จามรีอาสามาส่งสายศิลป์ ซึ่งอิดออดอยู่พักใหญ่ แต่ยอมใจอ่อนเมื่อจามรีเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย เพราะกว่าจะแยกย้ายจากร้านขนมก็ถือได้ว่าค่อนข้างดึก จึงยอมที่จะขึ้นรถมาด้วย อีกอย่างจามรีเป็นญาติ กับปยุดาและกรวิกา ซึ่งทั้งสองเป็นพี่ที่สนิทสนมกับปกป้องซึ่งเป็นเพื่อนรัก และตัวสายศิลป์เองเคารพนับถือทั้งสองคนด้วยเช่นกัน
“ขอบคุณนะคะ” สายศิลป์ยิ้มและพนมมือไหว้
“ยินดีค่ะ ฝันดีนะ” จามรียิ้มให้กับคนที่ยิ้มสวยๆ ให้ก่อนที่จะลงจากรถแถมยังโบกมือให้ จามรีมองตามสายศิลป์จนเดินเข้าไปภายในอาคารซึ่งคล้ายกับอพาร์ทเม้นท์กลางเก่ากลางใหม่อยู่ไม่ไกลจากสถาบันการศึกษาที่สายศิลป์เรียนอยู่มากนัก เรียกได้ว่า เดินไปได้อย่างสบาย
“หอพักหญิงเบญจา” จามรีอ่านป้ายซึ่งอยู่ด้านหน้า ตอนแรกลังเลเพราะท่าทางอิดออดของสายศิลป์ซึ่งมีคนรักอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นหอพักทำให้สบายใจมากขึ้น เพราะคงไม่ทำให้สองสาวซึ่งเป็นคนรักกันมีปัญหา
“โล่งใจไปหน่อย” จามรียิ้มน้อยๆ หันไปมองอีกทีเห็นสายศิลป์เข้าไปภายในอาคารที่พักแล้วจึงเคลื่อนรถเพื่อตรงกลับบ้าน
จามรีมีคุณยายทวดซึ่งอายุอานามเกือบจะร้อยปีเห็นจะได้ ถือได้ว่ายังสุขภาพแข็งแรงและความจำยังดีอยู่ จามรีจะแวะมากราบ
หรือทักทายท่านหากกลับมาถึงบ้านไม่ว่าจะมืดค่ำขนาดไหน หากท่านหลับไปแล้วก็จะเข้ามากราบเงียบๆ ก่อนจะไปเข้านอน
“แป้งน้ำหอมดีนะ” คุณยายทวดพูดขึ้น จามรีอมยิ้ม
“ดึกแล้วนะคะ ยังไม่นอนอีก คุณทวด”
“ได้กลิ่นแป้งหอมๆ เลยตื่น เด็กดีนะ ไปนอนเถอะลูก” คุณยายทวดหลับตาลงอีกครั้ง จามรียิ้มน้อยๆ ไม่คิดว่ากลิ่นแป้งน้ำจะติดกลับมาจนทำให้คุณยายทวดทัก
“ฝันดีนะคะ ขอมาทานอาหารเช้าด้วยนะคะ คุณทวด” จามรีหอมแก้มท่านก่อนจะไปอาบน้ำและเข้านอน
สายศิลป์กำลังจะเข้านอน จึงหยิบโทรศัพท์มาส่งข้อความถึงสุวีร์ว่ากลับถึงหอพักเรียบร้อยและกำลังจะเข้านอนแล้ว แต่เสียงเรียกเข้าทำให้ยิ้มกว้างขึ้น
“เหนื่อยไหม” สุวีร์ถาม
“วาดรูป จะเหนื่อยได้อย่างไรคะ แต่ได้ค่าขนมมาเยอะเชียว”
“นอนได้แล้ว ฝันดี รักนะแม่สาวอาร์ทติส” สุวีร์ยิ้มๆ อยู่ในความมืด
“รักพี่วีร์ ฝันดีค่ะ พรุ่งนี้เจอกันไหม”
“คิดถึงล่ะสิ” สุวีร์แกล้งพูดแหย่
“นิดหน่อยค่ะ” สายศิลป์หัวเราะคิกคัก
“พี่โทรฯ แจ้งสายๆ นะคะ มีประชุมไม่รู้จะยาวนานขนาดไหน”
“วันอาทิตย์ยังทำงานอีก” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ
“อาจารย์ยุคใหม่ วันหยุดไม่ค่อยมี ไม่งอแงเนอะ รอที่หอนะ”
“รับทราบค่ะ รักนะ พี่วีร์” สายศิลป์ยิ้มๆ
“รักมากกว่าอีก ไปนอนได้แล้ว”
“เจ้าค่ะ”
สายศิลป์อมยิ้มกับความน่ารักของสุวีร์ ซึ่งเป็นคนรักมาสองสามปี มีความน่ารักสม่ำเสมอในความห่วงใยและเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี และยิ้มไปถึงคนที่ยอมให้เลี้ยงขนมเมื่อช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา จากที่ตั้งแง่ไม่ชอบหน้ามาก่อนหน้านี้ แต่ยิ่งได้รู้จักได้พูดคุยกันมากขึ้นทำให้รู้สึกว่า จามรีไม่ได้เป็นคนที่กวน หรือวุ่นวาย จุ้นจ้านอะไรนัก สายศิลป์ยิ้มกว้างมากขึ้นเมื่อนึกถึงวันแรกที่ได้พบกันและพูดจากวนๆ เป็นการเริ่มต้นของการได้ทำความรู้จัก แต่วันนี้ที่ได้พบกันคล้ายคนละคนเลยก็ว่าได้ สายศิลป์กดดูข้อความที่ถูกส่งเข้ามาค่อยๆ ไล่เปิดและตอบกลับไป ไม่อยากจะเชื่อว่า จะมีพี่ๆ ที่ทำงานสนใจรูปวาดการ์ตูนมากมายขนาดนี้ เพียงแค่เจ้านายของทุกคนเปลี่ยนรูป ภาพประจำตัวซึ่งเป็นรูปที่สายศิลป์วาดให้ บางคนที่เคยรู้จักและได้พูดคุยคงวาดได้ไม่ยากนัก แต่กับคนที่เพียงแค่ยิ้มๆ ให้กันจะทำอย่างไรดี คงต้องไปชวนพูดคุยทักทายก่อนที่จะวาดรูปออกมา เพราะไม่อย่างนั้นถือว่าทำงานแบบขอไปทีและคงได้ทำงานอยู่ที่หอพักไม่ต้องออกไปไหน เหมือนที่เจ้านายได้กล่าวเอาไว้ สายศิลป์ยิ้ม
“ขอบคุณค่ะ ลูกค้ามาหลายสิบคนเลย ฝันดีนะคะ” สายศิลป์พิมพ์ส่งข้อความถึงจามรี ซึ่งเพียงแค่อ่านแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
“นอนได้แล้วนะ จะได้ตื่นมาวาดรูปหาสตางค์ตั้งแต่เช้า ยายอาร์ต” สายศิลป์อมยิ้มอย่างรู้สึกสุขใจ
กลิ่นแป้งที่กลับมาเตือนย้ำในความรู้สึก ตั้งแต่คุณยายทวดพูดทักทำให้กลิ่นนั้นกลับมาชัดเจนอีกครั้ง หอมชื่นใจตั้งแต่สายศิลป์มานั่งอยู่ใกล้ๆ และได้พูดคุยกันอยู่พักหนึ่งเมื่อช่วงเย็นจนค่ำ แถมยังได้ขับรถไปส่งจนถึงหอพัก จามรียิ้มๆ หลังได้อ่านข้อความที่สายศิลป์ส่งมาขอบคุณรวมถึงยังทิ้งท้ายค่ำว่า ฝันดี แต่จามรีเลือกที่จะไม่ตอบข้อความกลับไป เพราะก่อนหน้านั้นได้บอกฝันดีไปแล้ว ตั้งแต่ขับรถไปส่ง
“ฝันดีอีกครั้งนะ ยายแป้งหอม” จามรีรำพึงออกมาเบาๆ และหลับไปพร้อมด้วยรอยยิ้ม
เช้าวันทำงานที่จามรีเข้ามาช้ากว่าทุกวัน เพราะต้องแวะไปทำธุระที่อื่นก่อน เปิดประตูเข้ามาเห็นถุงข้าวต้มมัดกับกาแฟเย็นวางอยู่ แปลกใจ เล็กน้อย แต่พอนั่งลงครู่เดียว เลขาก็เข้ามารายงานเรื่องงานให้ทราบเห็นเจ้านายมองถุงขนมจึงยิ้มๆ และทำท่าจะเดินไปหยิบแก้วกาแฟเย็นที่น้ำแข็งละลายไปจนไม่น่าดื่มแล้ว
“เดี๋ยวไปจัดการให้ใหม่นะคะ เย็นหรือร้อนดีคะ” เลขาถาม
“วางไว้เถอะค่ะ ขอบคุณนะคะ ว่าแต่ใครเอามาให้คะ” จามรีถาม
“เด็กฝึกงานค่ะ เอามาให้ตั้งแต่เช้าแล้ว”
“ขอบคุณค่ะ” จามรีรอจนเลขาออกไปแล้ว จึงหัวเราะหึๆ กับขนมและกาแฟ ในเมื่อคนให้ตั้งใจมาให้ก็ควรจะดื่มเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ จามรีดื่มกาแฟคล้ายคนกระหายน้ำเพราะดื่มหมดไปครึ่งแก้ว และเริ่มแกะข้าวต้มมัดทานไปหนึ่งมัด อิ่มท้องสบายจนถึงกับยิ้มออกมา จามรีมีประชุมหลายเรื่องโดยเฉพาะเรื่องการตลาดกับตุลย์อดีตคนรักของกรวิกา ตุลย์เป็นคนเอาจริงเอาจังกับการทำงาน และมีแนวคิดใหม่ๆ มานำเสนออยู่ตลอด บางทีช่วงวิกฤตอาจจะทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงเพื่อที่จะทำชีวิตให้ดีขึ้น แต่คนเราคงไม่มีใครเข้าใจความรักนักหรอก จามรียิ้มน้อยๆ เมื่อคิดถึงเรื่องราวระหว่างตุลย์กับอีกสองสาวที่เป็นคนรักกัน หากรู้จักปล่อยวางชีวิตก็จะพบเจอความ สุขสามารถดูตัวอย่างได้จากผู้ชายที่ยังคงต้องใช้ไม้เท้าในการช่วยพยุงตัวเพื่อ ที่จะได้เดินไปไหนมาไหนได้ แววตาอันสดใสและมีความมุ่งมั่นนั่นได้แสดง ให้เห็นว่า ตุลย์เปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงทำให้ผู้ชายคนหนึ่งกลับมามีความ สุขถึงแม้จะไม่มีคนรักเคียงข้างเหมือนแต่ก่อน
“ขอบคุณนะคะ พี่ตุลย์ มีหวังเราสองคนได้โบนัสสิ้นปีกันแน่นอน” จามรียิ้มๆ ให้กับตุลย์ที่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยิน
“ผมจะทำให้เต็มที่และเต็มกำลังเลยครับ” ตุลย์ยิ้มให้จามรี
“ทานกลางวันด้วยกันไหมคะ” จามรีเอ่ยชวน
“ตามสบายเลยครับ เพราะของผมแม่จัดเตรียมมาให้แล้ว จะได้ไม่ต้องเดินไปไหนมาไหนมากนัก” ตุลย์บอกและยิ้มให้จามรี
“อีกไม่นาน คงไม่ต้องใช้ไม้เท้าแล้วล่ะคะ ท่าทางเดินคล่องขึ้นมากแล้วนะคะ พี่ตุลย์”
“ขอบคุณครับ ขอตัวก่อนนะครับ” จามรีช่วยพยุงตุลย์ให้ลุกขึ้น
หลังจากเสร็จจากการประชุมจามรีกลับมาที่ห้องทำงานหยิบถุงขนมที่ทานหมดแล้ว รวมถึงแก้วกาแฟที่หมดแล้วเช่นกันนำออกมาทิ้งที่ด้านนอกพอดีกันกับที่สายศิลป์เดินออกมาจากแผนกออกแบบเห็นเข้าพอดี ยืนมองดู
คนที่กำลังหย่อนบางสิ่งบางอย่างลงถังขยะ
“เข้าสายไม่ใช่หรือคะ เมื่อเช้า” สายศิลป์พนมมือไหว้ทักทายและถามเมื่อมองเห็นถุงขนมกับกาแฟที่หมดเกลี้ยงและถูกหย่อนลงในถังขยะ
“ข้าวต้มมัดอร่อยดี ขอบคุณนะ เข้ามากำลังหิวพอดีเลยเหมือนช่วย ชีวิตเอาไว้” จามรีบอก
“กาแฟน่ะ ไม่ละลายหมดหรอกหรือคะ” สายศิลป์ถาม
“กินหมดไปแล้ว” จามรียิ้มให้สายศิลป์ที่ส่ายหน้า
“ละลายแล้วไม่ต้องทานก็ได้นะคะ เดี๋ยวก็ปวดท้อง” สายศิลป์พูดคล้ายดุ แต่รอยยิ้มจางลงเพราะรู้ว่าไม่ควรพูดออกไปอย่างนั้น
“เออ ลืมนึกไปเรื่องปวดท้อง จะไปทานข้าวหรือ” จามรีถามเพราะเห็นสายศิลป์ออกมาเพียงลำพัง
“พี่วีร์มารออยู่ข้างล่างค่ะ” สายศิลป์บอก
“ถ้าอย่างนั้นรีบไปเถอะ เดี๋ยวเขาจะรอนาน”
“ค่ะ ลงไปพร้อมกันไหมคะ” สายศิลป์ยิ้มจางๆ ให้
“ไปเถอะ ขอเข้าห้องน้ำล้างไม้ล้างมือก่อน ขอบคุณอีกครั้งนะ”
สายศิลป์มองดูสุวีร์ ซึ่งท่าทางคงจะหิวเพราะยังไม่ค่อยได้พูดคุยอะไรกันมากนัก แต่พออาหารถูกยกมาวางให้แทบจะไม่พูดคุยนั่งทานเงียบ สายศิลป์จึงช่วยตักอาหารใส่จานให้
“ไม่ได้ทานมื้อเช้าหรือคะ” สายศิลป์ถาม
“ใช่ หิ้วท้องมาทานกับคนสวยแถวนี้ไง” สุวีร์ยิ้มให้กับคนที่อมยิ้ม กับคนที่ช่างพูดหยอดอยู่เสมอ
“น่าสงสารนะเนี่ย” สายศิลป์หัวเราะ
“สงสารจริงเปล่า ตอนเย็นมารับไปนอนบ้านพี่นะ นะ” สุวีร์พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
“พรุ่งนี้ทำงาน ไว้วันหยุดได้ไหมคะ” สายศิลป์บอก
“ไม่เอา คิดถึงจะแย่ จะไม่ดื้อ ไม่กวนด้วยนะ นะ กอดเฉยๆ”
“ไม่เชื่อหรอกค่ะ ว่าแต่ไปทำอะไรมาท่าทางดูเหนื่อยๆ” สายศิลป์ชวนเปลี่ยนเรื่องพูดคุย
“นอนไม่ค่อยหลับ คิดถึงคนสวย” สุวีร์ยิ้มและจ้องมองสายศิลป์ที่ยิ้มอายๆ และส่ายหน้ากับความช่างยั่วเย้าของคนรัก
“ปากหวานตลอด ไม่ได้ทำผิดอะไรมาใช่ไหมคะ”
“เดี๋ยว เหมือนกำลังโดนสอบสวนเลยนะ” สุวีร์พูดเสียงเข้ม
“เอ๊าไม่ได้ทำอะไรผิด จะมาเสียงเข้มใส่อาร์ตทำไมล่ะ”
“ทำมาหลอกถาม อาร์ตล่ะ หนุ่มๆ มองกันตาไม่กระพริบเลยตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว ที่แผนกมีกี่คน” สุวีร์ถามเสียงเข้มและทำหน้า
นิ่งๆ
“หลายคนอยู่ค่ะ กะโปโลอย่างอาร์ต หนุ่มที่ไหนจะมอง”
“สาวล่ะ มีมองไหม” สุวีร์ถามเสียงเข้มมากกว่าเดิม ภาพของจามรีผ่านเข้ามาในความคิดครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถาม
“ไม่บอกหรอก น่าจะมีบ้าง” สายศิลป์หัวเราะ เมื่อเห็นสุวีร์ทำหน้างอและเงียบไป
“ตามใจ ไม่บอกก็อย่าบอก”
“ขี้งอนว่าจะเดินไปส่งที่รถแล้วให้กอด เปลี่ยนใจดีกว่า” สายศิลป์พูดขึ้นลอยๆ และทำเป็นไม่สนใจสุวีร์
“จูบทีหนึ่ง หายงอนเลย” สุวีร์ยิ้มทะเล้นให้
“ใส่ชุดนักศึกษาอยู่นะคะ ได้แค่กอดเนอะ” สายศิลป์อมยิ้มให้กับคนที่พยักหน้าแต่ยังคงทำหน้าจ๋อยอยู่
“จ้ะ เอองานอาร์ตน่ะ มีคนซื้อไปแล้วนะ”
“หรือคะ” สายศิลป์รู้สึกแปลกใจ
“เห็นมีป้ายติดเอาไว้แล้ว แต่พี่ไม่รู้ว่าคนซื้อเป็นใคร” สุวีร์บอกรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน
“ดีจัง ของอีตาปกป้อง แม่พี่ยุ่งซื้อไปตั้งแต่วันเปิดงานแล้วค่ะ ซึมซับความสามารถมาจากพี่กรแน่ๆ เลย เจอกันบ่อยๆ” สายศิลป์
บ่นพึมพำ
“ขี้บ่นนะเนี่ย” สุวีร์หัวเราะหึๆ
“พี่วีร์ อาร์ตไม่อยากทำงานประจำ” สายศิลป์พูดคล้ายปรึกษา
“ที่นี่ไม่โอเคหรือไง เห็นว่าถ้ามีผลงานจะรับเข้าทำงานไม่ใช่หรือ”
“มันอึดอัดค่ะ อาร์ตเป็นพวกอยู่ไม่สุข สมาธิสั้นด้วยมั้ง” สายศิลป์ถอนใจ
“ไม่ลองดูสักพักล่ะ”
“นี่ก็ลองอยู่ไง ถ้าทำงานประจำ เวลาอยากเขียนรูปกว่าจะถึงบ้านหมดสภาพพอดี” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ
“ถ้าภาพขายไม่ได้ล่ะ จะทำอย่างไรจ้ะ”
“พี่วีร์ว่า อาร์ตจะเป็นได้สักนิดของพี่กรไหม” สายศิลป์ยิ้มอายๆ
“ถ้าคนเรียนศิลปะ วาดภาพได้อย่างคุณกรทุกคน ภาพเขียนคงไม่มีราคาหรอกมั้ง มีหวังขายได้ราคาหลักพัน บอกเองว่าสมาธิสั้น ชอบทำโน่นทำนี่ ภาพเขียนแต่ละภาพน่ะ ใช้เวลานะ ข้าวก็ต้องกิน หอก็ต้องเช่า”
“ได้หรือไม่ได้ เอาชัดๆ” สายศิลป์ถามเสียงเรียบ
“ชัดแล้วจะโกรธไหมล่ะ” สุวีร์ถาม
“ไม่ค่ะ” สายศิลป์ยิ้มน้อยๆ ให้
“ป้องน่าจะได้นะ เพราะเหมือนจะค้นหาตัวเองเจอ ส่วนอาร์ตยังไม่ชัดเจนเท่าผลงานของป้องนะ พี่ว่า” สุวีร์แอบถอนใจ
“ให้กำลังใจมากเลย” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ หันไปมองด้านข้างซึ่งมีร้านอาหารอีกร้าน มองเห็นจามรีรับประทานอาหารอยู่
เพียงลำพัง
“หรืออยากให้โกหกล่ะ” สุวีร์ถามตรงๆ
“คงจริงอย่างที่พี่วีร์ว่ามา” สายศิลป์มองดูนาฬิกาข้อมือของสุวีร์
“อย่าหนีนะ ต้องให้กอดก่อนไป” สุวีร์แกล้งพูดดุ
“ไปส่งที่รถไม่ทันแล้ว กอดตรงนี้จะน่าเกลียดไหม” สายศิลป์ถามแอบชำเลืองมองไปทางที่จามรีนั่งอยู่ แต่ท่าทางคงจะไม่เห็น
“ผู้หญิงกอดกัน ไม่มีใครรู้หรอก” สุวีร์จ่ายค่าอาหารและเดินมาส่งสายศิลป์ที่หน้าลิฟต์ซึ่งสาวน้อยเข้าสวมกอดเอาไว้หลวมๆ แต่
สุวีร์ดึงตัวมากอดเอาไว้เสียแน่น
“ไอ้ที่พี่กอดน่ะ คนอื่นรู้หมดแล้ว” สายศิลป์อมยิ้ม แต่รอยยิ้มต้องหุบลง เมื่อเห็นจามรีเดินมาหยุดยืนอยู่ด้านหลัง
“ไม่เอาป้ายห้อยคอว่ามีแฟนแล้ว ก็บุญแล้วล่ะ ไปแล้วนะ เด็กน้อย ขยันๆ นะจ๊ะ เผื่อได้เรียกตัวเข้าทำงานหลังจากฝึกงานเสร็จ”
สุวีร์ยิ้มให้คนทำหน้าบูด
“ขับรถดีๆ นะคะ”
“ค่ะ” สายศิลป์ถอนใจ เพราะเหลือบไปเห็นจามรียืนอยู่ห่างๆ หันไปมองทางอื่น จนกระทั่งสุวีร์ไปแล้ว จึงเดินเข้ามายืนรอลิฟต์
และยิ้มน้อยๆ ให้กับสายศิลป์ที่รู้สึกอายไม่กล้าที่จะพูดคุยอะไรด้วย จนกระทั่งลิฟต์ขึ้นมา ถึงชั้นที่ทำงาน
“ระวังหน่อยนะ ยังใส่ชุดนักศึกษาอยู่เลย คนอื่นอาจจะมองไม่ดี”
“ขอโทษค่ะ อาร์ตจะระวังไม่ให้เสียหายมาถึงบริษัท”
“เราไม่ได้หมายถึงบริษัท เราหมายถึงเธอ” จามรีพูดแล้วทำท่าจะเดินไปที่ห้อง
“ดูออกหรือคะ” สายศิลป์ถามเสียงอ่อยๆ
“อือ สังคมที่นี่อาจจะต่างจากที่มหาวิทยาลัยนะ อีกอย่างพี่ยุ่งกับ พี่กรฝากให้ช่วยดูแล” จามรีพูดอ้างไปถึงปยุดากับกรวิกา
“นึกว่าเป็นห่วง” สายศิลป์รำพึงออกมาเบาๆ
“ถ้าไม่ห่วง ก็คงไม่เตือน” สายศิลป์ยิ้มน้อยๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่คนทำหน้านิ่งๆ พูดขึ้น ก่อนเดินเข้าห้องไป
“แต่ก็จริงอย่างเขาว่านะ” สายศิลป์รำพึงออกมาอีกครั้ง