีกะหรี่นั่น มิ้งจะทำให้มันหายไป] ติ๊ง! [ติณณ์ มิ้งไม่ได้ขู่นะ] ชายหนุ่มชำเลืองสายตามองก่อนจะเลื่อนนิ้วมือไปกดปิดเสียงโทรศัพท์ ร่างหนาคว้าโทรศัพท์เครื่องหรูมาใส่กระเป๋ากางเกงโดยไม่สนใจข้อความไลน์ที่ยังส่งมาไม่หยุด หากไม่ติดว่าต้องคุยเรื่องลูกเขาจะบล็อกไลน์เธอทิ้ง แต่แล้ว โทรศัพท์ของเขาก็สั่นราวกับว่ามีคนโทรมา ติณณภพไม่อยากรับสายเจ้าหล่อน เขาอยากปิดเครื่องหนีแต่ก็กลัวว่าจะมีเคสด่วนโทรหาเขาผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งถ้าไม่รับเธอก็คงโทรมาไม่หยุด ติ๊ด! “พอเถอะน่า...” [พอ พออะไรวะ] น้ำเสียงไม่คุ้นหูทำให้ชายหนุ่มดึงโทรศัพท์ออกมาดูรายชื่อ เบอร์ไม่มีรายชื่อเขาก็นึกว่าเป็นอดีตภรรยาที่โทรมาโดยใช้เบอร์อื่นเพราะกลัวเขาไม่รับ แต่เสียงนี้...มันแปลก ๆ [หน็อย~ ชนรถคนอื่นยังจะมีปากบอกว่าพอเถอะ พอเถอะบ้านแกน่ะสิ] ติณณภพถึงบางอ้อ เขาก็นึกว่าใครโทรมาที่แท้เป็นเจ้าของรถนี่เอง “ขอโทษครับ เอ่อ...มีคนติดต่อไปแล้วใช่ไหมครับ” [อืม...] “โอเคครับ เดี๋ยวผมให้คนจัดการรถให้นะครับ ถ้าคุณไม่รังเกียจผมจะขอเลี้ยงกาแฟเป็นการขอโทษ” [เหอะ ที่ไหน ฉันก็อยากจะดูหน้าคุณเหมือนกัน] ติณณภพขมวดคิ้ว เธอพูดอย่างนี้เหมือนกับอยากดูหนังหน้าเขาอย่างไงอย่างงั้น “สองทุ่มที่ร้านกาแฟที่คุณจอดรถไว้น่ะครับ” [สองทุ่ม? ฉันไม่ว่าง...งั้นเจอที่คลับฟรายเดย์] “อ้อ ได้ครับ” เขายังไม่ได้พูดอะไรต่อ ต้นสายก็กดตัดสายทิ้งไป ทำเอาคุณหมอหนุ่มมึนงง ชายหนุ่มไม่โกรธเธอที่เธอจะโมโห เขามันบ้าที่ไม่ดูอะไรขับรถไปชนรถของเธอเอง ติณณภพส่ายหน้า ฝ่ามือหนาเก็บโทรศัพท์ไว้ที่เดิมโดยไม่ได้เปิดเข้าไปอ่านข้อความจากแอปพลิเคชันไลน์แม้แต่ข้อความเดียว...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD