-น้ำชา-
“ปล่อยให้ผมจัดการนะ ผมเป็นหมอ” เสียงทุ้มลึกคุ้นหูทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นมอง ภายในหัวที่หนักอึ้งและหูที่เริ่มไม่ได้ยินเสียงอื่นใด แต่ตอนนี้ฉันได้ยินแต่เสียงของเขา
“อึก จะ เจมส์...มึงได้ยินไหม อึก หมอมาแล้วนะ” ฉันพูดออกมาแม้ว่าไอ้เจมส์มันจะหมดสติไปแล้ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายที่เพิ่งบอกกับฉันว่าเขาเป็นหมอ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาบอกว่าเขาชื่อติณณ์...ติณณภพ
“เดี๋ยวคุณขยับออกก่อนนะครับ” ฉันพยักหน้ารับ ก่อนจะขยับออกจากร่างหนาของเจมส์ ซึ่งฉันจำได้ว่าวันแรกที่พบกับเขา ผู้ชายคนนี้ใส่เสื้อกาวน์ เขาคงไม่ได้โกหกว่าเป็นหมอ อีกทั้งฝ่ามือหนาที่กำลังจัดการกับกล่องพยาบาลนี้ เขาหยิบนั่นนี่ออกมาด้วยความชำนาญ
“โทรเรียกรถพยาบาลหรือยังครับ”
“ทะ โทรแล้ว อึก เพื่อนโทร” ฉันตอบเสียงสั่น ซึ่งคนตรงหน้าฉันก็พยักหน้ารับพร้อมกับคลำชีพจรของเจมส์ไปด้วย ติณณภพเทแอลกอฮอล์ใส่ฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวเอง ก่อนที่เขาจะหยิบผ้าก๊อซปิดแผลจำนวนมากออกมาปิดปากแผลของไอ้เจมส์ สายตาของฉันมันพร่าเลือนไปหมด ฉันยังคงไม่หยุดร้องไห้แม้ว่าเพื่อนของฉันอีกสองคนกำลังพูดปลอบใจ ฉันรู้...รู้ว่าพวกมันก็กำลังเสียใจเหมือนกัน
“ช่วยเพื่อน อึก ฉันด้วยนะ” แม้ว่าฉันจะไม่ชอบผู้ชายคนนี้มากแค่ไหน แต่เวลานี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาสามารถช่วยเพื่อนของฉันได้ ซึ่งเขาก็แค่พยักหน้าให้โดยไม่ได้มองหน้าฉัน ติณณภพใช้มือข้างหนึ่งกดที่ผ้าก๊อซปิดแผล ส่วนอีกข้างกำลังกดโทรศัพท์หาใครบางคน
“ครับ ไม่ครับ...มีอุบัติเหตุที่ฟลายเดย์ ครับ...” ฉันมองคิ้วหนาของเขาที่กำลังขมวดคิ้วและพูดคุยกับปลายสายด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
“ครับ ผมจะผ่าเอง เตรียมห้องผ่าตัด...ผมไม่สะดวกคุยกับใคร ไม่ครับ...ส่งโรงพยาบาลเราครับ ใกล้ที่สุดครับ”
“_”
“บอกไปว่าคุยกับผมได้ตอนเช้าตามเวลานัด ตอนนี้ผมติดเคสด่วน”
“_”
“เชื่อผมเถอะครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” ฉันไม่รู้เลยว่าเขาคุยอะไรกับใครทำไมมีสีหน้าแบบนี้ ซึ่งระหว่างที่เขาคุยก็มีบุคลากรทางการแพทย์หลายคนพร้อมกับเปลนอนวิ่งเข้ามาในคลับ
“ชา...ปล่อยมือมันก่อน”
“อึก มือมันเย็นมากเลยต้น” ฉันกลัวไปหมด ไม่กล้าแม้แต่จะปล่อยมือไอ้เจมส์ไป ความรู้สึกผิดต่างนานากำลังเล่นงานฉันอย่างหนักจนไม่สามารถปล่อยมือจากมันได้เลย ทว่า
“เชื่อใจหมอนะ...ปล่อยก่อนนะครับ” น้ำเสียงของเขาดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือหนาที่ยื่นมากุมมือฉัน มันไม่ใช่การแต๊ะอั๋ง ฉันสัมผัสได้ถึงความเชื่อใจที่เขาอยากให้ฉันเชื่อ
“อึก ชะ ช่วยเพื่อนฉัน ฮึก นะ” ตอนนี้จะให้ฉันทำอะไรฉันยอมหมดเลย ความรู้สึกของฉันมันเหมือนกับคนไร้หนทาง ฉันเปลี่ยนไปจับมือของเขาก่อนจะเขย่าเบา ๆ
“ครับ ช่วยโทรเรียกญาติคนไข้ด้วยนะครับ” ไม่ทันที่ฉันจะได้โทร ไอ้กั้งก็ยกโทรศัพท์โทรหาพ่อแม่ของเจมส์ ซึ่งระหว่างที่ร่างหนาของเจมส์กำลังถูกยกขึ้นเปลนอนนั้น
“จะไปด้วยเลยไหมครับ” เขาก็หันมาหาฉันก่อน ฉันพยักหน้าให้กับเขา แต่ก่อนจะเดินตามร่างหนาของเขาไป ฉันไม่ลืมที่จะหันไปบอกกับเพื่อนสองคนนี้
“กูไปกับมันนะ มึงไปรับพ่อแม่มันด้วย”
“อืม ฝากดูมันด้วย รอพวกกูแป๊บนะ” ฉันไม่รู้ว่าอะไรบันดาลใจให้โผลเข้ากอดไอ้ต้นกับไอ้กั้ง ไม่รู้สิ ฉันกลัว กลัวมากจริง ๆ
“อึก มันไม่เป็นไรหรอกนะ เสือเผ่นที่หลังมันคงช่วยไว้อยู่” ไอ้ต้นพูดติดตลก โดยที่ฉันก็รู้ว่าใจของมันก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน
“มึงรีบไปเถอะ” ฉันพยักหน้าให้กับไอ้กั้งที่พูดขึ้น ก่อนที่จะออกตัววิ่งไปขึ้นรถฉุกเฉิน ซึ่งพอขึ้นมาก็เห็นว่าติณณภพกำลังสอดท่ออะไรไม่รู้ลงคอของไอ้เจมส์ ภาพที่ฉันเห็นมันทำให้ฉันหลั่งน้ำตาออกมาไม่ขาดสาย
“ไปที่ตึกศัลย์เลยนะครับ เดี๋ยวผมจะผ่าเอง”
“หมอติณณ์จะให้บอกแบบนี้เลยใช่ไหมคะ” พยาบาลคนหนึ่งเอ่ยพูดขึ้น เธอกำลังยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูเพื่อโทรหาใครบางคน ก่อนที่หมอติณณ์ที่เธอเรียกเมื่อครู่จะพยักหน้าให้
“ขยับมานี่สิ” ฉันเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของเจ้าของน้ำเสียงนี้ เขากำลังพูดกับฉัน
“คุณเป็นเพื่อนเขาเหรอครับ”
“อึก ใช่...”
“หึ ไม่ใช่แฟนใช่ไหม”
“ไม่ ไม่ใช่ ฉันไม่มีแฟน” ฉันยกมือขึ้นปาดน้ำตา ก่อนจะชะงักไปเพราะดูเหมือนว่าเขาคนนี้กำลังจะเล่นไม่รู้เวลา “ไม่ใช่เวลาที่นายจะมาพูดเล่นนะ อึก เพื่อนฉันกำลังจะตาย”
“ผมรู้ เราทำอะไรไม่ได้หรอกครับ ไม่มีเครื่องมือ ผมใส่สายออกซิเจนให้แล้ว เลือดหยุดไหลแล้วด้วย แต่ข้างในน่าจะยังไหลอยู่...น่าจะโดนตับ”
“ห้ะ ตะ ตับเหรอ”
“ครับ ตรงนี้...ตับครับ” ฉันเม้มริมฝีปากเข้าหากันพร้อมกับมองนิ้วมือของเขาที่กำลังวนรอบตำแหน่งตับที่เขาว่า น้ำตามากมายที่เก็บไว้พรั่งพรูออกมาราวกับเขื่อนแตกเลยก็ว่าได้
“อึก นายช่วยเพื่อนฉันได้ไหม ฮืออ~”
“_”
“อึก ไม่สิ คุณหมอ...”
“_”
“ช่วยเพื่อนฉันด้วยนะ จะให้ฉันทำอะไรฉันยอมหมดเลย ช่วยเพื่อน อึก ฉันด้วยนะ ฉันมีเงิน อึก โรง’ บาลเอกชนหรือเปล่า” ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่ได้จับมือผู้ชายแปลกหน้า ซึ่งตอนนี้ฉันกำลังจับมือของเขาพร้อมกับเขย่าเบา ๆ ความร้อนรนใจทำให้ฉันพูดผิด ๆ ถูก ๆ ไม่ว่าจะให้ฉันทำอะไร ถ้ามันทำให้เพื่อนของฉันปลอดภัย ฉันยอมหมด ทว่า
“มันเป็นงานของผมอยู่แล้วครับ แต่ถ้าคุณว่าอย่างนั้น...ผมก็ไม่เกี่ยง” แววตาของเขาทำให้ฉันหลบสายตา ความรู้สึกบางอย่างมันกำลังส่งมาถึงฉัน แต่ตอนนี้เขากำลังทำให้ฉันโมโห
“ถ้านายช่วยเพื่อนฉันได้ ฉันขอแค่ไม่ให้มันเป็นอะไรไป ช่วยจริงจังด้วย” เขาไม่ได้ตอบอะไรฉัน ความรู้สึกมันจุกอยู่ที่อก กี่ปีแล้วที่ฉันรู้จักกับมัน สิบกว่าปีที่เราใช้ชีวิตด้วยกันตั้งแต่เรียนจนถึงตอนนี้ ฉันทำใจไม่ได้หรอกที่ไอ้เจมส์จะมาตายเพราะความดื้อของฉัน ทว่า
“มะ มองอะไร” ฉันรู้สึกถึงการมองของเขาก็เลยหันหน้าไปมอง ก่อนที่เขาจะเอ่ยพูดขึ้น
“ผมแค่แปลกใจ คุณอ่อนไหวเหมือนกันนะ”
“ไม่ต้องยุ่ง หน้าที่ของนายคือดูแลคนไข้” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ซึ่งเขาก็เพียงแค่ยกยิ้มให้กับฉัน
“ใกล้ถึงโรงพยาบาลแล้วครับ” น้ำเสียงของเขานิ่งจนทำให้ฉันหงุดหงิด เขาไม่รู้สึกว่าต้องรีบเลย แม้ว่าฉันจะร้องไห้จนน้ำตาท่วมขนาดนี้
“เอ่อ...คุณหมอคะ...ทางนั้นบอกว่าคุณหมอไม่จำเป็นต้องเข้าห้องผ่าตัดเองนะคะ มีแพทย์เวรอยู่น่ะค่ะ แล้ว...เอ่อ พยาบาลทางนั้นบอกให้คุณหมอไปรอที่ห้องตรวจนะคะ มีคนมาขอพบ” ฉันหันไปมองพยาบาลคนหนึ่งที่พูดขึ้น ขณะที่หมอติณณ์ที่เธอเรียกเมื่อครู่กำลังพริ้มตาหลับลง เขาพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ผมจะผ่าเองครับ ส่วนเรื่องนั้น...ช่างมันบ้างก็ได้” เขามีสีหน้าหงุดหงิด ฉันไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกัน แต่ไม่ทันที่จะได้ว่าอะไรต่อ รถฉุกเฉินก็จอดลงพร้อมกับประตูหลังรถที่เปิดออก
ฉันลงจากรถก่อนที่หมอติณณ์จะลงตามมา เขากำลังพูดอะไรไม่รู้กับแพทย์ที่วิ่งหน้าตื่นเข้ามาหา ซึ่งอีกฝ่ายก็ค้อมศีรษะให้กับเขาก่อน ฉันไม่เข้าใจหรอก ฉันสนใจแค่ร่างหนาของคนเป็นเพื่อนที่ตอนนี้หมดสติไปนานแล้ว
“อึก เขา ไปไหนน่ะทำไมไม่ดูคนไข้” ฉันสัมผัสได้ว่าเขาต้องใหญ่โตมาก ๆ เพราะดูแล้วมีแต่คนเคารพเขา แต่ตอนนี้เขาพูดเสร็จก็เดินจากไปเลย
“อ่อ คุณหมอน่าจะไปเตรียมตัวเข้าห้องผ่าตัดน่ะค่ะ คุณเป็นญาติคนไข้หรือเปล่าคะ”
“อึก ไม่ค่ะ ญาติกำลังมา...แล้ว อึก เพื่อนฉันจะเป็นอะไรหรือเปล่า” ฉันเดินเข้าไปใกล้คุณพยาบาล เธอกำลังเดินตามเตียงนอนของไอ้เจมส์ แต่ยังดีที่เธอหันมาตอบฉัน
“วางใจได้เลยค่ะ ถ้ามาเข้าห้องผ่าตัดทัน และได้ผ่าตัดกับหมอติณณ์ ทุกอย่างจะเป็นไปในทางที่ดีเลยล่ะค่ะ หึ..น้อยคนนะคะที่จะได้คุณหมอผ่าตัดให้ เพื่อนคุณโชคดีมาก” ฉันเดินตามหลังพยาบาลคนนี้ที่กำลังเดินแยกไปอีกทาง เหมือนกับกำลังจะไปเตรียมเอกสาร
“มีบัตรประจำตัวคนไข้ไหมคะ”
“มะ มีค่ะ นี่ค่ะ” ฉันเปิดกระเป๋าสตางค์ของไอ้เจมส์ พอดีหยิบติดมือมาด้วยตอนมันหล่นลงพื้นที่คลับ “จริงใช่ไหมคะ ที่เพื่อนของฉันจะปลอดภัย”
“ร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ ที่เห็นคุณหมอไม่พูดอะไรนั้น เขาประเมินอาการแล้วล่ะค่ะ อีกอย่าง...เป็นที่รู้กันว่าถ้าหมอติณณ์ผ่าตัดใครโอกาสผิดพลาดเป็นศูนย์ค่ะ เอ่อ...ถ้าญาติมาถึงแล้วบอกมาพบฉันที่เวชระเบียนก่อนนะคะ ต้องเซ็นเอกสารน่ะค่ะ” ฉันพยักหน้ารับ ถ้าพยาบาลว่าอย่างนี้ใจของฉันก็รู้สึกดีขึ้นมา เพราะดูแล้ว เขาคนนั้น...คงเก่งหน้าดู
เวลาต่อมา...
“ไม่หรอกจ้า ไม่ใช่ความผิดของหนูเลย ถ้าเจมส์ยืนอยู่ตรงนี้แล้วหนูเป็นอะไรไป แม่รู้ว่าไอ้ลูกชายคนนี้มันก็คงเจ็บปวด”
“คุณแม่คะ จะไม่เป็นอะไรได้ยังไง ถ้าน้ำชาไม่ทำแบบนั้นเรื่องแบบนี้ก็ไม่เกิด เจมส์ก็คงไม่ต้องเสี่ยงตายแบบนี้!!” ฉันรู้...รู้ว่าอิ๊งพูดไม่ผิดเลยสักคำ เธอเป็นแฟนของเจมส์ ไม่แปลกที่จะรู้สึกอย่างนี้
“เธอนั่นแหละหุบปาก” ส่วนนี่เสียงของเพื่อนรักฉัน กั้งว่าพร้อมกับเดินมาแตะไหล่ฉันเบา ๆ ก่อนที่เราจะเดินไปนั่งที่หน้าห้องผ่าตัด
“มึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ ต้องไปโรงพักอีก”
“...อึก กูเป็นห่วงมัน” ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันจะรอจนกว่าไอ้เจมส์จะฟื้น
“โอเค เดี๋ยวกูกับไอ้ต้นจะไปโรงพักแทนนะงั้น”
“อืม...”
“มึงอยู่ได้ใช่ไหม เฮ้อ...กูไม่วางใจว่ะ เดี๋ยวอยู่แม่งให้หมดนี่แหละ” เสียงไอ้ต้นทำให้ฉันกระตุกยิ้มบาง ๆ พวกมันคงเป็นห่วงฉันจนไม่อยากไปเดินเรื่องกับตำรวจที่โรงพัก
“ขอบคุณพวกมึงมาก” ฉันว่าเสียงแผ่วเบาพร้อมกับอิงศีรษะไปกับผนังห้องผ่าตัด
“มึงเลิกโทษตัวเองนะชา ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้หรอก มันเป็นอุบัติเหตุ” ฉันไม่ได้พูดอะไรแม้ว่าเพื่อนสองคนที่นั่งขนาบข้างของฉันกำลังพูดไม่หยุด พวกมันกำลังปลอบใจฉันอยู่ และขณะนั้นเองที่มีคนใส่เสื้อกาวน์หลายคนเดินมาทางนี้ และก็พี่พยาบาลคนนั้นเดินมาด้วย
“เอ่อ ห้องนี้ค่ะ หมอติณณ์อยู่ข้างใน” ฉันมองกลุ่มคนที่กำลังเข้าไปในห้องผ่าตัดนี้ด้วยความตกใจ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าทำไมถึงมีหมอหลายคนเข้าไปในนั้น และดูหน้าตาแล้วเหมือนจะเป็นหมออาวุโสด้วย ซึ่งคนที่จะตอบคำถามฉันได้ก็คงเป็นพยาบาลคนเดิมที่กำลังเดินกลับออกมา เธอมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
พรึ่บ!
“ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมคะ”