ปยุดากระหยิ่มยิ้มย่อง แอบชำเลืองมองคนที่สวมแว่นกันแดดหลับ ตาพริ้มอยู่ที่เก้าอี้ข้างสระน้ำ ชุดว่ายน้ำชุดใหม่ที่แอบซื้อมาเชื่อว่า ถ้ากรวิกาได้เห็นเข้ามีหวังโดนดุแน่ๆ แต่แม่จอมยุ่งช่างยั่วคิดเพียงแค่อยากแกล้งคนรักซึ่งพักหลังชอบพูดว่าหวงอยู่บ่อยๆ ทำให้อยากรู้ว่า หวงจริงจังขนาดไหน
เสียงของคนที่กระโดดลงไปในสระว่ายน้ำ จนน้ำกระเซ็นโดนเข้าที่ตัวของกรวิกาซึ่งรู้ได้เลยว่า โดนปยุดาแกล้งเข้าให้แล้ว จึงทำเป็นนิ่งเฉยยิ้มเมื่อได้นึกถึงเรื่องราวก่อนที่จะได้รู้จักกัน ถึงแม้จะเป็นเพียงความฝันแต่กลับทำให้สามารถจดจำท่วงท่าการยั่วยวนได้อย่างแม่นยำ
“ไอ้คนใจร้าย ทำเป็นไม่สนใจนะ เดี๋ยวถอดเสื้อตัวบนออกซะเลยนี่” ปยุดาหัวเราะเล็กๆ กับความคิดของตัวเองระหว่างที่ว่ายน้ำอยู่แอบมอง ไปทางกรวิกาบ้าง แต่รายนั้นยังคงนอนหลับสบายอยู่เหมือนเดิม
“แดดแรงแล้ว กรจะขึ้นไปที่ห้องแล้ว ยุ่งจะขึ้นไปพร้อมกันไหม”
“ไม่ ไม่ต้องมายุ่ง ไม่ต้องมาสนใจเลย” ปยุดาออกอาการกระเง้า กระงอดให้เห็น แต่กรวิกาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เดินลิ่วๆ กลับขึ้นไป
ยังห้องพัก
“ขยันยั่ว ขยันยุ่ง จริงๆ เล๊ย แม่ตัวดี เดี๋ยวเหอะ ตามขึ้นมาก่อนจะเล่นงานให้น่าดูเลย” กรวิกาหัวเราะเล็กๆ โดยไม่ได้หันกลับไปมองปยุดาที่ยัง คงว่ายน้ำอยู่ ทำทีเป็นไม่สนใจกรวิกาเช่นกัน
กรวิกานอนอยู่บนเตียงนอนสีขาวสะอาด หนังสือเล่มเดิมถูกพลิกหน้ากระดาษ ปยุดาทำหน้าง้ำมองดูอยู่ครู่หนึ่ง แต่คนรักยังคง
สนใจหนังสือที่ถืออยู่ในมือ
“นี่แน่ะ ทำเป็นเฉยเมยดีนัก” ปยุดาหัวเราะคิกคัก เมื่อกระโดดขึ้นเตียงและทาบทับเรือนร่างไปบนตัวของกรวิกาที่ร้องเอะอะ
โวยวายขึ้นมา
“ใจร้าย” กรวิการำพึงออกมาเบาๆ
“นี่ๆ ชอบว่าดีนัก” ชุดว่ายน้ำที่ยังคงชุ่มน้ำอยู่เปียกไปตามตัวของกรวิกาที่แอบอมยิ้ม ตั้งแต่เห็นปยุดาถอดเสื้อคลุมออกและ
กระโดดขึ้นมาบนตัวของเธอ
“ยั่วอีกแล้วนะ” กรวิกาอมยิ้มทำให้คนที่จ้องมองอยู่ยิ้มออก
“ก็อยากไม่สนใจเค้านี่” ปยุดาทำหน้างอ แต่ก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้เมื่อเสื้อชิ้นบนกำลังถูกดึงสายที่อยู่บริเวณด้านหลังของคอ
