“แต่ชีวิตซีเอ๋อร์ก็เป็นหนี้บุญคุณท่านแล้ว ต่อไปให้ข้าเป็นช้างม้าวัวควายรับใช้ท่านก็...”
“ข้าบอกไม่ได้ช่วยไม่ได้ยินหรือไร เจ้าโดนทำร้ายจนสมองมีปัญหารึ!”
คราวนี้เขาตวาดเสียงดัง หากไม่เห็นว่าคนตรงหน้าเป็นแค่เด็กหญิง คงได้ลงมือสั่งสอนนางไปแล้ว เด็กหญิงก้มหน้าลงเล็กน้อยคล้ายยอมจำนนไม่ดื้อรั้น เขาจึงปล่อยมือจากไหล่ของนาง แต่พอคิดว่านางกำลังจะฆ่าตัวตายจึงรีบเอ่ยขึ้น
“ถูกแล้ว ชีวิตเจ้าข้าเป็นคนช่วยไว้ เพราะฉะนั้นข้าเป็นเจ้าของชีวิตเจ้า ห้ามเจ้าคิดฆ่าตัวตายอีก”
“ฆ่าตัวตาย?” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นแล้วเอียงคออย่างงุนงง “ผู้ใดฆ่าตัวตายเจ้าคะ”
“ก็เจ้าไง” เขาใช้นิ้วชี้จิ้มที่หน้าผากของเด็กหญิง “ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเดินลงน้ำไปทำไม”
“ท่านผู้มีพระคุณเข้าใจข้าน้อยผิดแล้วเจ้าค่ะ” เด็กหญิงรีบอธิบาย “นายท่านรองบอกให้ข้าน้อยลงไปแช่เท้าที่สระน้ำนี้บ่อยๆ ให้ข้าน้อยฝึกเดินในน้ำ”
ได้ยินถ้อยคำของนางก็ทำให้เด็กหนุ่มหน้าตึงไป เขาก้าวเท้าถอยห่างนางออกมาเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว อย่าได้ลืมเชียวว่าชีวิตเจ้าเป็นของข้าแล้ว”
“เจ้าค่ะ ข้าจะจำใส่ใจไว้” นางส่งยิ้ม ดวงตาเป็นประกายงดงาม
สวินเย่ว์กวาดตามองเด็กหญิงตรงหน้า เขาไม่ได้ใส่ใจนางนัก ตั้งแต่พบกันเมื่อครึ่งปีก่อนก็จำอะไรเกี่ยวกับนางไม่ได้มาก เขาติดตามไต้ซือซูแรมรอนไปทั่วยุทธภพมาสี่ปี เวลาที่ผ่านมามิได้อยู่เปล่าดาย แต่ฝึกฝนวรยุทธ์จนกล้าแกร่ง ผนวกกับคำสอนพุทธศาสนาซึ่งไม่ค่อยจะเข้าไปในหัวของเขาสักเท่าไหร่ ฐานะครอบครัวของเขามิได้อ่อนด้อย เพียงแต่เมื่อติดตามไต้ซือแล้วจึงมักสวมเสื้อผ้าสีดำเรียบง่ายอย่างเคยชิน ทว่าเด็กน้อยผู้นี้ไม่มีกระทั่งปิ่นปักผม เขาถอนหายใจอย่างหงุดหงิดแล้วดึงปิ่นหยกบนศีรษะของตนออกยื่นให้นาง
เด็กหญิงมองอย่างฉงนแต่มิได้รับไว้ ความใจร้อนของเด็กหนุ่มจึงผลักเข้าใส่มือนาง นางประคองไว้ด้วยสองมือแต่แววตายังเต็มไปด้วยคำถาม
“หันหลังมานี่”
“เจ้าค่ะ”
สวินเย่ว์เห็นเด็กน้อยรีบหมุนตัวทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว เขาพลันขมวดคิ้วไม่พอใจ นิสัยนางอ่อนแอเช่นนี้จะมีชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไรกัน เขาจับเส้นผมที่ยาวประบ่าแล้วเกล้าผมอย่างง่ายๆ ปักปิ่นหยกให้นาง ทว่าปลายนิ้วยังสัมผัสถึงรอยแผลของนาง แค่นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนได้กลิ่นเนื้อไหม้
“ท่านผู้มีพระคุณ”
เด็กหนุ่มอ้าปากจะโต้เถียงนางให้เปลี่ยนคำเรียกขานเสียใหม่ แต่เกรงว่า ยามใดนางคิดสั้นขึ้นมาจริงๆ ก็คงน่าเสียดายที่อุตส่าห์มีชีวิต
รอดเช่นนี้ คิดได้ตามนั้นเขาจึงเก็บถ้อยคำเสีย
“ข้าให้” เขาปรายตามองเด็กหญิงอีกครั้ง “เจ้าจะได้จำได้ว่าชีวิตเจ้าเป็นของข้า”
เด็กหนุ่มหมุนตัวเดินจากไป ไม่เหลียวกลับมามองอีก เขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจ นางก็แค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น
เขาไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของนาง เพราะเขาหมุนตัวกลับและเดินจาก
ไปโดยไม่เหลียวมอง เด็กหนุ่มจึงไม่รู้ว่า
เด็กหญิงคนหนึ่งเฝ้ามองด้วยหัวใจที่สัตย์ซื่อต่อถ้อยคำของเขา.
...
‘อย่าได้ลืมเชียวว่าชีวิตเจ้าเป็นของข้าแล้ว’
หญิงสาวมองปิ่นหยกที่อยู่ในกล่องไม้ ถ้อยคำของเจ้าของปิ่นหยกยังคงวนเวียนในความทรงจำของนางเสมอ ผ่านมาห้าปีแล้ว นางไม่ได้พบคนผู้นั้นอีก เพียงแต่รับรู้การเคลื่อนไหวของเขาอยู่เสมอ
เสิ่นฉางซีในวัยสิบห้า นางเพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นมาได้แค่สองวัน ยามนี้กำลังนั่งพับเก็บชุดกระโปรงสีแดงที่ใส่ในวันนั้น ต้องขอบคุณนายหญิงใหญ่ที่เมตตาจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้เด็กกำพร้าอย่างนาง
ผ่านมาห้าปี นางกลายเป็นเด็กกำพร้ามาห้าปีแล้ว เหตุการณ์ในวันนั้นยังคงแจ่มชัด นางยังใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่ายกับใบหน้าอัปลักษณ์และขาที่พิการ ครอบครัวสกุลเกาเป็นสหายกับบิดาของนาง ในวันที่หลบหนีการไล่ล่านั้น บิดาได้ทำการนัดหมายคนสกุลเกาไว้แล้ว แต่ไม่อาจพานางไปส่งถึงทันเวลา เกาฮ่วนปิ่ง ประมุขสกุลเกาและประมุขสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม คนสกุลเกาดูแลนางอย่างดียิ่ง บิดาของนางเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับเกาฮ่วนปิ่ง เกาฮูหยินเองรักใคร่เอ็นดูนาง เดิมทีเคยเปรยอยู่บ้างเรื่องรับนางเป็นบุตรบุญธรรม แต่นางเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ บิดามารดามีนางเพียงผู้เดียว นางอยากใช้แซ่ของบิดาต่อไป ด้วยความที่นางไม่มีญาติพี่น้องที่ใด นายท่านใหญ่เกาฮ่วนปิ่งจึงรับดูแลนาง บาดแผลของนางนั้นได้นายท่านรอง เกาเทียนฉี น้องชายของเกาฮ่วนปิ่งคอยรักษาดูแลนาง เกาเทียนฉีมีนิสัยแปลกประหลาดไปสักหน่อย เขาชื่นชอบการปรุงยา รอบเรือนพักของเขานั้นมีแปลงปลูกพืชสมุนไพร บางครั้งเขาจะหายตัวไปนานนับเดือนเพื่อเสาะแสวงหาสมุนไพรหายาก
เสิ่นฉางซีอยู่ภายใต้การดูแลของเกาเทียนฉีซึ่งเขารู้จักกับไต้ซือซูอยู่ก่อนแล้ว หากแม้นางมิใช่บุตรสาวของเสิ่นจางเหว่ย เกาเทียนฉีย่อมรับรองดูแลนางตามคำฝากฝังของไต้ซือซู อาการบาดเจ็บของนางเรียกได้ว่าสาหัสยิ่ง เท้าข้างหนึ่งก้าวข้ามประตูปรโลกแล้ว แต่ด้วยการรักษายื้อชีวิตไว้ทำให้นางตื่นฟื้นอีกครั้ง ทว่า ‘ฝ่ามืออัคคี’ นั้นทิ้งบาดแผลที่กลายเป็นแผลเป็น บริเวณหน้าผากของหน้ามีรอยแผลเป็นที่ยามนี้เป็นสีชมพูอ่อนจางแล้ว
ชายผู้นั้นใช้เท้ากระทืบท้องของนางก่อนจะกระทืบซ้ำอีกครั้งที่ต้นขา กระดูกต้นขาแตก นางใช้เวลาอยู่บนเตียงเกือบครึ่งปีกว่าจะลงมาเดินได้ แต่ทำให้นางไม่สามารถเดินได้อย่างปกติ แผลเป็นอัปลักษณ์ตลอดจนการเดินที่ต้องลากเท้าขวานั้นยังไม่เลวร้ายเท่าการบาดเจ็บภายในที่ไต้ซือซูได้เตือนไว้แล้วว่า นางบาดเจ็บที่ท้องอย่างรุนแรงไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ และ‘ฝ่ามืออัคคี’ ทำให้นางมีอาการปวดศีรษะอย่างหนักหน่วง นางไม่สามารถเกล้ามวยผมได้ การรวบผมให้เรียบตึงทำให้นางปวดศีรษะจนหลั่งน้ำตา ยามหวีผมต้องสางผมอย่างเบามือ นางจึงทำได้เพียงแค่รวบผมด้วยแถบผ้าเส้นเล็ก หรือเชือกสวยๆ ที่เกาฮูหยินมอบให้ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่สามารถประดับเครื่องประดับใดบนศีรษะได้ แต่กระนั้น นางปรารถนาจะเข้าพิธีปักปิ่น ซึ่งนายท่านและฮูหยินเมตตาจัดการให้นางเสร็จสรรพเรียบร้อย เรียกได้ว่าไม่ด้อยกว่าหญิงสาวคนใดในหมู่บ้าน
“น้องฉางซี”