ตอนที่ 11 : อยากปลอบใจ

3090 Words
สายศิลป์หยุดคิดและรั้งรอ จ้องมองคนที่เริ่มมีน้ำตาไหลรินออกมาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาและโอบกอดเอาไว้ ไม่ได้พูดอะไร หรือถามอะไรเฝ้าหวังว่า คนที่เริ่มร้องไห้จะยอมโอบกอดเธอเอาไว้เช่นกัน สายศิลป์ยิ้มจางๆ เมื่อแขนทั้งสองข้างของจามรีอ้อมเข้าสวมกอดเธอเอาไว้ที่เอวและกอดกระชับแน่นขึ้นเรื่อยๆ สายศิลป์จึงค่อยๆ กอดกระชับด้วยอยากปลอบโยนให้คนที่ร้องไห้อยู่ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว อยากให้รู้ว่าจะกอดเอาไว้จนกว่าจะหยุดร้องไห้จึงค่อยๆ กระชับอ้อมกอดอีกเล็กน้อย สายศิลป์ยิ้มน้อยๆ อยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน ความสุขเอ่อล้นจนน้ำตาคลอ ไม่รู้เหมือนกันว่า ความรู้สึกอบอุ่นทำไมถึงได้ทำให้หัวใจรู้สึกดีได้มากมายขนาดนี้ ทั้งๆ ที่กำลังทำหน้าที่ปลอบโยนคนที่หยุดร้องไห้ไปได้ครู่หนึ่งแล้ว “ไม่ร้องแล้ว” เสียงของจามรีทำให้สายศิลป์แอบยิ้ม “อ้าว พอน้ำตาแห้งเหมือนจะไล่กันนะนั่น” สายศิลป์พูดแหย่จ้องมองใบหน้าคนที่คลายอ้อมกอดออก แล้วช่วยเช็ดคราบน้ำตา ให้ “ไม่ได้ไล่สักหน่อย” จามรีพูดเสียงอ่อยๆ “ยิ้มให้หน่อยสิ นิดหนึ่งนะ คนปลอบโยนจะได้สบายใจ” สายศิลป์ยิ้มสวยๆ ให้คนที่ยอมมองสบตาด้วย คนที่อยากเห็นรอยยิ้มและอยากสร้างรอยยิ้มให้จึงทาบทับริมฝีปากอย่างอ่อนหวาน สายศิลป์ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าแสดงออกๆ มาอย่างนั้น มารู้สึกตัวเอา ตอนที่จามรีขยับถอยออกไปเล็ก น้อยและตัวสายศิลป์เองกำลังจะถอนริมฝีปาก แต่กลับถูกเหนี่ยวรั้งเอาไว้ด้วยจูบสัมผัสตอบรับ ซึ่งอ่อนหวานเสียจนทำให้หัวใจของสายศิลป์ที่คิดว่าแข็งแกร่งเสมอมา ถึงกับอ่อนไหวไปกับความใกล้ชิดและการคลอเคลียอย่างอ่อนหวานของจามรี “ถ้าร้องไห้มา จะปลอบใจแบบนี้ทุกครั้งไหม” จามรีอมยิ้มจ้องมองดวงตาคู่สวยที่แสนสดใสของสายศิลป์ “ค่ะ อยากเล่าให้ฟังไหม” สายศิลป์ยิ้มอายๆ เสมองไม่ทางอื่นไม่ยอมสบตากับคนที่แววตาสดใสขึ้นมาบ้าง หลังจากได้รับสัมผัส อันอ่อนโยนจากริมฝีปากนุ่มนวลของสายศิลป์ “มีปัญหากับแม่นิดหน่อย” จามรีบอก “โดนแม่ดุมา ร้องไห้โยเยขนาดนี้เลยหรือคะ พี่จอมจุ้น” สายศิลป์ไม่อยากให้รอยยิ้มน้อยๆ ที่เห็นจางหายไป จึงคิดว่าการพูดจา หยอกล้อน่า จะทำให้ความรู้สึกของคนที่เริ่มยิ้มกว้างอยู่ดีขึ้น “ห้ามล้อ อายนะ” จามรีพูดเสียงเข้ม “ให้กอดอีกไหมล่ะ” สายศิลป์ถาม จามรีหัวเราะเล็กๆ ยิ้มอายๆ ไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามแบบนี้จากสายศิลป์ “อยากปลอบ หรืออยากกอดเองเนี่ย” จามรีถาม “ทั้งสองอยาก เร็วตอบมาว่าอยากให้กอดอีกไหม” สายศิลป์รู้สึกเขินอายจึงแกล้งทำเสียงเข้มดุใส่จามรีที่เข้าสวมกอดในทันที “เราหายแล้ว เธอไปทำงานต่อเถอะ” สายศิลป์กระซิบบอกก่อนที่จะจูบเบาๆ ไปที่ไหล่ของสายศิลป์ “อาร์ตจะนอนแล้ว พี่จุ้นจะนอนนี่หรือกลับบ้าน” สายศิลป์ถาม “กร อนุญาตให้นอนที่นี่ได้” “มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยนไหมคะ” สายศิลป์ถาม “มีอยู่ในรถ” “อาร์ตไปเอาให้นะ” สายศิลป์ยิ้มสวยๆ ให้จามรี “ไปเอาเองก็ได้” จามรีบอก “ไอ้พี่จุ้นอยากมองต่ำ เดี๋ยวจิ้มตาบอดเลย” สายศิลป์พูดดุ “เปล่ามองสักหน่อย” จามรีหัวเราะ เมื่อเห็นสายศิลป์ขยับคอเสื้อที่ตกลงมาเล็กน้อย “เดี๋ยวจะโดนนะ นิสัยไม่ดี แอบมอง” “กำลังจะบอกอยู่ เธอพูดขึ้นก่อน ไม่มองก็ได้ นิดๆ หน่อยๆ เอ๊ง คิดเสียว่าทำทาน” จามรีหัวเราะ เมื่อเห็นสายศิลป์ถลึงตาใส่ “ว่าจะมานอนเป็นเพื่อน นอนคนเดียวเถอะงั้น คราวหน้ามองอีกนะ จิ้มตาเลย ไม่บอกให้รู้ตัวด้วย” สายศิลป์บ่นงึมงำ “เราไปนอนเป็นเพื่อนเธอก็ได้” “ยังจะมายิ้มทะเล้นอีกนะ รอตรงนี้ เดี๋ยวไปเอาของในรถให้” “แต่มานอนเป็นเพื่อนเราหน่อยนะ เผื่อร้องไห้กลางดึก เดี๋ยวไม่มีใครปลอบ เศร้าแย่เลย” จามรีทำหน้าจ๋อย แต่สายศิลป์ถึงกับหัวเราะออกมา “อี๋ ทนไม่ไหว อย่าอ้อนเลย ไปเอาของก่อนนะ เดี๋ยวมา” “อุตส่าห์เตือนตัวเองตลอด ดูดู๊มาปลอบแบบนี้ จะไหวไหมล่ะ” จามรีรำพึงอยู่เพียงลำพัง นึกขอบคุณในความมีน้ำใจ แต่ยิ่งได้ ใกล้ชิด ยิ่งรู้สึกถึงความผูกพัน กรวิกาเดินยิ้มลงมาจากชั้นบน ปยุดาเห็นรอยยิ้มแปลกๆ จึงทำคิ้วขมวดมองดูคนรักด้วยความสงสัย เพราะเห็นว่าจะขึ้นไปดูจามรี แต่กลับเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ลงมา “นี่ดีนะ ว่าเป็นไอ้จอมจุ้นน่ะ ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ จะหยิกให้เนื้อเขียวเชียว เดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ลงมาขนาดนี้” ปยุดาพูดดุ ยื่นแก้ว กาแฟให้กรวิกาที่ถึงกับหัวเราะออกมา แต่ต้องรีบปิดปากเพราะกลัวเสียงจะดังจนเกินไป “ขี้หึงนะ แม่จอมยุ่ง” กรวิกาพูดแหย่แล้วยิ้มๆ “มากด้วย ถ้ารู้ล่ะก็ จะไปตามราวี” ปยุดาพูดจบหันไปแอบยิ้มและพยายามกลั้นหัวเราะ “อยากเห็นเวลาไปราวีจัง” กรวิกาพูดแหย่และจูบไปที่ริมฝีปากของคนที่หันมา เมื่อถูกจูบเข้าจึงยิ้มอายๆ “ไม่เอาอ๊ะ รักเค้าแล้วก็รักเลยดิ เค้ายังรักตัวเองคนเดียวเลยนะ” “จริงดิ คืนนี้นัวเนียใหม่นะ” กรวิกาหัวเราะ “นี่ก็พูดซะดัง เดี๋ยวไอ้จุ้นมาได้ยินเข้า” ปยุดาตีเผี๊ยะเข้าให้ “ยังหลับอยู่เลย กอดอาร์ตไว้ซะแน่น ยังไม่ตื่นหรอก” กรวิกาหัวเราะหึๆ กับคนที่ทำท่าตกใจถึงกับเอามือทาบอก “ถามจริง” “น้องสะใภ้ หรือพี่สะใภ้ล่ะคะ ยุ่งกับจุ้นใครอายุมากกว่า” “เค้ามากกว่าปีหนึ่ง นอนกอดกัน งั้นเมื่อคืนก็” ปยุดาถอนใจ “จอจุ้นนะ ไม่ใช่ กร ถอนใจทำไม” กรวิกาถาม “อาร์ตมีแฟนแล้ว แม่ไอ้จุ้นน่ะ หวงลูกสาว ขยันหาว่าที่ลูกเขยมาดูตัวแทบทุกอาทิตย์ แล้วไอ้ที่ร้องไห้ไปที่บ้านเค้าน่ะ ก็เรื่องนี้ ใช่ปะล่ะ ตัวเองก็ดันบอกให้มานอนที่นี่ เป็นเรื่องเลย” ปยุดายิ้มจางๆ มองสบตากับกรวิกา “ตอนถูกคนแถวนี้จีบ กรก็มีแฟนอยู่นะ” กรวิกาหัวเราะ “ใช่ ใจร้ายมีแฟนแล้วยังมาวอแวเค้าอีก” ปยุดาพูดขึ้น “เอ๊าก็น่าวอแวจะตาย จ้องทีใจละลายเลย แถมเวลาโป๊ก็ส๊วยสวย” กรวิกาอมยิ้มและจูบปยุดาที่ตอบรับสัมผัสยิ้มๆ เช่นกัน “ตัวว่า อาร์ตกับแฟนเค้ายังไงๆ อยู่นะ ว่าปะ” “อาร์ตยังเด็กอยู่เลย เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัย พอดีได้มาเจอจอมจุ้นผู้น่ารักเข้า กรไม่แปลกใจเลยนะ” “เราน่ะ ไม่แปลกใจ แต่เชื่อปะ คนแปลกใจเยอะแน่ อย่างน้อยก็สองคนแหละ คุณวีร์กับแม่ไอ้จุ้น” ปยุดาถอนใจ “ถ้าสองคนนั้นรักกันจริง ก็จะผ่านเรื่องราวต่างๆ ไปได้เหมือนเราสองคน” กรวิกาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูค่อนข้างมั่นใจ “ไวไฟเหมือนกันนะ ไอ้ตัวแสบ เรากลับดีกว่าสองคนนั้นจะได้ไม่รู้” ปยุดากระซิบบอกกรวิกา แอบมองขึ้นไปที่ชั้นบน แต่ก็มีรอยยิ้มเจือปนเพราะเชื่อว่า จามรีคงมีความสุขกับช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่อยากอยู่ด้วย จามรีไม่กล้าที่จะขยับตัว เพราะเกรงว่า ห้วงเวลาที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับสายศิลป์จะหมดลง หากทำให้คนที่นอนหลับตาพริ้มใบหน้าแนบอยู่กับอกตื่นขึ้น มองดูเสื้อผ้าที่สายศิลป์สวมใส่อดที่จะขำไม่ได้ แต่ไม่กล้าพูดแหย่ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ไม่อย่างนั้นคงต้องนอนคนเดียวเปล่าเปลี่ยวหัวใจแน่การได้โอบกอดสายศิลป์เอาไว้ตลอดคืนที่ผ่านมา ช่วยให้สิ่งที่ทำให้รู้สึกทุกข์ใจจางหายไปจนหมดสิ้น เหมือนผู้หญิงที่นอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดช่วยชะล้างความกังวลใจออกไปได้ทั้งหมด เธอเป็นผู้หญิงที่มีพลังมหัศจรรย์สินะ จามรีอมยิ้มกับสิ่งที่ตัวเองคิด “ยิ้มอะไร” เสียงเข้มๆ ที่ได้ยินทำให้จามรีมองดูคนที่เงยหน้ามองสบตาอยู่ แววตาสวยใสและกลมโตทำให้รอยยิ้มของจามรี กว้างขึ้น “ชอบให้ร้องไห้หรือไง” จามรีถาม “ลุกเถอะ เดี๋ยวหาอาหารเช้าให้ทาน พี่จุ้นจะได้ไปทำงาน” “ชุดนอนซื้อร้านไหนเนี่ย ถามจริง” จามรีหัวเราะ “ไว้ใจได้ที่ไหนล่ะ คอเสื้อขว้างยังแอบมองเลย” สายศิลป์พูดดุแล้วแอบหันไปยิ้ม “บ้า ไม่ได้แอบ ตอนนั้นกำลังจะบอกให้ขยับเสื้อขึ้น แต่เธอมาว่าเราก่อน ไว้ใจไม่ได้แล้วให้เรากอดทั้งคืนเนี่ยนะ” จามรีบ่น พึมพำ “หายเศร้า ปากดีเลยนะ ไอ้พี่จุ้น ทีหลังไม่ต้องมาแล้วนะ ไม่ปลอบแล้วด้วย” สายศิลป์พูดด้วยน้ำเสียงออกอาการงอแงให้ได้ยิน “ใส่กางเกงยีนส์นอน กลัวเราหื่นหรือไง” จามรีพูดแหย่ “ต้องรักนวลสงวนตัวดิ ไม่ได้รักอย่าได้หวังจะได้เห็นเล๊ย” สายศิลป์ยักไหล่และรีบลุกขึ้นวิ่งหนีออกนอกห้องไปก่อน “อย่าได้หวัง” จามรีรำพึงกับตัวเอง แต่รอยยิ้มกลับมาอีกครั้งเมื่อเห็นสายศิลป์โผล่หน้ามาแลบลิ้นปลิ้นตาให้ “อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วตามลงไปข้างล่างด้วยนะคะ” “เจ้าค่ะ” จามรียิ้มมองดูบริเวณรอบห้องของกรวิกาและกำลังคิดว่า หากเป็นห้องนอนของตัวเอง แล้วมีสายศิลป์มาต่อปากต่อคำ แลบลิ้นปลิ้นตาล้อเหมือนเช้านี้คงจะดีไม่น้อย ยิ้มได้เพียงครู่เดียวต้องถอนใจเพราะคน ที่ตัวเองกำลังนึกถึงมีคนรักเป็นตัวเป็นตนอยู่ แล้ว จามรีลงมาบริเวณชั้นล่าง ซึ่งมีส่วนที่กั้นเอาไว้ด้านหลังคล้ายเป็นห้องครัวเล็กๆ เสียงดังเพล้งไม่แน่ใจนักว่าเป็นเสียงอะไรหล่น แตก จึงรีบเข้าไปดู ปรากฏว่าเป็นแก้วกาแฟซึ่งคงจะหลุดมือของคนที่ยิ้มเจื่อนๆ อยู่ “ซุ่มซ่ามนะนั่น อดกินกาแฟดิ” จามรีหัวเราะ ยิ่งทำให้คนที่ยังคงยื่นนิ่งหันไปหันมา คงหาหนทางที่จะจัดการกับความซุ่มซ่าม ของตัวเอง “หลุดมือนิดเดียวเอง” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ “ยืนนิ่งๆ ก่อน เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” จามรีก้มลงมองดูที่เท้าของสายศิลป์ซึ่งยืนเท้าชิดอย่างกับยืนเคารพธงชาติ “ไม่เจ็บ เดี๋ยวอาร์ตจัดการเองได้ค่ะ” สายศิลป์บอกและทำท่าจะก้าวเท้าไปยังบริเวณที่ตัวเองคิดว่าไม่น่าจะมีเศษแก้วอยู่ “หยุด ยืนอยู่เฉยๆ เดี๋ยวเราจัดการให้ ยืนเฉยๆ นะ ห้ามขยับ” จามรีพูดเสียงเข้มและถามหาเครื่องดูดฝุ่น ซึ่งน่าจะจัดการเศษ แก้วได้ดีกว่าไม้กวาดและกลับมาพร้อมอุปกรณ์ในเวลาไม่นานนัก “ไปเอารองเท้ามาใส่ด้วยพี่จุ้น แก้วแตกละเอียดไม่รู้เศษกระเด็นไปตรงไหนบ้าง” สายศิลป์พูดดุ จามรีหัวเราะและปฏิบัติ ตามอย่างว่าง่ายเพราะเป็นความห่วงใยของคนที่บางทีเห็นแล้วก็อดที่จะขำไม่ได้ เหมือนจับเด็กซนๆ ให้ยืนนิ่ง ทำได้เพียงแค่หันไปหัน มาช่วยดูว่า บริเวณไหนอาจจะมีเศษแก้วหลงเหลือและตกหล่นอยู่ “หยุดเดี๋ยวนี้ ยังไม่เสร็จ” จามรีพูดดุสายศิลป์อีกครั้ง “แกล้งกันหรือเปล่าเนี่ย” สายศิลป์ชักเริ่มลังเลไม่แน่ใจ “เผื่อเศษมันเล็กมากมองไม่เห็น เดี๋ยวเราเอาผ้าชุบน้ำค่อยๆ เช็ดก่อนนะ ค่อยขยับตัว เศษแก้วเล็กๆ ทิ่มเข้าในเนื้อล่ะก็ ต้องไป ให้หมอเอาออกแน่ๆ ถ้าฝังเข้าไปในเนื้อน่ะ” “เล่าซะเสียวเลย ไม่ขยับก็ได้ ขาแข็งแล้วนะ” “ดีเหมือนกันนะ นอกจากซุ่มซ่าม น่าจะซนด้วย หันดุกดิกไปมาอยู่นิ่งๆ ไม่เป็นสิเธอน่ะ” จามรีหัวเราะ และค่อยเอาผ้าชุ่มน้ำเช็ด ที่พื้นและค่อยๆ กวาด สายศิลป์ยิ้มน้อยๆ มองดู เพราะไม่คิดว่าจามรีจะละเอียดลออในเรื่องเล็กๆ น้อย เป็นคนอื่นคงแค่ใช้เครื่องดูดฝุ่น เพียงเท่านั้น “ไปได้ยังล่ะ” สายศิลป์ยืนนิ่งยิ้มแป้นมองดูคนที่ลุกขึ้นยืนและนำ ผ้าผืนนั้นใส่ลงในถุงนำไปเขียนว่ามีเศษแก้วก่อนจะเอาไปทิ้ง ในถังขยะ “นั่งเฉยๆ ดีกว่าไหม เดี๋ยวเราทำให้ แค่ไข่ดาว ขนมปัง กาแฟเนอะ” “คุณหนูทำเป็นด้วยหรือ เจ้าคะ” สายศิลป์พูดแหย่ “คุณแจ๋วมากกว่า ออกแนวคนรับใช้น่ะ นั่งเฉยๆ เดี๋ยวของแตกอีก สงสารเจ้าของบ้าน” จามรีหัวเราะ “พี่จุ้นอ๊ะ เพิ่งแตกใบเดียวเองนะ” “จริงดิ หลายใบแล้วแอบซื้อมาวางคืนหรือเปล่า” จามรีอมยิ้ม “รู้ทันอีก อาร์ตทำไข่ดาวให้ กระทะหล่นไม่แตกหรอกเนอะ” “จัดอยู่ในพวกทำลายข้าวของหรือเปล่าเรา” จามรีถาม “แหมแค่ครั้งเดียว ว่าใหญ่เลยนะ” “ไว้จะมาบ่อยๆ นับครั้งกันดูปะล่ะ” จามรีหันมายิ้มให้กับคนที่นำกระทะมาตั้งที่เตา “มาหาอาร์ตนะ ถ้าเป็นเหมือนเมื่อคืน แล้วไม่รู้จะไปไหน” “ขอบใจสำหรับเมื่อคืน แต่ไม่ดีหรอกมั้ง ตอนแรกเราว่าจะกลับแต่โทรฯ ถามกร บอกว่าให้เข้าด้านหลังอาคาร เพราะเห็นเธอมี แขก” จามรียิ้มจางไปในทันที เมื่อนึกถึงภาพที่สายศิลป์จูบคลอเคลียคนรัก “ตามใจ” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ “ยิ่งเข้าใกล้มาก จะยิ่งหวงแหน ไม่กังวลหรอกหรือ” จามรีถามและเดินมานั่งที่โต๊ะรับประทานอาหาร โดยมีสายศิลป์เดินตามมา “เราไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ใช่หรือ” “ไม่ผิดของเรา แต่อาจจะผิดกับคนของเธอนะ” จามรียิ้มจางๆ “ถ้าเป็นอาร์ตร้องไห้ พี่จุ้นจะปลอบไหมล่ะ” สายศิลป์ลองเรียบเคียงถามดู เพราะสิ่งที่ได้ยินกับท่าทางกังวลใจของจามรีทำให้ ตัวเองรู้สึก ไม่สบายใจด้วยเช่นกัน “ปลอบสิ แต่คงไม่ใส่กางเกงยีนส์นอนหรอกนะ” จามรีหัวเราะ “ปลอดภัยไว้ก่อน” สายศิลป์อมยิ้ม “ไม่ได้หื่นสักหน่อยนะ” จามรีพูดงึมงำ “เอ๊า เวลาหื่นแล้วจะบอกก่อนไหมล่ะ ต้องป้องกันไว้ก่อนแหละ” “เออ ก็จริงเนอะ เวลาหื่นคิดหรือว่า แค่กางเกงยีนส์แล้วจะรอด” “ไอ้พี่จุ้น กินอาหารเช้าได้แล้ว จะได้รีบไปทำงาน ต่อปากต่อคำขนาดนี้คงหายดีแล้วแหละ” สายศิลป์แอบยิ้ม เมื่อเห็นจามรีทำหน้ามู่ทู่ “ขี้บ่นนักนะ เป็นเด็กเป็นเล็ก นี่เสื้อเอาไปใส่ให้หอมแล้วเอามาคืนด้วย” จามรีส่งเสื้อซึ่งก่อนหน้าเป็นของสายศิลป์ให้กับเจ้าตัว “โรคจิต” สายศิลป์รำพึงออกมาเบาๆ แต่ยังคงมีรอยยิ้มอยู่ “จิตใจดีจะตาย ไม่รู้ล่ะสิ ขอบใจนะ” “เดี๋ยวจะใส่นอนนะ คืนนี้ ถ้าใส่ทำงานรับรองได้เลยมีสีเลอะเทอะแถมไปด้วยแน่ๆ” สายศิลป์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ความน่ารักของคน ที่ช่างหยอกเย้าด้วยความหวังดีไม่อยากให้กังวลใจกับเรื่องที่สร้างความไม่สบายใจทำให้จามรียิ้มออกนึกขอบคุณในความเอาใจใส่ ดูแล ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมาและจนกระทั่งรุ่งเช้าที่ทำให้รู้สึกสดใสมากขึ้น “บ่ายๆ ว่างไหมล่ะ จะพาไปกินไอติมฟรี” จามรีพูดขึ้นและกำลังเริ่มจิบกาแฟ “ร้านพี่ยุ่งล่ะสิ หลอกไปทำงานมากกว่ามั้ง” “เบื่อ รู้ทันไปซะหมด” จามรีส่ายหน้า “อาร์ตมีนัดไปทานข้าวบ้านพี่วีร์ค่ะ” สายศิลป์บอก แต่ไม่กล้าที่จะมองสบตากับคนที่ยิ้มจางๆ อยู่ข้างๆ “งั้น เราขอตัวก่อนนะ” จามรีพูดขึ้น “ค่ะ ใจน่ะเป็นของพี่จุ้น อย่าให้ใครมาทำให้เสียใจสิ นะ” สายศิลป์ยิ้มให้กับจามรีที่เวลายิ้มสวยๆ จะทำให้ใบหน้าที่คมเข้มอยู่ แล้ว สวยสดงด งามมากขึ้นเป็นทวีคูณ แต่ส่วนใหญ่ชอบยิ้มทะเล้นทำหน้ากวนๆ ให้เห็นเสียมากกว่า “เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว แก้ยากแล้วแหละ” “เดี๋ยวจะเป็นกำลังใจให้นะ สู้ๆ ไหนๆ ก็เป็นจอมกวนแล้ว เป็นจอมเก่งเพิ่มมาด้วยดิ เวลายิ้มน่ะ สวยจะตาย” สายศิลป์ยิ้มอายๆ ที่ เผลอพูดชมออกไป “เคยมีแต่ผู้ชายบอก เธอเป็นผู้หญิงคนแรกเลยนะ ที่ชมว่าเรายิ้มสวย” จามรีบอกและขอตัวกลับ สายศิลป์จะได้ทำงานและใช้ เวลาส่วนตัว สายศิลป์ยืนยิ้ม หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นที่บ้านของสุวีร์ซึ่งไม่ค่อยได้พูดคุยกันมากนัก โดยเฉพาะเรื่องโทรศัพท์ที่ทั้งสองคนมักไม่ค่อยสนใจที่จะใช้พูดคุยกัน นอกจากเรื่องจำเป็นหรือมีนัดหมายกันเท่านั้น เสียงจานที่หล่นกระทบพื้นทำให้สุวีร์ส่ายหน้า แต่ยังคงมีรอยยิ้มอยู่ “แตกละเอียดเลยรอบนี้” สุวีร์พูดขึ้น “เมื่อเช้าก็แตก แต่เดี๋ยวอาร์ตเก็บเองค่ะ พี่วีร์ไปดูข่าวเถอะ” “ระมัดระวังข้าวของบ้างนะจ๊ะ แม่เด็กซุ่มซ่าม” สุวีร์พูดแหย่ทำให้สายศิลป์มีรอยยิ้มอดที่จะขำตัวเองไม่ได้ แต่รอยยิ้มบนใบหน้า เป็นรอยยิ้มให้คนที่กุลีกุจอช่วยเก็บเศษแก้วที่แตกเมื่อเช้าเสียมากกว่า สายศิลป์หันไปมองดูสุวีร์ซึ่งกลับไปนั่งดูข่าวเหมือนเดิม “คนละคน ก็ต้องแตกต่างสิ ห้ามเปรียบเทียบเชียวนะ ยายอาร์ตเอ๊ย” สายศิลป์พูดเตือนตัวเองก่อนจะจัดการเก็บเศษกระเบื้องจากจานที่แตกอยู่ที่บริเวณพื้น แต่เมื่อเห็นเลือดทำให้เริ่มรู้สึกเจ็บที่นิ้วโป้งเท้าขึ้นมาทันที “เลือดอาบเลยฉัน”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD