มือของใครบางคนปิดปากลลินและลากตัวเธอออกมาจากที่เกิดเหตุในช่วงจังหวะชุลมุน โดยที่เจ้าตัวไม่มีโอกาสรู้สักนิดว่าเป็นมือของใคร
ลลินดิ้นขลุก แต่เธอก็ไม่มีแรงพอที่จะต่อต้าน คอของเธอก็ถูกยึดเอาไว้ไม่ให้มองเห็นตัว หรือแม้แต่จะเปล่งเสียงร้องให้คนช่วยก็ไม่ได้
เพียงไม่นานรถของโรงพยาบาลก็มาถึง จังหวะเดียวกับที่คชาวิ่งออกจากงานมาดูเหตุการณ์ แต่เขาก็มาไม่ทันถึงตัวชายหนุ่ม เจ้าหน้าที่ก็พาตัวอลันขึ้นเปลเคลื่อนย้ายไปก่อน เบื้องต้นไม่รู้ส่วนไหนแตกร้าวบ้างจำต้องป้องกันให้ครบทุกจุด
“ขอทางด้วยครบ” เสียงของเจ้าหน้าที่ส่งเสียงบอกสมาชิกไทยมุงที่เริ่มหนาตาขึ้นเรื่อยๆ
นางอลันดาวิ่งตามลูกชายไป พลันสายตาของนางก็มองเห็นคชาที่ยืนอยู่ไม่ไกล ห่างไปเพียงไม่กี่ก้าวก็เห็นแมทซ์ยืนอยู่
“คชา...” นางรำพึงออกมาเสียงเบา แต่เพราะความรีบเร่งทำให้นางไม่สามารถหยุดมองอย่างชัดๆ ได้
สายตาสองคู่ที่มองผ่านกันเพียงเสี้ยวนาที แต่มันกลับเรียกความหลังแต่ครั้งอดีตอันยาวนานมากกว่าสามสิบปีกลับมาฉายซ้ำ อีกทั้งเรื่องราวเมื่อห้าปีก่อนกลับยิ่งเหมือนแผลสดๆ ที่เพิ่งผ่านพ้นมาไม่นาน
ความจริงที่นางหลีกหนีมาสามสิบกว่าปีกับแผลสดใหม่เมื่อสามปีที่แล้ว แต่มันกลับมาหานางในทันทีที่นางกลับมาถึงเมืองไทยวันแรก ถึงตอนนี้นางต้องถามตัวเอง นางจะเป็นคนขี้ขลาดหนีอีกต่อไป หรือเดินหน้าเผชิญความจริง
“อลันดา” คชาครางเสียงแผ่วตามหลังนางอลันดาที่ตามลูกชายไป “อลันเป็นลูกของเธออย่างนั้นหรือ”
นางอลันดาทอดสายตามองแสงไฟแห่งมหานคร สามสิบกว่าปีกรุงเทพเปลี่ยนไปจนเธอแทบจำไม่ได้ มันวุ่นวายจอแจมากจนจำภาพบ้านสวนไม่ออก หากความเงียบของโรงพยาบาลยามดึกก็รื้อความทรงจำของเธอกลับคืน
เด็กหญิงลูกครึ่งอย่างเธอถูกนำมาวางไว้หน้าบ้านผู้ดีเก่าย่านฝั่งธน เธอถูกดูแลเลี้ยงดูเป็นอย่างดีราวกับลูกในไส้ของท่านผู้หญิงศจีมาศเจ้าของบ้าน เพราะนางมีลูกชายเพียงคนเดียว การมีเด็กผู้หญิงมาอยู่ด้วยทำให้ความสุขของบ้านเพิ่มมากขึ้น
หากความสุขที่มีกลับแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง ยิ่งรักมากกำแพงไฟแค้นก็ยิ่งมากขึ้น เมื่อความรักระหว่างพี่น้องของคชากับอลันดาก่อตัวเป็นความรักระหว่างหนุ่มสาว
“ผมจะแต่งงานกับดา” คชาโอบประคองน้องสาวที่เลื่อนขั้นมาเป็นแฟนเข้ามาบอกบิดามารดา
ใบหน้าของท่านผู้หญิงศจีมาศมีริ้วรอยของความกังวล กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หน้าตาทางสังคมกับคำครหาที่จะเกิดขึ้น ลูกชายกับลูกสาวมีข่าวรักกันก็อับอายมากพอ สุดที่จะห้ามได้แต่ประวิงเวลารอให้ทั้งคู่เรียนจบ รอวันที่สองคนมีวุฒิภาวะมากพอ เจอโลกกว้างมากขึ้น รอถึงวันที่นางจะหาเหตุผลดีๆ มาขอร้องให้ทั้งคู่เลิกกัน
คนเป็นแม่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ใบหน้าของท่านนายพลผู้เป็นพ่อกลับยิ่งตื่นตระหนกราวไก่ที่กำลังขึ้นเขียงรอเชือด แต่เขาก็ยังคงนิ่งเงียบรอให้ภรรยาจัดการเหมือนอย่างเดิมที่เคยเป็นมา
ที่สุดความจริงก็เดินทางมาถึง คนเป็นแม่เฝ้ารอวันที่ทั้งคู่เบื่อหน่าย แต่รักของเขาและเธอกลับยิ่งหนักแน่น ยากที่จะแยกออกให้ห่าง เหตุผลเดียวที่ท่านผู้หญิงศจีมาศร้องขอขยับเข้ามาใกล้ทุกที จนถึงวันที่ทั้งคู่เรียนจบ จนหนทางที่คนเป็นแม่จะหาเหตุผลมาปฏิเสธได้
“รอให้ทำงานก่อนไม่ดีหรือลูก ดาก็กำลังก้าวหน้ากับอาชีพนางแบบ ส่วนลูกก็ต้องเข้าไปบริหารกะรัตแทนแม่” ท่านผู้หญิงศจีมาศพยายามบ่ายเบี่ยงลูกชาย
“แต่น้องดาเรียนจบมาเป็นปีแล้วนะครับ แม่เคยบอกให้ผมรอน้องดาเรียนจบ”
“แม่ไม่อยากให้ชื่อเสียงในวงการของน้องต้องดับวูบ ดานางแบบที่กำลังรุ่งนะลูก” ท่านผู้หญิงศจีมาศหว่านล้อม
คชาก้มลงสบตาอลันดา กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอย่างหวงแหน
“ผมจะให้น้องดาออกจากวงการ ผมจะเลี้ยงดูน้องดาเอง ครอบครัวของเราก็ร่ำรวยติดอันดับ ผมไม่อยากให้น้องดาต้องไปอวดเนื้อหนังมังสาแลกเงิน”
เพราะความรักลูกชายคุณหญิงศจีมาศยอมทนกล้ำกลืนให้ทั้งคู่รักกัน ท่านนายพลเป็นเพียงคนเดียวที่ขัดขวางสุดทาง โดยอ้างหน้าตาของท่านผู้หญิง
ไม่มีใครรู้ว่าอลันดาคือลูกของท่านนายพลกับแหม่มสาวชาวอังกฤษที่เข้ามาช่วยงานกองทัพ นางคลอดลูกแล้วนำมาเรียกร้องสิทธิความเป็นภรรยา แต่ท่านนายพลกลับกลัวท่านผู้หญิงศจีมาศ เสนอทางเลือกให้มารดาของนางอลันดาเดินออกไปจากชีวิต และจะเลี้ยงดูลูกสาวเป็นอย่างดี
ทางเดียวที่เขาจะพาลูกเข้าบ้านได้คือวางแผนจัดฉากให้เหมือนมีคนนำมาทิ้ง คนเดียวที่รู้ที่มาที่ไปของเด็กหญิงอลันดาคือบิดาบังเกิดเกล้า ความลับที่ถูกปกปิดมาเกือบจะรอดพ้น หากลูกสองคนไม่เกิดรักกันเข้าเสียก่อน
เมื่อได้ยินลูกชายบอกอย่างหนักแน่นอย่างนั้น ท่านนายพลลดหนังสือที่กำลังอ่านลง เหลือบสายตามองลูกชาย ยิ่งเห็นแววตาของลูกที่มองน้องในไส้อย่างสิเน่หา หัวอกคนเป็นพ่ออย่างท่านนายพลก็ยิ่งเหมือนมีระเบิดเวลากลางใจ แต่ท่านก็ยังรักษาความเงียบงันเอาไว้ดังเดิม ยกหนังสือขึ้นปิดหน้าอีกครั้ง หากความสนใจกลับจดจ่ออยู่ที่การสนทนา รอการตัดสินใจของท่านผู้หญิงศจีมาศ
“ถ้าแม่ห้าม ลูกจะว่าอย่างไร” ท่านผู้หญิงศจีมาศหยั่งเชิง
“ความรักของผมที่มีต่อน้องดายิ่งใหญ่มาก ผมไม่สามารถรักใครได้อีก หากไม่ได้ครองคู่ในชาตินี้ เราจะพากันไปครองครู่ในภพหน้า” คชาบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
แววตาของคนเป็นแม่ตื่นตระหนก
“ลูกหมายความว่าอย่างไร”
“ความตายคือสิ่งที่เราสองคนจะเดินไปหา หากว่าแม่ยังไม่ยอม” คชาตอบมารดากลับทันที
“ไม่นะคชา”
“ได้โปรดอนุญาตให้เราสองคนแต่งงานกันเถอะครับ”
เมื่อจนใจ จนหนทาง จนเหตุผลที่จะห้าม สุดทางเลือกที่คนเป็นแม่มี ความสุขของคนเป็นแม่ก็คือมองลูกมีความสุขเท่านั้น
“แม่อนุญาต”
ท่านผู้หญิงศจีมาศตอบลูกชาย
“ขอบคุณครับแม่”
“ไม่ได้เด็ดขาด” เสียงของสองพ่อลูกพูดขึ้นมาพร้อมกันหลังจากสิ้นสุดเสียงของท่านผู้หญิงศจีมาศ
คนที่ไม่เคยมีความเห็นกลับคัดค้านเสียงเข้ม ท่านผู้หญิงศจีมาศหันหน้าไปมองสามี พร้อมกับสายตาอีกสองคู่ของสองหนุ่มสาว ต่างมีคำถามในสายตาเหมือนกัน
ท่านนายพลชั่งใจอยู่นานหลายปีว่าจะบอกความจริง ความจริงที่เขาอยากปิดตายให้หายไปพร้อมลมหายใจของเขา แต่ทางออกเดียวที่มีตอนนี้คือบอกความจริง สองพี่น้องร่วมสายเลือดจะแต่งงานกันไม่ได้เด็ดขาด
ในเมื่อท่านผู้หญิงศจีมาศรักอลันดาเหมือนลูกโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นสายเลือดของใคร แต่ถ้าเกิดนางรู้ว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา เรื่องราวก็คงไม่เลวร้ายมากนัก ในเมื่อมันเป็นทางออกที่ดีที่นางต้องการด้วย
“ทำไมหรือครับพ่อ”
“นั่นสิค่ะ...คุณมีเหตุผลอื่นนอกจากฉันหรือเปล่า” ท่านผู้หญิงศจีมาศถามสามีด้วยความหวัง บางทีอาจจะมีเหตุผลเพื่อประวิงเวลาไปได้อีกหน่อย
“สองคนจะแต่งงานกันไม่ได้เด็ดขาด”
“คุณมีเหตุผลหรือเปล่า” คุณหญิงศจีมาศถามเสียงเย็น
“อลันดากับคชาเป็นสายเลือดเดียวกัน พี่น้องร่วมสายเลือดจะแต่งงานกันไม่ได้เด็ดขาด”
คำตอบทำให้ทั้งสามตกตะลึง อลันดามองหน้าผู้เป็นพ่ออย่างปวดร้าว คนที่เธอโหยหาไออุ่น คนที่เธออยากรู้จัก และคนที่เธออยากถามว่าทำไมถึงทอดทิ้งลูกในไส้ได้ลงคอ เมื่อความจริงอยู่ตรงหน้าเธอกลับพูดไม่ออก
“อลันดาเป็นลูกของผม”
ความเย็นเยียบในน้ำเสียงของท่านผู้หญิงศจีมาศเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิงที่พร้อมแผดเผาทุกอย่างให้เป็นจุล สิ่งที่รับรู้เหมือนนางโง่งมถูกหลอกให้อุ้มชูลูกเมียน้อยของสามี ตอนนี้ผู้หญิงหน้าด้านคนนั้นคงหัวเราะเยาะนางอยู่ที่ไหนสักแห่ง ที่แย่งคนของนางไปแล้วลูกสาวยังทำให้ลูกชายคนเดียวหลงหัวปักหัวปำ
“อะไรนะ...คุณว่าอลันดาเป็นลูกใคร” ท่านผู้หญิงเดินเข้าไปหาสามีถามย้ำเสียงหนัก