บทนำ
-น้ำชา-
ชีวิตแม่ง...
“แล้วเจ๊ กลับไงอ่ะ” เสียงน่ารำคาญของไอ้เจมส์ดังขึ้นเมื่อมันเห็นฉันกำลังเก็บของเข้ากระเป๋าสะพายข้าง
“เดินมั้ง”
“เหรอวะ ผมไปส่งปะ”
“ไม่ต้อง...” ฉันพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะถอดเสื้อช็อปที่ใส่อยู่ เปลี่ยนเป็นใส่เสื้อฮู้ดแขนยาวสีดำพร้อมกับหยิบหูฟังไร้สายมาใส่หูทั้งสองข้าง
“โหย~ เจ๊จะเดินไหวอ๋อวะ”
“พูดมาก” ฉันหันไปมองไอ้เจมส์ที่มันยังไม่หยุดพูดสักทีตั้งแต่เลิกงาน
“มึงอย่าไปกวนสิวะ ก็รู้เจ๊แม่งรักรถคันนี้มากแค่ไหน”
“มึงก็หุบปากสักที หยุด! มึงก็ด้วย” น่ารำคาญพวกนี้พูดไม่หยุดสักที ฉันหันไปด่าไอ้ต้นก่อนจะยกนิ้วชี้ชี้หน้าไอ้กั้งที่กำลังจะอ้าปากพูด ไม่รู้เป็นอะไรนักหนา…ถามอยู่ได้กะอีแค่เดินสองกิโลเนี่ย
“เฮ้อ แล้วเจ๊เอาไงอ่ะ คู่กรณีเขาว่าไง ประกันอ่ะ”
“มึงไม่รู้อ๋อไอ้ต้น เจ๊แม่งซ่อมเองหมด”
“เอ้อว่ะ รวย ๆ แบบเจ๊กูว่าซื้อใหม่ยังจะดีกว่า” เสียงของเหล่าสหายของฉันค่อย ๆ หายไปเมื่อฉันกดเปิดเพลง ยังดีที่มีเสียงเพลงคอยกลบเสียงน่ารำคาญนี้ทิ้งไป และฉันก็เดินหนีพวกนี้โดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกใด ๆ ทั้งสิ้น
โอเค
ฉันเป็นประจำเดือน
แต่ก็นั่นแหละ พวกนี้แยกไม่ออกหรอกว่าอันไหนฉันวีนเพราะเป็นเมนส์หรือวีนเพราะอารมณ์ขี้โมโหที่มีอยู่แล้ว อยากจะบ้าตายวันเฮงซวยของคนมีอยู่จริง
เมื่อเช้าไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ขับรถมาชนรถของฉันที่จอดนิ่ง ๆ ที่ข้างถนน มันเขียนข้อความติดหน้ารถว่าให้ติดต่อกลับ แต่โทรไปเสือกไม่รับ เอ้อ...แบบนี้ก็รู้อยู่แล้วว่าแม่งหลอก
“วินไหมครับ”
“ไม่ค่ะ” ฉันไม่ได้ยินหรอกว่าวินมอเตอร์ไซค์ที่ยกไม้ยกมือตรงหน้านี้พูดว่าอะไร แต่อ่านปากก็พอเข้าใจ ก่อนที่ฉันจะดึงฮู้ดขึ้นมาสวมปิดอำพรางตัวออกจากสังคมที่กำลังเผชิญอยู่
โรงงานที่ฉันทำงานอยู่ไกลจากคอนโดประมาณสองกิโลได้ มันไม่ไกลมากเดินฟังเพลงเพลิน ๆ ก็ถึง แต่ตอนนี้ที่ฉันเป็นประจำเดือนมันกำลังทำให้ฉันปวดท้อง ที่ฉันไม่ให้พวกนั้นไปส่งก็เพราะว่าไม่อยากมีปัญหากับแฟนของมัน ผู้หญิงประสาทไม่ดีแยกไม่ออกว่าอันไหนเพื่อนอันไหนแฟน ฉันล่ะปวดหัว แม้จะคบกันเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนแต่เมียไอ้พวกนี้ก็คอยมองแรงใส่ฉันตลอด และมันสนใจฉันสักที่ไหนล่ะ เรียกเจ๊ทั้ง ๆ ที่อายุเท่ากัน
ตลกชะมัด
ให้เอาพวกนี้เป็นผัวยอมกระโดดจากตึกสิบสามชั้นยังง่ายกว่า แค่คบด้วยก็เหมือนจะตายอยู่แล้ว แต่ก็นั่นแหละฉันมีเพื่อนที่ไหนล่ะ
นั่นเห็นไหม เดินแป๊บเดียวก็ถึง ฉันมองเห็นตึกสูงระฟ้าตรงหน้าในระยะที่ไม่ไกลมากนัก แต่ตอนนี้คิดว่าควรจะไปซื้อผ้าอนามัย คิดได้ดังนั้นฉันก็เดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อที่อยู่หน้าคอนโด
ติ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนประตูอัตโนมัติดังขึ้นทันทีที่ฉันเดินมาหยุดที่หน้าประตู ฉันไม่รีรอที่จะเดินไปหยิบเอาห่อผ้าอนามัย ก่อนจะเดินไปเคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงิน ทว่า
แปะ!
