องครักษ์อัสรัสส์ตบเบาๆ ไปบนลำตัวเจ้าเพกาซัส ราวกับต้องการให้เจ้าอาชาไนยรู้ว่ามันได้ทำดีแล้ว จากนั้นก็ได้เอ่ยบอกเจ้าเหนือหัวในสิ่งที่ตนเองได้แอบไปสืบทราบมา
“กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาททำเวลาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพราะเท่าที่กระหม่อมได้ส่งลูกน้องให้แอบไปลอบสังเกตเจ้าชายจากรัฐอื่น ที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประลองชัยกับฝ่าบาท ไม่มีเจ้าชายพระองค์ใด ที่ทำเวลาได้ดีขนาดนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เราไม่อยากประมาทนะอัสรัสส์ เราอยากทำเวลาให้ได้แค่นาทีเดียว หากเราแพ้เจ้าชายจากรัฐอื่น เราจะต้องถูกเยาะเย้ยไปอีกหลายวัน ท่านพ่อเองก็ต้องเสียพระพักตร์ ที่เราไม่สามารถคว้าชัยชนะไปมอบให้กับพระองค์ได้”
มกุฎราชกุมารผู้หล่อเหลาได้ตรัสบอกองครักษ์ พร้อมกันนั้นก็กระทุ้งเท้าไปบนสีข้างของตัวม้า แล้วบังคับบังเ**ยนให้เจ้าเพกาซัสหันหัวไปทางจุดเริ่มต้น เพื่อที่จะออกเริ่มตะกุยพื้นดินอีกครั้ง
องครักษ์รีบวิ่งไปดักหน้าไม่ให้เจ้าเพกาซัสออกเดินไปข้างหน้า จากนั้นก็ได้เอ่ยขอร้องผู้ที่เป็นเจ้าเหนือหัว
“ฝ่าบาท พักก่อนไม่ดีหรือพ่ะย่ะค่ะ วันนี้ฝ่าบาททรงขี่ม้าตั้งแต่เช้าแล้ว ฝ่าบาทน่าจะพักสักนิด จะได้ให้เจ้าเพกาซัส พักเหนื่อยด้วยน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อองครักษ์ได้เอ่ยเตือนแกมขอร้องไปในตัว เจ้าแห่งทะเลทรายผู้องอาจ ก็ทรงก้มลงมองอาชาไนยคู่กาย ที่พระองค์ทรงนั่งเด่นสง่าอยู่บนหลังและพามันออกตะกุยพื้นทรายออกวิ่งมาหลายชั่วโมงแล้ว พระหัตถ์ใหญ่ที่เต็มไปด้วยความเมตตา ซึ่งได้มอบให้แก่มวลราษฎรในแผ่นดินทะเลทราย รวมทั้งเจ้าสัตว์สี่เท้าที่ทรงเลี้ยงไว้ ได้ลูบเบาๆ ไปตามลำแผงคอของเจ้าเพกาซัส ก่อนจะพึมพำตรัสบอกเจ้าอาชาไนยเบาๆ
“เพกาซัส อีกรอบเดียวเท่านั้น เราจะพาเจ้าตะกุยพื้นทรายอีกแค่รอบเดียว แล้วเราจะให้เจ้าไปพักผ่อนตามที่เจ้าต้องการ”
ราวกับเจ้าเพกาซัส อาชาไนยที่แสนเชื่องจะฟังคำสั่งของเจ้าแผ่นดินที่มันอาศัยอยู่ออก เพราะหลังสิ้นพระสุรเสียงของราชนิกุลหนุ่มแล้ว มันก็ออกวิ่งทันที โดยที่มกุฎราชกุมารฟารีสต์ ไม่ทันได้กระทุ้งเท้าส่งสัญญาณให้มันรู้ด้วยซ้ำไป
“เพกาซัส เจ้าเป็นม้าที่เชื่องที่สุด เท่าที่ข้าเคยเห็นมา”
องครักษ์อัสรัสส์พึมพำออกมาเบาๆ ขณะมองตามเจ้าอาชาไนยสีดำราวกับนิล ที่ทะยานวิ่งออกไปข้างหน้าโดยไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ พาเจ้าเพกาซัสออกวิ่งได้แค่เพียงครึ่งทาง ก็ทรงออกคำสั่งให้อาชาไนยตัวใหญ่ได้หยุดวิ่ง เมื่อพระองค์ได้หันไปเห็นพระบิดา ซึ่งกำลังเดินตีสีพระพักตร์เคร่งเครียด มายังลานประลองความเร็ว พระองค์ได้กระโดดลงจากหลังเจ้าเพกาซัส ก่อนจะเดินเร็วๆ เกือบเป็นวิ่งไปหาพระบิดา ด้วยทรงรับรู้ได้ถึงกระแสแห่งความตึงเครียด ที่แผ่ออกมาจากพระพักตร์ของพระบิดา โดยมีองครักษ์อัสรัสส์เดินตามมาอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน
“ท่านพ่อ มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้เป็นโอรสถามอย่างใจร้อน ทันทีที่ได้เดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องพระพักตร์ของผู้ที่เป็นพระบิดา
“พ่อคิดว่าเป็นเช่นนั้นฟารีสต์” ชีคฟาซิซต์ตรัสตอบสั้นๆ ก่อนจะทรุดพระวรกายนั่งลงบนเก้าอี้หน้าพระวิหารศักดิ์สิทธิ์
