“พี่เองก็ต้องการองค์หญิงฟาติย่าเช่นเดียวกัน เกิดมาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่มีผิวพรรณยองใยราวกับตุ๊กตาเจียระไน งดงามน่าฟัดน่ากินเหมือนองค์หญิงฟาติย่ามาก่อน หากไม่ได้ลิ้มลองดอกไม้สีสวยดอกนี้ พี่คงเสียชาติเกิดและคลั่งตายเป็นแน่”
พอได้พูดถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์แห่งประเทศอัสดารานส์ เจ้าชายอะเดลีก็บังเกิดความกระสั่นอยาก แก่นกายเบื้องล่างเต้นตุบๆ สั่นระริก อยากจมดิ่งเข้าไปในเรือนร่างอันแสนงดงามขององค์หญิงฟาติย่าที่ตนเองเฝ้ามอง เฝ้าโลมเลียผ่านสายตามานานนับหลายปีแล้ว
“หากพวกเจ้าทั้งสองคนสามารถครอบครององค์หญิงฟาติย่าและชีคฟารีสต์ได้ พวกเราก็จะพ้นจากคำว่าอดตาย พ้นจากคำว่าล้มละลาย และที่สำคัญพวกเราจะมีเงินทองให้จับจ่ายใช้สอยได้อย่างไม่ขาดมือ”
ชีคอะเดลากระตุ้นเตือนให้โอรสและธิดา ได้นึกถึงสภาพความเป็นจริงของแผ่นดินที่พวกตนกำลังยืนอยู่ หากไม่รีบจัดการให้ราชนิกุลหนุ่มและองค์หญิงผู้สูงศักดิ์มาตกอยู่ในกำมือ พวกเขาคงได้กินเม็ดทรายต่างข้าวอย่างแน่นอน
องค์หญิงอลีมาเหยียดยิ้มตรงมุมปาก ก่อนจะเอ่ยตอบให้พระบิดาได้คลี่ยิ้มออกมาบ้าง
“ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเพคะ ยังไงๆ อลีมาก็จะทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้ชีคฟารีสต์มาเป็นของอลีมา”
“หากได้องค์หญิงฟาติย่ามานอนอยู่ใต้เรือนร่าง คงทำให้ลูกสนุกกับเกมรักจนลืมไม่ลง”
เจ้าชายอะเดลียิ้มหื่นกระหาย ดวงตาลุกวาบด้วยไฟราคะ อยากครอบครองจับจองเป็นเจ้าของในเรือนร่างที่แสนอะร้าอร่าม ขององค์หญิงแห่งแผ่นดินอัสดารานส์
“พวกเจ้าทั้งสองจะจัดการอย่างไรให้ได้ครอบครององค์หญิงฟาติย่ากับชีคฟารีสต์”
ผู้เป็นพระบิดาเริ่มถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดใจ ที่โอรสธิดาต่างก็พร่ำรำพันถึงความหิวกระหายใจตัวราชนุกุลหนุ่มและองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ แต่ทว่าโอรสธิดาของพระองค์ก็ไม่เห็นทำอะไรให้เป็นรูปธรรม ตามถ้อยวาจาที่ได้เอ่ยออกมา
“ท่านพ่อใจเย็นสิเพคะ” องค์หญิงอลีมาต่อว่าพระบิดาติดน้ำเสียงขุ่นๆ ก่อนจะเอ่ยบอกเสียงเย็น “ในวันราชาภิเษก สถาปนาชีคฟารีสต์ขึ้นเป็นประมุขแห่งประเทศอัสดารานส์ อลีมาได้เตรียมของขวัญพิเศษไว้ให้ท่านชีคพระองค์ใหม่แล้ว รับรองว่าชีคฟารีสต์ต้องนึกไม่ถึงกับเรื่องเซอร์ไฟรส์ในครั้งนี้แน่นอนเพคะ”
ประมุขแห่งรัฐอะเดลาคลี่ยิ้มออกมาได้ จากนั้นก็หันไปมองโอรสที่ยังนั่งนิ่งเฉย ก่อนจะตรัสถามออกมา เพื่อให้มั่นใจว่าโอรสหนุ่มจะไม่ทำให้พระองค์ต้องผิดหวัง
“แล้วเจ้าล่ะอะเดลี เจ้าจะเผด็จศึกองค์หญิงฟาติย่าด้วยวิธีใด”
“อีกไม่นานท่านพ่อก็จะรู้เองพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้ที่ถูกเอ่ยถามได้หัวเราะร่วนในลำคอ ไม่ยอมตอบคำถามให้พระบิดาได้ชื่นใจ จากนั้นก็ได้หันไปส่งสายตาให้กับองค์หญิงอลีมา ผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตนเอง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้อง
องค์หญิงอลีมาคลี่ยิ้มอย่างกระหาย รู้เท่าทันถึงสายตาที่เชษฐาได้ส่งกระแสมา พอเชษฐาเดินพ้นจากห้องไปแล้ว เธอก็ได้ลุกขึ้นยืนบ้าง แต่ไม่ทันได้ก้าวออกจากห้อง ก็ถูกพระบิดาทักท้วงเสียงเย็น
“อย่าทำอะไรประเจิดประเจ้อมากนัก เดี๋ยวคนในวังจะเห็นเข้า และหากเรื่องเข้าถึงหูของชีคฟารีสต์กับองค์หญิงฟาติย่า พวกเจ้าทั้งสองคนจะไม่ได้รับในสิ่งที่ต้องการ”
องค์หญิงผู้งดงามแค่รูปกายภายนอก ได้จ้องมองพระบิดาเขม็ง แล้วเอ่ยตอบเสียงเย็นไม่แพ้กัน
“ยังไงคนแผ่นดินโน้นก็ไม่มีทางรู้หรอกค่ะ อลีมาและท่านพี่ได้เก็บความลับเรื่องนี้ไว้เป็นอย่างดี ไม่เคยรั่วไหลถึงหูใครทั้งนั้นเพคะ”
เอ่ยตอบพระบิดาไปแล้ว องค์หญิงอลีมาก็รีบเร่งเดินออกจากห้อง เพื่อไปทำตามที่หัวใจและเรือนร่างกระสั่นต้องการ
องค์หญิงผู้สูงศักดิ์มั่นใจว่าเป็นเช่นนั้น มั่นใจว่าการกระทำที่ผิดทำนองคลองธรรม ไม่สมควรอย่างยิ่งในหมู่พี่น้องของตนเอง ไม่มีใครล่วงรู้ แต่ทว่าองค์หญิงอลีมาไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เธอพยายามปกปิดไว้เป็นความลับ มันได้ล่องลอยถึงหูของมกุฎราชกุมารฟารีสต์มานานหลายปีแล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้มกุฎราชกุมารฟารีสต์ผู้องอาจ ไม่อาจทำใจยอมรับในตัวองค์หญิงผู้นี้
ณ วิหารศักดิ์สิทธิ์ มีการจัดลานประลองความเร็วในการควบเจ้าพายุอย่างอาชาไนยผู้คงศึก อยู่ที่ด้านหน้าวิหาร มกุฎราชกุมารฟารีสต์ทรงนั่งอยู่บนหลังเจ้าเพกาซัส พ่อม้าฝีเท้าจัดพันธุ์มอร์แกนสีดำสนิท ทรงฝึกซ้อมให้เจ้าอาชาไนยที่แสนเชื่องและจงรักภักดีต่อพระองค์ ไม่ต่างจากองครักษ์อัสรัสส์ ได้ออกแรงเร่งฝีเท้าตะกุยพื้นทราย เพื่อไปคว้าชัยชนะที่รอคอยอยู่ข้างหน้า
“เวลาเป็นยังไงบ้างอัสรัสส์”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ตะโกนถามเสียงปนหอบ เมื่อควบเจ้าเพกาซัสมาถึงเส้นชัย ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเริ่มต้นเป็นระยะทางสองร้อยเมตรพอดี
องครักษ์อัสรัสส์รีบวิ่งเข้าไปจับบังเ**ยนเจ้าเพกาซัส พ่อม้าฝีเท้าจัดให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ เมื่อมกุฎราชกุมารหนุ่มได้ควบมันมาจึงถึงเส้นชัยแล้ว จากนั้นก็ได้เอ่ยตอบคำถามที่เจ้าชายแห่งทะเลทรายได้เอ่ยถามไปก่อนหน้านี้
“เวลาใช้ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เท่าไร?...อัสรัสส์”
ราชนิกุลผู้หล่อเหลาตรัสถามองครักษ์เอกอย่างใจร้อน ไม่รู้ว่าพระองค์ทำเวลาได้ดี อย่างที่อัสรัสส์ได้เอ่ยบอกหรือเปล่า
อัสรัสส์ก้มลงมองตัวเลขเวลา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบเจ้าเหนือหัว “ฝ่าบาททรงใช้เวลาไป 1นาทีกับอีก 50 วินาทีพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ดีเท่าไรเลยอัสรัสส์ เราต้องการทำเวลาให้ได้แค่นาทีเดียว ไม่เช่นนั้นเราอาจแพ้คนอื่นได้”
พระพักตร์คมเข้มของมกุฎราชกุมารฟารีสต์ เผยให้เห็นริ้วรอยแห่งความไม่พอใจ ดังที่ได้เอ่ยออกมา พระองค์ต้องทำเวลาให้ได้ดีกว่านี้ หากต้องการเอาชนะบรรดาเจ้าชายจากรัฐอื่น ที่จะมาเข้าร่วมพิธีสถาปนาพระองค์ให้เป็นประมุขแห่งอัสดารานส์
ตามประเพณีดั้งเดิมของประเทศอัสดารานส์ ในวันราชาภิเษก สถาปนามกุฎราชกุมารให้ขึ้นนั่งราชบัลลังก์ ราชนิกุลหนุ่มผู้ถูกชะตาฟ้าลิขิตให้เป็นเจ้าแผ่นดิน จะต้องแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์ทั่วทั้งแผ่นดิน ด้วยการควบเจ้าอาชาไนยไปคว้ากริชทองคำ ซึ่งปักเด่นอยู่บนแท่นไม้ มามอบให้กับชีคพระองค์เดิม ซึ่งในการแข่งขันจะมีเจ้าชายจากรัฐอื่นๆ ที่ถูกเชิญมาร่วมเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ ได้เข้าร่วมแข่งขันในครั้งนี้ด้วย ซึ่งมกุฎราชกุมารฟารีสต์ จำเป็นต้องฝึกฝนกุมบังเ**ยนให้ อาชาไนยคู่ใจทำเวลาให้ดีที่สุด ดีพอที่จะไปคว้ากริชทองคำมามอบให้กับพระบิดาของพระองค์ให้ได้