“ดูใส่ชุดเข้าสิ หวงจะแย่ บอกให้ตามขึ้นมาก็ไม่ยอม งอนแล้วด้วย” กรวิกาอมยิ้ม เมื่อเห็นปยุดายิ้มทะเล้นให้
“ไม่ได้แก้ผ้าสักหน่อย แค่ปิดน้อยไปเท่านั้นเอง สวยออกชุดน่ะ”
“ไม่สวย ห้ามใส่อีก ถอดเลย กรจะเอาไปทิ้ง” กรวิกาแลบลิ้นปลิ้นตาล้อแล้วดึงชุดว่ายน้ำท่อนบนของปยุดาออก เจ้าตัวยิ้มอายๆ
ก้มหน้าอยู่ระหว่างร่องอกของกรวิกาที่หัวเราะออกมา เพราะจมูกของปยุดาเริ่มซุกไซร้ไปที่บริเวณเนินอก ถึงแม้จะสวมเสื้ออยู่ก็ตาม
แต่ความรู้สึกอ่อนไหวทำให้หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ แทนที่จะเป็นฝ่ายรุกเร้ากลับกลายเป็นว่าจะโดนรุกเร้ายั่วเย้าเสียมากกว่า
“เอาเปรียบให้เค้าโป้คนเดียว ถอดครึ่งบนออกเดียวนะ” ปยุดาพูดเสียงเข้มแล้วหัวเราะคิกคัก เมื่อเห็นกรวิกาออกอาการเขินอายแต่ยอมทำตามสิ่งที่ปยุดาได้พูดออกไปเมื่อสักครู่
“เอาจมูกมาซุกไซร้คลอเคลียขนาดนี้ ไม่ต้องสั่งหรอก อยากถอดหมดทั้งตัวเลย” กรวิกายิ้ม ดึงตัวปยุดาให้ขยับขึ้นมาและพรม
จูบจนคนที่ ถูกจูบอยู่นั้นยิ้มทั้งๆ ที่กำลังจูบคลอเคลียกันอยู่
“แหมตอนนอนซุกซน ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าดีเนอะ” ปยุดาหัวเราะ
“แม่จอมยุ่งขี้อ้อน แต่ให้ถอดเสื้อแล้วชวนคุย คืออะไร”
“ไอ้หื่น อยากกอดเฉยๆ แนบแก้มไปกับอกตัวน่ะ อุ่นดีออก” ปยุดาอมยิ้มกับคนที่ทำหน้างอ
“มายั่ว แล้วแค่เอาแก้มแนบที่หน้าอกแค่เนี่ย ใจร้าย” กรวิกาแกล้งพูดบ่น
“ชอบยั่วนี่ ชอบแววตาตัวนะ เวลามองเค้าโป๊ น่ารักดีออก”
“บ้า ไม่ได้คิดอะไรสักหน่อยเล๊ย” กรวิกายิ้มอายๆ
“เหรอ งั้นไปอาบน้ำดีกว่า แกล้งคนแถวนี้ตัวเปียกไปด้วย สบายใจแล้วล่ะ” ปยุดาทำท่าจะลุกขึ้น
“ไม่ให้ไป จะกอดไว้แบบนี้แหละ”
“นั่นแอบมองหน้าอกเค้าอีกแล้วนะ” ปยุดาหัวเราะคิกคักและขยับตัวขึ้นมาอีกเล็กน้อย จนเห็นเนินอกเปลือยเปล่าทำให้กรวิกา
ถึงกับหัวเราะ กับท่าทางการยั่วเย้าของคนรัก
“ยั่วซะขนาดนี้แล้ว ขยับขึ้นมาอีกนิดสิ อยากจูบแล้ว”
“ไอ้บ้า ฟ้าสว่างขนาดนี้ ไม่เอาไว้ก่อนนอนดีกว่า ค่อยยั่วใหม่กอดไว้ก็พอแล้ว” ปยุดาอมยิ้มขยับขึ้นไปทับอยู่บนตัวของกรวิกา
อีกครั้ง
“หมดกัน ต้องรออีกหลายชั่วโมงเลยนะ” สองสาวหัวเราะขึ้นพร้อมกัน กรวิกาจูบเบาๆ ไปที่ไหล่อันเปลือยเปล่าของปยุดาที่จูบ
เบาๆ ไปที่ลำคอของกรวิกา
“ตัวว่า ไอ้จุ้นกับอาร์ต นัวกับแบบเราปะ” กรวิกาหัวเราะเมื่อได้ยินคำถามของปยุดา
“จะรู้ไหมล่ะ ไม่ได้ไปแอบดูนะ อีกอย่างตอนที่เข้าไปเห็นใส่เสื้อผ้าอยู่นะ ไม่ได้โป๊” กรวิกาบอกกับปยุดาที่เงยหน้าขึ้นมามองสบ
ตาด้วยและทำคิ้วขมวด
“อาจจะไม่ชอบนอนโป๊ อุ่นๆ แบบเราก็ได้นะ” ปยุดาหัวเราะ
“อาจจะยังอายอยู่” กรวิกาหัวเราะคิกคัก
“ไอ้บ้า เค้าก็อายนะ”
“ไม่ต้องอายหรอก กรชอบนะ เวลายุ่งอยู่ด้วยใกล้ๆ แบบนี้ สุขใจอุ่นใจเป็นที่สุด รู้เปล่าเราน่ะ ชอบยั่ว จนกรน่ะ หื่นขึ้นเรื่อยๆ
แล้ว”
“อุ๊ย อยากยั่วอีกเยอะ หื่นจริงดิ”
“มาก คอยดูนะ ค่ำๆ ก่อนนอน จะไม่ยอมให้นอนเลย จะฟ้องแม่ด้วยว่ายุ่งชอบแกล้ง” กรวิกายิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“เค้าก็จะฟ้องแม่ตัว ชอบแกล้งเค้า ทิ้งให้เค้าอยู่ที่สระคนเดียว”
“ไม่ได้ทิ้งสักหน่อย อยากให้ตามขึ้นมาที่ห้องต่างหาก” กรวิกาจูบคลอเคลียหยอกเย้าจนปยุดายิ้มออก
“ทำไมถึงได้น่ารักขนาดนี้นะ อยากให้จุ้นได้รู้สึกอย่างที่เค้ารู้สึกกับตัว อยากให้มีคนดูแลเป็นที่ปรึกษา อยากให้ไอ้จุ้นมันมีความสุขบ้าง ไม่ต้อง ไปให้หนุ่มๆ ดูตัว ถ้ามีใครจริงจังสักคนน่าจะดี” ปยุดายิ้มสวยๆ ให้กรวิกาที่พยักหน้าเห็นด้วย
“เป็นห่วงจุ้นหรือ”
“แม่ไอ้จุ้นน่ะ ดุจะแย่” ปยุดาพูดเสียงอ่อยๆ
“โอ้โห ถ้ายุ่งบอกว่าดุ แสดงว่าต้องดุมากแน่ๆ”
“ยังโชคดีนะ ที่คุณทวดเอามาเลี้ยงตั้งแต่เล็กๆ ไม่อย่างนั้น ไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง อยู่บ้านเงียบกริบ แม่พูดอะไรก็ตามนั้น ทั้งๆ
ที่เค้าว่า ไอ้จุ้น น่ะ ดื้อและวุ่นวายกว่าเค้าอีก” ปยุดายิ้มอายๆ เมื่อเห็นกรวิกาหัวเราะ
“พอกันนั่นแหละ แต่แม่จอมยุ่งน่ะ น่ารักกว่า อันนี้กรการันตี”
“น่ารักที่สุด แฟนเค้า” ปยุดาหัวเราะคิกคัก เอาจมูกเขี่ยที่ปลายจมูกของกรวิกาก่อนที่จะจูบอย่างดูดดื่มและอ่อนหวาน
“ถ้าชอบกันจริง กรพร้อมสนับสนุนเลยนะ แต่อาร์ตยังมีอีกคนอยู่”
“แหมคนแถวนี้ ยังหนีงานแต่งเล๊ย” ปยุดาหัวเราะ
“หนีตามผู้หญิง ทิ้งผู้ชาย แย่เนอะ เรา”
“ไม่แย่หรอก ความรักในหัวใจดวงนี้น่ะ ชัดเจนจะตาย ใช่ปะล่ะ”
“ช่างพูดนักนะ”
“จริงนี่ แต่ช่างมันเถอะ ผ่านไปแล้ว ไว้ค่อยไปยุ่งเรื่องไอ้จุ้นดีกว่า”
“โอม พระอาทิตย์จงดับแสงและมืดค่ำในทันที ลูกอยากนัวเนียกับคนแถวนี้จะแย่อยู่แล้วเจ้าข้า” กรวิกาหัวเราะ ปยุดาเองก็เช่น
กัน ความน่ารักของกรวิกานั้นมีให้เห็นเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ความรักที่ก่อตัวได้ทวีคูณเพิ่มขึ้นมากมาย ปยุดายิ้มจ้องมองดวงตาคู่สวย
ของกรวิกา
“อ้อนแม่ให้กลับมาเมืองไทยได้แล้วล่ะ แม่เค้าแบ่งที่ให้ปลูกบ้านจะได้อยู่ใกล้ๆ กันนะ ไปหาทีได้ดูแลสองบ้านเลย” ปยุดายิ้มสวยๆ ให้กรวิกา
“กรมั่นใจ ว่าแม่จะกลับมาอยู่เมืองไทย ตั้งแต่ได้ยินคุณทวดบอกให้พาท่านกลับมาแล้วล่ะ คุณทวดน่ะ เหมือนเห็นเหตุการณ์ล่วง
หน้าได้” กรวิกายิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงผู้ใหญ่อีกท่านที่แม้จะเพิ่งพบท่านไม่นานนัก แต่กลับรู้สึกว่า เหมือนรู้จักมาเนิ่นนาน
จามรีมองดูคนที่เดินขากะเผลกมาเปิดประตูด้านหน้าให้ สายศิลป์ยิ้มจางๆ ให้กับคนที่จ้องเขม็งมองดูอยู่จากด้านนอก เพราะรู้ดีว่า มีหวังคงโดนบ่นยาวเหยียดกับความซุ่มซ่ามของตัวเอง
“เท้าไปโดนอะไรมา” จามรีถามเสียงเข้ม
“เหยียบจานที่หล่นแตกค่ะ”
“จานแตก” จามรีพูดคล้ายถามและช่วยพยุงคนที่เดินไม่ค่อยถนัด นักให้ไปนั่งลงที่เก้าอี้รับแขก
“บ้านพี่วีร์ เมื่อวานตอนไปทานข้าว” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ
“ขอดูแผลหน่อยได้ไหม ไปหาหมอมาหรือยัง” จามรีถามและยกขาข้างที่มีแผลอยู่พาดมาที่ตักของตัวเอง โดยที่สายศิลป์ทำท่า
จะขยับกลับแต่ถูกจามรีทำตาดุใส่เข้าก่อนเลยเพียงแค่ยิ้มจางๆ ให้
“ไม่ได้ไปหาหมอค่ะ แผลนิดเดียว อาร์ตเลยทำแผลเอง”
“แฟนไม่อยู่บ้านหรอกหรือ”
“อยู่ แต่อยากทำเองนี่” สายศิลป์พูดไม่ค่อยเต็มเสียงนัก
“แผลนิดเดียวที่ไหนล่ะ เลือดออกเยอะล่ะสิท่า” จามรีพูดเสียงเข้ม
“เยอะค่ะ” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ
“แผลไม่ลึก แต่คงต้องทำแผลให้สะอาด ไม่อย่างนั้นจะอักเสบ นั่งนิ่งๆ อย่าดื้อนะ” จามรีหยิบกล่องซึ่งวางอยู่ก่อนหน้าแล้ว สาย
ศิลป์คงเอามาทำแผลของตัวเอง แต่ผ้าที่พันแผลกับพลาสเตอร์ที่ปิดแผลติดไม่ค่อยเรียบ ร้อยเท่าไรนัก
“ไม่ต้องทำเสียงดุขนาดนั้นก็ได้” สายศิลป์บอก
“น่าดุไหมล่ะ เราจะมาทำแผลให้เช้าเย็น หยุดห้ามต่อรอง”
“เปล่าต่อรอง แต่เกรงใจ” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ ก้มหน้าเล็กน้อย
“เกรงใจก็ดีแล้ว เพราะฉะนั้นห้ามดื้อเป็นเด็ดขาด”
“ไม่ดื้อก็ได้ ดุชะมัดเลย”
“พูดมากนัก เดี๋ยวทำแผลให้เจ็บเลยนะ” จามรีอมยิ้ม
“ว่าแต่ว่า มามีอะไรหรือเปล่าคะ หรือมาหาพี่กร” สายศิลป์ถาม
“เปล่า อยากมาเฉยๆ” จามรีบอก สายศิลป์อมยิ้ม
“สัปดาห์หน้า อาร์ตว่าจะเอางานไปส่งให้คุณทวดนะคะ” สายศิลป์หุบยิ้มไม่ได้ เพราะความห่วงใยของคนที่กำลังค่อยๆ บรรจง
ทำแผลให้
“ให้แผลหายดีก่อนก็ได้ เห็นว่า มีเพื่อนคุณทวดอยากได้เหมือนกันนะ ถ้าถูกใจราคาจะสูงกว่าอีก” จามรีก้มหน้าก้มตาทำแผลให้
“โอ้โหที่คุณทวดให้มา อาร์ตอยากเขียนภาพแถมให้อีกสักสิบภาพเลยค่ะ” สายศิลป์ยิ้ม เมื่อนึกถึงคุณยายทวดของปยุดากับ
จามรี
“เราว่าไม่เยอะหรอกนะ งานฝีมือ ภาพเขียนใช่ว่าจะเล็กเสียที่ไหนของเราจะจ่ายเท่าของคุณยายทวดนะ” จามรีบอกและยิ้มให้
ก่อนที่จะค่อยๆ ยกขาของสายศิลป์และวางลงที่พื้นอย่างแผ่วเบา
“ไม่เอาล่ะ อยากให้เป็นของขวัญ” สายศิลป์บอกแล้วยิ้ม
“ของขวัญ เนื่องในโอกาสอะไร”
“ยังไม่บอก ไว้ให้โอกาสชัดเจนก่อน”
“แบบนี้ก็มีด้วย เขียนภาพไม่เอาเงิน ระวังจะเป็นศิลปินไส้แห้งเอานะจ๊ะ เธอ” จามรีส่ายหน้าจ้องมองแววตาวาววับของคนที่จ้อง
มองอยู่ก่อน
“ร้องไห้กลับบ้านไปให้พ่อกับแม่เลี้ยงก็ได้” สายศิลป์รำพึงเบาๆ
“เราเลี้ยงได้นะ ตลอดชีวิตเลยล่ะ” จามรีพูดแล้วรีบเดินหนียกกล่องอุปกรณ์ที่ใช้ทำแผลของสายศิลป์เดินไปหาที่เก็บ แต่ไปยืน
งงอยู่ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่า ต้องเก็บไว้ที่ไหนอย่างไร สายศิลป์อมยิ้มมองดูคนที่เดินไป หยุดยืนอยู่
“อยากดูแลพี่จุ้นเหมือนกัน” สายศิลป์คิดอยู่ในใจมองดูคนที่เงอะงะหันรีหันขวาง จนกระทั่งเดินหายเข้าไปบริเวณห้องเก็บของ
สายศิลป์ถูกคุณยายทวดเรียกตัวให้มาพบ โดยคนที่โทรศัพท์ไปแจ้งเป็นคนที่คอยอยู่ดูแลแจ้งว่าไม่ทราบเหมือนกัน ท่านให้แจ้งว่าให้เข้ามาพบหากพอมีเวลา สายศิลป์จึงเข้ามาพบท่านในวันรุ่งขึ้น เพราะคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องงานซึ่งท่านอยากจะแก้ไขในส่วนใดบ้าง สายศิลป์จึงถ่ายรูปและ นำมาขยายใหญ่ เพื่อให้ท่านได้ดูรายละเอียด
“งานน่ะเห็นว่างดงามตั้งแต่โครงร่างแล้วลูก เอาไว้ตั้งหน้าศพจะ ได้มีภาพสวยๆ ไว้อวด” คุณยายทวดหัวเราะ แต่สายศิลป์หน้า
จ๋อยไปทันที
“คุณทวดพูดซะน่ากลัวเลยค่ะ รู้ก่อนล่ะก็หนูไม่รับงานแน่ค่ะ”
“ฉันน่ะปูนนี้แล้ว เราไม่ต้องกังวลไปหรอก เรื่องตายเป็นเรื่องปกติธรรมดาในชีวิตของผู้คน ถึงจะเสียใจกับการสูญเสีย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีสติด้วยนะลูก” คุณยายทวดยิ้มและเอามือลูบที่ศีรษะของ
สายศิลป์เบาๆ
“ได้ยินแล้ว ใจคอไม่ค่อยดีค่ะ ถ้าอย่างนั้นน่าจะเป็นเรื่องภาพเขียนของเพื่อนคุณทวดหรือเปล่าคะ” สายศิลป์ยิ้มน้อยๆ ให้คุณ
ยายทวดที่กำลังส่ายหน้าให้
“เรื่องเจ้าจุ้นน่ะสิ” คุณยายทวดรอยยิ้มจางลงเมื่อได้พูดถึงเหลนรัก
“พี่จุ้น พี่จุ้นมาฟ้องอะไรหรือเปล่าคะ” สายศิลป์ถามเสียงอ่อยๆ
“ไปทำอะไรผิดไว้ล่ะเรา ถึงคิดว่าเขาจะมาฟ้องน่ะ”
“ชอบกวนโมโหบางครั้งค่ะ” สายศิลป์ยิ้มแหยๆ
“ฝากด้วยนะลูก ฉันรู้ว่าเธอดูแลกันได้ ดีเสียด้วย”
“ฝาก ดูแลหรือคะ”
“ใช่ ดูแลให้เหมือนที่ยายจอมยุ่ง ดูแลเจ้ากรนั่นแหละ ได้ไหม”
“แต่สองคนนั้นเขา” สายศิลป์ไม่กล้าพูดต่อ
“สักวัน ดูแลให้ฉันหน่อยน่ะ แม่จอมยุ่งน่ะ หายห่วงไปคนหนึ่งแล้ว” คุณยายทวดยังคงพูดย้ำ ซึ่งยิ่งทำให้สายศิลป์รู้สึกเป็นห่วง
จามรีมากขึ้น หรือเกี่ยวกับเรื่องที่เมื่อคืนก่อนจามรีร้องไห้ไปที่อาคารสำนักงานของกรวิกา
“ได้ค่ะ คุณทวด” สายศิลป์ตกปากรับคำและก้มลงกราบท่านที่ตัก
“การประคับประคองกันจะทำให้เราผ่านทุกเรื่องราวไปได้ ฉันจะช่วยอีกแรง คนเราไม่ได้เข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา บางทีก็อ่อนแอไปบ้างถึงต้องไปหาที่พักพิงใจ ใช่หรือไม่” คุณยายทวดยิ้มจ้องมองสายศิลป์ที่ยิ้มอายๆ เมื่อนึกถึงค่ำคืนที่อยู่ในอ้อมกอดของจามรี
“เหมือนตาเห็นเลยค่ะ” สายศิลป์รำพึงออกมาเบาๆ
“จิตสัมผัส ชัดกว่าตาเห็นอีกลูก ฉันรู้ว่าเธอก็รู้สึกได้เช่นกัน”
“ขอบพระคุณค่ะ หนูพอจะมองเห็นลู่ทางการทำงานชัดเจนขึ้นบ้างตามคำแนะนำของคุณทวด หวังว่าจะทำได้ดี ถ้ามีโอกาสได้
ไปทำบุญที่ไหน หนูขออนุโมทนาบุญนั้นถึงคุณทวดด้วยนะคะ สาธุ” สายศิลป์พนมมือไหว้
“สาธุ แม่คุณ บุญจะหนุนหนำให้ชีวิตเธอดีขึ้น พบเจอแต่คนดีๆ”
“ได้กราบคุณทวด ถือเป็นบุญของหนูเป็นที่สุดแล้วค่ะ”
“ช่างจำนรรจานักนะ ปากพอกันเลยทีเดียว” คุณยายทวดยิ้ม
หลังจากมากราบและพูดคุยกับคุณยายทวดแล้ว สายศิลป์มีงานที่จะพูดคุยกับเพื่อนซึ่งติดต่อลูกค้าไว้ให้ ณ โรงแรมแห่งหนึ่ง
กลางใจเมืองซึ่งไม่ห่างจากที่พักของตัวเองนัก อันที่จริงแล้วเพื่อนจะนัดเข้าไปพบที่อาคารสำนักงานของกรวิกา แต่เมื่อเป็นงานส่วน
ตัวสายศิลป์จึงขอนัดพบสถานที่อื่น นอกเสียจากว่า มีใครสนใจงานของกรวิกา ซึ่งอาจจะซื้องานถึงจะนัดหมายให้เข้าไป
“พี่จุ้น” สายศิลป์มองเห็นจามรีนั่งพูดคุยอยู่กับชายหนุ่มรูปร่างหน้า ตาดี แต่ต้องเบนความสนใจมาที่ลูกค้าของตัวเอง ซึ่งกำลัง
พูดคุยกันและงานของคุณยายทวดถือเป็นหน้าเป็นตาของสายศิลป์ค่อนข้างมาก เพราะคนที่สนใจงานลักษณะออกเป็นงานไทยๆ เมื่อ
มีโอกาสได้เห็นรูปฉุยฉายทำให้สายศิลป์เริ่มได้งานต่อๆ มาผ่านทางเพื่อนฝูงหรือบางทีเป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยที่เรียนจบมา
ภาพฉุยฉายของคุณยายทวดถือเป็นใบเบิกทางและได้ช่วยนำพางานมาให้ในเวลาเพียงแค่ไม่นานนัก สายศิลป์หันไปมองทางที่จามรี
นั่งอยู่เมื่อครู่ แต่ไม่พบมองดูไปรอบๆ ไม่เห็น จึงหันมาตั้งใจฟังและพูดคุยกับลูกค้า
สายศิลป์เดินผ่านห้องๆ หนึ่ง ได้ยินเสียงเหมือนคนพูดคุยและได้ยินเสียงผู้หญิงพูดคล้ายกับขึ้นเสียง ฟังดูพอจะเดาได้ว่า น่าจะ
มีปัญหากัน หยุดฟังอยู่ครู่หนึ่งมองเห็นห้องเป็นห้องซึ่งเข้าออกได้เฉพาะพนักงาน จึงคิดว่าอาจจะมีการพูดคุยหรือจัดการปัญหาเรื่อง
งานกัน ขณะที่กำลังเดินผ่านเสียงที่คุ้นเคยนั้นทำให้สายศิลป์รีบเปิดประตูเข้าไป และภาพที่เห็นคือหญิงชายคู่หนึ่ง
“ทำอะไรกันน่ะ” เสียงของสายศิลป์ทำให้ผู้ชายคนนั้น คนที่พูดคุยอยู่กับจามรีก่อนหน้าหันมาทำตาเขียวใส่
“เข้ามาได้อย่างไร ห้องนี้เข้าได้เฉพาะพนักงานเท่านั้น” ผู้ชายคนนั้นทำเสียงเขียวใส่สายศิลป์
“เธอ” จามรีหน้าถอดสีผลักชายหนุ่มให้ถอยห่างออกไป
“รู้จักกันด้วยหรือ เข้ามาขัดจังหวะไปนะ สาวน้อย” ชายหนุ่มบอกกับสายศิลป์ที่จ้องจามรีเขม็ง
“ขอโทษค่ะ เห็นเสียงดังนึกว่ามีเรื่องอะไร ขอตัวนะคะ” สายศิลป์รีบเดินออกมาจากห้อง โดยไม่หันกลับอีกเลย จามรีรีบ
ตามออกมาจนถึง ด้านหน้าของโรงแรม
“จะไปไหน เดี๋ยวเราไปส่ง” จามรีเดินตามมาทันจึงจับแขนเอาไว้
“ไม่ต้องหรอก อยู่คุยกับแฟนเถอะ อาร์ตขอโทษที่เข้าไปขัดจังหวะ” สายศิลป์พูดโดยไม่ยอมมองหน้าจามรี
“ขัดจังหวะอะไรเล่า เข้าไปช่วยต่างหาก ฟังเราก่อนนะ ไปเดี๋ยวเราขับไปส่งที่สตูดิโอ” จามรีไม่ยอมปล่อยมือออกจากแขนของสายศิลป์ที่กำลังพยายามดึงแขนออกจากการเหนี่ยวรั้ง
“ไม่จะกลับเอง” สายศิลป์ยังคงดึงแขนตัวเองอยู่
“ไม่ให้กลับ” จามรีดึงตัวสายศิลป์เข้ามากอดเอาไว้
“ไอ้พี่จุ้น ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” สายศิลป์พูดเสียงดัง
“ไม่ปล่อย ถ้าไม่ไปกับเรา จะกอดอยู่หน้าโรงแรมแบบนี้แหละ”
“ตามใจ ถ้าไม่อายอยากกอดก็กอดไปสิ กอดให้มืดค่ำ ยืนกันให้เมื่อย ให้ยุงกัดอยู่ตรงนี้แหละ” สายศิลป์หยุดดิ้นและยืนนิ่ง คิด
ว่าจามรีจะยอมปล่อย แต่กลับกอดกระชับให้แน่นขึ้นอีก
“มันไม่มีอะไร เราไม่ได้เป็นอะไรกับเขาสักหน่อย ฟังหน่อยสิ อธิบายนิดเดียวก็ได้ แล้วนั่งเงียบๆ ให้เราขับรถไปส่งนะ น๊า นะ”
จามรีเอาคาง เชยที่ไหล่ของสายศิลป์
“ไม่เกี่ยวอะไรกับอาร์ตสักหน่อย ไม่เห็นต้องอธิบายเลย” สายศิลป์พูดพึมพำ
“เกี่ยว เกี่ยวมากด้วย นะ ฟังเราหน่อยนะ”
“ไม่อยากฟัง” สายศิลป์บอก
“ไม่สงสารหรอกหรือ เดี๋ยวต้องไปร้องไห้คนเดียวอีกนะ ถ้าเธอเข้า ใจเราผิดน่ะ”
“ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย อี๋อ๋อกับหนุ่มทำไมคิดว่าอาร์ตจะเข้าใจผิดล่ะ”
“ตาเขียวปั๊ด ดูก็รู้ว่าแทบจะขบหัวเรา แถวบ้านเขาเรียกหวง”
“หลงตัวเองนะ ปล่อยได้แล้ว”
“ไม่ได้หลง แค่อยากอธิบาย อยากให้เธอสบายใจ ดูสิหน้านิ่งเดี๋ยวริ้วรอยขึ้นนะ ไม่กลับสตูดิโอก็ได้ เปิดห้องคุยมันที่โรงแรมนี่
แหละ ตามมาเดี๋ยวนี้เลย” จามรีไม่ยอมฟังอะไรดึงมือสายศิลป์ให้ตามเข้ามาภายใน