“เมฆร้ายกำลังปกคลุมแผ่นดินอัสดารานส์”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์เอ่ยออกมาลอยๆ เริ่มรู้แล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นในแผ่นดินที่พระองค์ได้ปกครองอยู่
ผู้ที่เป็นพระบิดาได้ถอนหายใจยาว ยกพระหัตถ์ขึ้นลูบพระพักตร์ขององค์เอง ก่อนจะตรัสตอบด้วยน้ำเสียงติดเครียดๆ
“ชีคอะเดลากับโอรสและธิดาแสดงสีหน้าสงบนิ่งยิ่งนัก ตอนที่พ่อได้เอ่ยปฏิเสธความต้องการของเขา แต่พ่อรู้ดีว่าลึกๆ นั้นทั้งสามคนกำลังปะทุเดือดด้วยไฟโทสะ และหากเดาไม่ผิด ทันทีที่พ่อเดินออกมาจากแผ่นดินอะเดลา ทั้งสามคนคงได้ระบายอารมณ์โกรธออกมาอย่างเต็มที่”
เจ้าชายฟารีสต์ได้เอื้อมพระหัตถ์ไปจับพระหัตถ์ของพระบิดาได้ จากนั้นก็ตรัวย้ำให้พระบิดาได้คลายความกังวลพระทัย
“ท่านพ่ออย่าได้เป็นกังวลไป ลูกสัญญาว่าจะทำทุกอย่าง เพื่อขจัดเมฆร้ายก้อนนี้ให้ออกไปให้พ้นจากแผ่นดินของพวกเรา”
ชีคฟาซิซต์ถอนหายใจยาวอีกครั้ง พระองค์ไม่ห่วงโอรสหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องพระพักตร์ ซึ่งสามารถดูแลตัวเองให้รอดพ้นจากภัยร้าย จากองค์หญิงอลีมาได้อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่พระองค์กำลังเป็นห่วงในขณะนี้คือดอกไม้งามแห่งอัสดารานส์ องค์หญิงฟาติย่า ซึ่งเป็นที่ต้องการของเจ้าชายอะเดลียิ่งนัก
“ฟารีสต์...พ่อเป็นห่วงติย่า พ่อรู้ว่าเจ้าชายอะเดลีเจ็บแค้นมากที่พวกเราไม่ยกติย่าให้เป็นพระชายาของเขา หากคนรัฐโน้นไม่ชอบทำตัวเป็นหมาลอบกัด พ่อจะไม่ห่วงเลย แต่นี่ทั้งองค์หญิงอลีมาและเจ้าชายอะเดลีต่างก็มีพิษสงไม่แพ้กัน พ่อเป็นห่วงติย่าเกรงว่าจะถูกเจ้าชายอะเดลีลอบมาฉุดไป”
ผู้เป็นพระบิดาคาดเดาว่าคนที่ใจโฉดอย่างเจ้าชายอะเดลี คงไม่นั่งนิ่งเฉยอย่างที่พระองค์เห็นในวันนี้อย่างแน่นอน และพระองค์คิดว่าเจ้าชายผู้นี้คงจะทำทุกวิธีทาง เพื่อให้ได้ครอบครองดอกไม้งามแห่งอัสดารานส์
เจ้าชายฟารีสต์พยักพระพักตร์เห็นด้วยกับคำพูดของพระบิดา ด้วยรู้สันดานของเจ้าชายอะเดลีว่าทรงไม่ยอมให้ใครหักหน้าง่ายๆ อย่างนี้แน่
“ลูกจะสั่งให้องครักษ์เฝ้าติดตามดูแลติย่าเป็นพิเศษ ยังไงๆ ลูกก็จะไม่ยอมให้เจ้าชายอะเดลีมาทำให้ดอกไม้แสนสวยดอกนี้ต้องบอบช้ำ”
“ระวังอย่าให้ติย่ารู้ตัวว่าถูกองครักษ์ติดตามทุกฝีก้าว ไม่เช่นนั้นแล้วติย่าคงได้อาละวาด จนองครักษ์เผ่นหนีแทบไม่ทันแน่”
ชีคฟาซิซต์ไม่ลืมที่จะย้ำเตือนในเรื่องนี้ เพราะทรงรู้ดีว่าธิดาของพระองค์ไม่ชอบให้องครักษ์คอยเฝ้าติดตามอารักขาความปลอดภัย ฟาติย่ามักจะบอกเสมอว่าตนเองนั้นเป็นถึงแชมป์ยูโดของประเทศ ใครก็เข้าใกล้ตัวเธอไม่ได้ง่ายๆ แต่ธิดาแสนสวยของพระองค์มักลืมไปว่าแรงของอิสตรีเพศ หรือจะสู้แรงของบุรุษชายฉกรรจ์ได้ ยิ่งเป็นพวกหมาลอบกัดอย่างเจ้าชายอะเดลีด้วย ฟาติย่ายิ่งไม่มีทางสู้ได้แม้แต่นิดเดียว
“ลูกจะพยายามไม่ให้น้องรู้ตัวว่าถูกติดตามตลอด 24 ชั่วโมงพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้เป็นโอรสได้ตรัสบอกพระบิดาอีกครั้ง จากนั้นก็เผยความในใจ ที่พระองค์อยากจะทำในยามที่แผ่นดินกำลังจะถูกปกคลุมไปด้วยเมฆร้าย
“ท่านพ่อ ถ้าเป็นไปได้ ลูกอยากออกคำสั่งกักบริเวณให้ติย่าอยู่แต่ภายในตำหนัก ภายในพระราชวัง ลูกไม่อยากให้ติย่าออกไปตะลอนๆ เยี่ยมราษฎรอย่างที่ทำอยู่ในทุกวันนี้”