“จ่ายด้วยวอลเล็ทครับ” ฉันชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นกล่องถุงยางอนามัยของผู้ชายไม่มีมารยาทคนหนึ่ง ที่อยู่ ๆ ก็วางกล่องถุงยางนี้ตัดหน้าฉันที่กำลังจะจ่ายเงิน
“บ้าชะมัด”
“เอ่อ...โทษที พอดีผมไม่เห็น” เหมือนเขาจะรู้ตัว ไม่เห็นมีสองแบบ ไม่ตาถั่วก็ตาบอด ฉันตัวสูงอย่างกับเปรตพูดออกมาได้ว่าไม่เห็น ได้ยินแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะชำเลืองสายตามองผู้ชายไม่มีมารยาทคนนี้
เสื้อกาวน์ที่สวมอยู่ไม่ได้เพิ่มมารยาทให้เขาคนนี้ หน้าตาดี ดีแบบที่เห็นได้ง่าย ๆ ตามบ้านของฉันเอง เพราะพี่ฉันก็หน้าแบบนี้ หน้าพิมพ์นิยมที่ใคร ๆ เห็นต้องกรี๊ดสลบแต่ไม่ใช่ฉัน ซึ่งผู้ชายคนนี้มองไม่เห็นหน้าฉันหรอก ฮู้ดที่ฉันใส่อยู่มันใหญ่พอสมควร
“ชำระแบบไหนคะ” เสียงของพนักงานเรียกให้ฉันกลับมาสนใจ ก่อนที่ฉันจะตอบกลับ
“เงินสดค่ะ เอาบุหรี่กล่องหนึ่ง”
“เอ่อ ที่นี่ไม่จำหน่ายบุหรี่ให้เด็กอายุต่ำกว่ายี่สิบปีนะคะ”
“ฉันยี่สิบเก้า”
“เอ่อ...ขอบัตรประจำตัวประชาชนด้วยค่ะ” ฉันกลอกตามองบน ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ
“ไม่เอาแล้วค่ะ แค่นี้” ว่าแล้วก็วางเงินลงพร้อมกับคว้าเอาห่อผ้าอนามัยมาถือ ทว่า
“เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ควรสูบบุหรี่นะครับ มันไม่ดีต่อสุขภาพ” เสียงทุ้มลึกของผู้ชายที่ลืมมารยาทไว้ที่บ้านดังขึ้นเหนือศีรษะของฉัน
ให้ตายสิ...
“เงินทอนค่ะ” ฉันส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะยื่นมือไปรับเงินทอนที่พนักงานยื่นมาให้ ไม่ได้เสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับผู้ชายที่ยืนต่อคิวทางด้านหลังของฉัน
“เด็กบ้านแกน่ะสิ” ฉันสบถออกมาหลังจากเดินออกจากร้านสะดวกซื้อ น่าเบื่อที่ใคร ๆ ก็คิดว่าฉันอายุไม่ถึงยี่สิบปี ด้วยหน้าของฉันที่ไม่คิดจะโตตามอายุ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่ที่รู้คือมันน่ารำคาญที่ต้องบอกใครต่อใครว่าฉันอายุจะสามสิบแล้วโว้ย!
แม่ง!
รอแค่ลิฟต์เท่านั้นฉันจะถึงห้อง ฉันกำลังยืนรอลิฟต์ในคอนโดราคาแพงนี้ และเดินขึ้นทันทีที่มันเคลื่อนตัวมาถึง
คอนโดสูงเท่าไรฉันไม่รู้ รู้แค่ว่าฉันอยู่ชั้นที่ยี่สิบ มันสูงพอที่จะมองเห็นวิวของเมืองหลวงแสนวุ่นวายนี้ ฉันชอบมองความวุ่นวายแต่ไม่ชอบที่จะเข้าไปอยู่ในนั้น นิสัยที่แก้ไม่ได้คงเป็นการเข้าสังคมล่ะมั้ง
ติ๊ง!
แม้แต่ชั้นของฉันที่มีเพื่อนบ้านถึงสามห้อง แต่ฉันก็ไม่เคยเข้าไปถามไถ่หรือพูดคุยด้วย แม้ว่าพ่อแม่จะบังคับให้ไปทำความรู้จักก็ตามแต่ แต่เรื่องอะไรล่ะ...ไม่ใช่เรื่องของฉันสักหน่อย
แกร็ก!
พอถึงห้องฉันก็ไม่รีรอที่จะกดรหัสผ่านและเดินเข้าไป ห้องขนาดใหญ่นี้มีหนึ่งห้องนั่งเล่น หนึ่งห้องนอน และหนึ่งห้องน้ำ ซึ่งเป็นห้องที่ฉันเพิ่งย้ายมาอยู่ได้สองอาทิตย์ หลังจากที่ต้องย้ายสถานที่เล่นดนตรีใหม่
ใช่...ฉันเป็นนักร้องตอนกลางคืน มีวงดนตรีกับไอ้พวกนั้นนั่นแหละ ส่วนตอนเช้าเป็นวิศวะเครื่องกลทำงานในโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งยานยนต์ก็เป็นส่วนหนึ่งของวิศวะเครื่องกล
วันนี้เหนื่อยเอาเรื่อง
เจอแต่เรื่องซวย ๆ
พอถึงโซฟาฉันก็เอนตัวลงนอนทันที ไม่ถอดฮู้ดอะไรทั้งสิ้น เปิดแค่แอร์เท่านั้น แต่แล้ว
ตื๊ด ตื๊ดด...
เสียงกดออดหน้าประตูกลับดังขึ้น แปลกที่มีคนมากดออดห้องของฉัน มีแค่พ่อแม่ และพวกพี่ ๆ ของฉันเท่านั้นที่จะมาหา และแน่นอนว่าไม่ใช่สหายเพื่อนรักพวกนั้น ที่ฉันว่าแปลก เพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พวกเขาจะมาหา
“เฮ้ออ...”
พรึ่บ!
เพราะออดที่ดังไม่หยุดทำให้ฉันจำเป็นที่จะต้องลุกขึ้นไปกระชากประตูเปิดออก ทว่าคนที่มาหานั้น
แกร็ก!
“หวัดดีครับ ใช่คนที่ผมดีลไว้หรือเปล่า” ฉันกะพริบเปลือกตามองผู้ชายตรงหน้านี้ ใบหน้านี้ฉันจำได้แม่นว่าเป็นคนที่ลืมมารยาทไว้ที่บ้านที่ฉันเพิ่งเจอในร้านสะดวกซื้อ และดูเหมือนว่าเขาจะจำฉันไม่ได้
“ดีล? ดีลอะไร”
“สวยกว่าในรูปอีกแฮะ” ฉันขมวดคิ้ว เขาก้มมองอะไรไม่รู้ในโทรศัพท์ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฉันอีกครั้ง
“ขายใช่ไหม”
“ห้ะ...”
“ขายตัว...” น้ำเสียงทุ้มลึกที่ดังอยู่นี้มันเหมือนกับความร้อนที่กำลังทะลุปรอทเทอร์โมนิเตอร์วัดอุณหภูมิที่ฉันเป็นอยู่
“ไอ้บ้าเอ๊ย!!”
ปัง!!