ตอนที่ 2 เด็กชายหมวกแดง

2332 Words
เจ้าลูกหมูเรียกผู้ชายน่ากลัวคนนั้นว่า ‘ท่านพ่อ’ เช่นนั้นเขาก็คือ...สามีนางน่ะหรือ!? คิดแล้วขนอ่อนก็ลุกซู่ หนิงเซียนละล้าละลังอยู่นาน ว่าจะตามสองพ่อลูกไปดีหรือไม่ สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ ความตั้งใจเดิมของนางคือเดินมาส่งลูกไปเรียนมิใช่หรือ หญิงสาวเดินตามสองพ่อลูกมายังโถงซือจี๋ นางยืนอยู่ข้างนอก เกาะขอบประตูแล้วชะโงกหน้าดูลูกชาย ทำราวกับแม่ที่พึ่งส่งลูกเข้าโรงเรียนวันแรกแล้วแอบคอยดูว่าเขาจะร้องไห้หรือไม่ หนิงเซียนเห็นชายคนนั้นเหมือนกำชับอะไรบางอย่างกับอาจารย์ท่าทางเข้มงวดน่าดู สีหน้าของเจ้าลูกหมูก็ดูหดหู่อย่างเห็นได้ชัด สงสารลูกจัง... หลังจากกำชับอาจารย์แล้ว เหยียนหยงเล่อก็ต้องออกไปราชสำนัก เขาหันกลับมาก็เจอหนิงเซียนยืนเกาะขอบประตูทำอย่างกับพวกถ้ำมอง เหยียนหยงเล่อไม่แม้แต่จะปรายตามองหญิงสาว เขาเดินผ่านราวกับนางเป็นเพียงอากาศ ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาคู่นี้เป็นอย่างไรกันแน่นะ งอนกันอยู่หรืออย่างไร หนิงเซียนคิดอย่างสงสัย ยืนมองเจ้าลูกหมูร่ำเรียนอยู่นาน หนิงเซียนกลัวว่าลูกชายตัวอ้วนจะหิว เมื่อเช้าเขารีบมากกินโจ๊กไปไม่กี่คำเท่านั้น จึงคิดว่าไปหาอะไรให้เขากินหน่อยดีกว่า นางไม่รู้ว่าห้องครัวอยู่ที่ไหน จึงถามกับบ่าวชายคนหนึ่งซึ่งกำลังยืนกวาดใบไม้อยู่ลานหน้าเรือน หนิงเซียนเดินตามที่บ่าวคนนั้นบอก หลิวหร่านกำลังแจกแจงงานให้บ่าวในจวนเห็นนายหญิงเข้าก็ถามอย่างแปลกใจ “ฮูหยิน มีอะไรหรือไม่ขอรับ” “ข้าอยากได้ของว่างให้ลูกชาย ตอนเช้าเขารีบมากจึงกินได้ไม่เยอะ กลัวว่าเขาจะหิวระหว่างนั่งเรียน” หลิวหร่านกะพริบตาปริบๆ “เอ่อ ถ้าอย่างนั้นบ่าวจะให้สาวใช้ยกเข้าไปให้นายน้อยก็แล้วกันขอรับ” “ข้าจะเอาไปให้เขาเอง” สาวใช้ในครัววิ่งวุ่นรีบจัดแจงของว่างให้ฮูหยินจนเหงื่อแตกพลั่ก เมื่อฮูหยินจากไป คนในครัวก็จับกลุ่มซุบซิบกันทันที “ฮูหยินคงไม่ได้หวังดีกับลูกชายหรอก ข้าได้ยินมาว่า นายท่านเปลี่ยนอาจารย์ใหม่ให้นายน้อย หน้าตาดีเลยทีเดียว นางคงตั้งใจทอดสะพานให้อาจารย์ของลูกชาย” สาวใช้คนหนึ่งพูดขึ้น เรื่องที่ฮูหยินสวมหมวกเขียวให้สามี ใครบ้างจะไม่รู้ “นินทาเจ้านาย ระวังปากพวกเจ้าให้ดี!” หลิวหร่านเอ่ยเตือนเสียงเข้ม สาวใช้พวกนั้นจึงพากันรีบหุบปากและแยกย้ายกันไปทำงาน หวังว่านายหญิงจะไม่เป็นเช่นที่พูดนะ พ่อบ้านหลิวได้แต่ทอดถอนหายใจ หนิงเซียนเอาขนมชิงถวนและน้ำเก๊กฮวยเย็นๆ มาให้เจ้าลูกหมู เด็กน้อยกำลังตั้งใจคัดอักษรอย่างขมักเขม้น ทันทีที่เห็นหน้าท่านแม่เขาก็ยิ้มกว้าง “ท่านอาจารย์ ขอเสียมารยาทสักครู่ คือว่า...เมื่อเช้าลูกชายข้าเสียเวลามาดูแม่ของเขา เป็นห่วงกลัวว่าข้าไม่สบาย เขารีบมากเลยกินข้าวเช้าได้แค่ไม่กี่คำ ข้ากลัวว่าเขาจะหิว จึงเอาขนมชิงถวนและน้ำเก๊กฮวยมาให้ ของท่านอาจารย์ก็มีเจ้าค่ะ” เหลียงซือฝูเงยหน้าขึ้น มองหญิงสาวตรงหน้าสลับกับมองลูกศิษย์ตัวอ้วน สุดท้ายก็พยักหน้า “เช่นนั้นก็พักสักครู่เถอะ” “ขอบคุณท่านอาจารย์” หนิงเซียนนั่งลงข้างลูกชาย ก้มมองตัวหนังสือที่เขาเขียน เอ่ยชมไม่หยุดปากว่าลายมือสวย เด็กน้อยเมื่อถูกชมก็ดีใจยิ้มแป้น “เจ้าลูกหมูของแม่ เจ้าต้องเรียนถึงยามใดหรือ” หญิงสาวเอ่ยถาม “เย็นขอรับ” หนิงเซียนตาโต เด็กคนนี้อายุเท่าไรกัน ทำไมถึงเรียนเยอะเช่นนี้ นางถามต่ออีกว่า “เจ้าเรียนเช่นนี้ทุกวันเลยหรือ” เหยียนอันพยักหน้า เคี้ยวขนมตุ้ยๆ หนิงเซียนมองดูลูกชายแล้วอดสงสารไม่ได้ ช่วงวัยเขาควรมีเวลาวิ่งเล่นบ้างสิ พ่อของเขาคงเป็นคนเข้มงวดน่าดู ตลอดทั้งวันหนิงเซียนวิ่งวุ่นคอยหาอาหารและขนมขบเคี้ยวไปให้เจ้าลูกหมูทุกครึ่งชั่วยาม จนอาจารย์ของเขาต้องดุนาง หญิงสาวก็ได้แต่ส่งยิ้มแหยกลับไป รอจนกระทั่งเย็นเหยียนอันเลิกเรียน นางคิดว่าตอนนี้ลูกคงมีเวลาว่างแล้ว หากก็ต้องตกใจเมื่อเขาบอกว่า “ยังต้องทำการบ้านขอรับ” ไม่ได้การแล้ว นางต้องคุยกับพ่อของลูกเดี๋ยวนี้ ว่าแต่เขาชื่ออะไรนะ!? “พ่อของเจ้าชื่ออะไร” หนิงเซียนถามลูกชายที่กำลังหยิบพู่กันจุ่มน้ำหมึก เหยียนอันเงยหน้ามองมารดาอย่างงุนงง ท่านแม่ตกกำแพงครั้งนั้นทำให้ความจำเลอะเลือนถึงเพียงนี้เลยหรือ เด็กน้อยตอบว่า “เหยียนหยงเล่อ” “อืม แม่จะไปคุยกับเหยียนหยงเล่อ ว่าเข้มงวดกับลูกเช่นนี้ได้อย่างไร ลูกยังเด็กนัก ยังต้องนอนกลางวันอยู่เลย” หนิงเซียนพูดอย่างเดือดดาล เหยียนอันเหมือนจะชินกับความเข้มงวดนี้แล้ว แม้เขาจะสี่ขวบเองก็ตาม เด็กน้อยไม่สนใจมารดาที่ฟึดฟัดอยู่ด้านหลัง ก้มหน้าก้มตาจรดปลายพู่กันอย่างเดียว เหยียนอันน้อยเขียนไปยิ้มไป เพราะดีใจที่ท่านแม่เป็นห่วงเขา หนิงเซียนเดินออกจากห้องลูกชาย เห็นลี่จวินกำลังเดินเข้ามาพอดี “เหยียนหยงเล่อกลับมาหรือยัง” นางถามด้วยน้ำเสียงดุดัน ลี่จวินตกใจจนตัวสั่น ไม่คุ้นชินกับท่าทีเดือดดาลของฮูหยินสักที นางก้มหน้าก้มตาตอบเสียงตะกุกตะกัก “กะ...กลับมาแล้วเจ้าค่ะ” “เขาอยู่ไหน” “ยะ...อยู่ที่เรือนว่านโตวเจ้าค่ะ” ลี่จวินชี้นิ้วไปที่ท้ายจวน หนิงเซียนเข้าใจทันทีว่าคือที่ใด ที่ๆ เขาเอาไว้เชือดคนอย่างไรเล่า หญิงสาวเดินดุ่มๆ เข้าไปราวคุ้นชินกับสถานที่นี้ดีนัก ที่นี่ไม่มีสาวใช้แม้สักคน บรรยากาศช่างเงียบกริบและวังเวง นางกำลังจะเคาะประตูเพราะได้ยินเสียงเคลื่อนไหวภายในห้อง คิดว่าคงมีคนอยู่แน่นอน แต่ยังไม่ทันได้ยกมือ เสียงบทสนทนาด้านในก็ดึงดูดนางเสียเหลือเกิน “เดือนสิบ จะมีพิธีบวงสรวงเทพยดาที่เขาอี้กว่าน” จู่ๆ เหยียนหยงเล่อก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ “นายท่านจะกำจัดฮูหยินตอนนั้นหรือ” โยว่เหนียนเป็นผู้ติดตามข้างกายเหยียนหยงเล่อเอ่ยถาม “ผู้หญิงแพศยา สมควรตายเสียเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ” หนิงเซียนนิ่งงันตัวแข็งค้าง ชายผู้นั้นคิดจะเชือดคนอีกแล้วหรือ แต่เสียงอีกคนพูดว่า ‘ฮูหยิน’ พวกเขาคงไม่ได้หมายถึงนางใช่หรือไม่ เห็นทีการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่คงไม่ง่ายอย่างที่คิดแล้วกระมัง หนิงเซียนไม่กล้าไปพบเขาแล้ว นางรีบวิ่งหน้าตื่นกลับเรือนตนเองทันที พอเห็นลี่จวินกำลังเดินออกมาจากห้องเจ้าลูกหมู นางก็รีบลากแขนพี่เลี้ยงสาวไปยังห้องตนเอง ปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา ลี่จวินขาสั่นพั่บ ยืนหลบหลังแจกันสูง “ฮะ...ฮูหยิน มีอะไรหรือเจ้าคะ” หนิงเซียนไม่อ้อมค้อม “ที่ผ่านมาข้าเป็นอย่างไร พูดมาให้หมด” “บะ...บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ” ลี่จวินหลุบตามองต่ำ หากพูดไม่เข้าหู นางจะถูกตีปากเหมือนคราวที่แล้วอีกใช่หรือไม่ หนิงเซียนคิดว่าคงเลวร้ายจนไม่น่าให้อภัยกระมัง ดูจากที่ผู้หญิงคนนี้หวาดกลัวนางเสียยิ่งกว่าอะไร “พูดมาเถอะ พูดมาทุกอย่าง ข้าสัญญาจะไม่โกรธ ไม่ต่อว่าอะไรทั้งนั้น” ลี่จวินทั้งแปลกใจ ทั้งสงสัย เหลือบมองหน้าฮูหยินเป็นระยะ ไม่ยอมเอื้อนเอ่ยเสียทีจนหนิงเซียนร้อนใจ พูดข่มขู่ว่า “หากยังไม่พูดอีกข้าจะลงโทษเจ้าแล้วนะ!” พี่เลี้ยงสาวลนลานวิ่งมาคุกเข่าตรงหน้า “บ่าวเล่าแล้ว เล่าแล้วเจ้าค่ะ!” เมื่อฟังจบหนิงเซียนก็พรูลมหายใจออกมา นางสวมหมวกเขียวให้สามีงั้นหรือ น่าไม่อายถึงขนาดต้องแอบปีนกำแพงหนีไปหาชายชู้ นี่นางแต่งงานมีลูกแล้วนะ เหตุใดถึงทำตัวน่าเกลียดเช่นนี้ เหยียนหยงเล่อเรียกนางแพศยาก็สมควรแล้วกระมัง แต่ถึงกับต้องฆ่าแกงกันเลย เรื่องนี้ดูไม่เกินเหตุไปหน่อยหรือ แค่เขียนใบหย่าแยกทางกันอยู่ไม่ดีกว่าหรือ ยังมีหลายเรื่องที่ตัวหนิงเซียนเองไม่เข้าใจ นางเห็นภาพเหมือนแม่แท้ๆ ของเหยียนอันแปะบนผนังห้องเขา นางและแม่ของเจ้าลูกหมูมีหน้าตาเหมือนกันราวเป็นคนเดียวกัน มิหนำช้ำชื่อยังเหมือนกันอีก เว้นแซ่เท่านั้นที่ต่างกัน นางแซ่จาง ส่วนแม่เจ้าลูกหมูแซ่ชุย แล้วแม่ที่แท้จริงของเจ้าลูกหมูไปไหนกัน? “ฮะ...ฮูหยิน บ่าวไปได้หรือยังเจ้าคะ” ลี่จวินแอบซับเหงื่อเบาๆ หันซ้ายทีแลขวาที “อือ เจ้าไปเถอะ” หนิงเซียนโบกมือไล่ ทิ้งตัวนอนบนเตียง มือก่ายหน้าผากอย่างครุ่นคิดสงสัย ว่าเกิดเรื่องอะไรกับตนกันแน่ จังหวะนั้นเสียงฝีเท้าหนักๆ ก็วิ่งเข้ามาในห้อง เป็นเจ้าลูกหมูของนางนั้นเอง จากที่เครียดจนสมองแทบกระจุยเมื่อครู่ หัวสมองก็พลันว่างเปล่าทันที หญิงสาวยิ้มกว้าง เปลี่ยนท่านอนตะแคงแล้วตบที่ว่างข้างตัว เหยียนอันน้อยรีบถอดรองเท้าปีนขึ้นเตียงมารดา “ท่านแม่ ข้าฟังนิทานได้หรือยัง” เด็กน้อยถามดวงตาใสแจ๋ว ท่านแม่บอกว่า มีนิทานเป็นร้อยเรื่องที่จะเล่าให้เขาฟัง เด็กน้อยพอจำได้เลือนราง ว่าแต่ก่อนท่านแม่ก็ชอบเล่านิทานให้ฟังเช่นนี้ “ลูกทำการบ้านเสร็จแล้วหรือ” หนิงเซียนถาม “เสร็จแล้วขอรับ” เด็กน้อยรีบคัดตัวอักษรจะได้รีบเสร็จ มือเขาเปื้อนน้ำหมึกไม่ทันจะล้างก็รีบวิ่งมาหาท่านแม่ให้เล่านิทานให้ฟัง หนิงเซียนขยับตัวลุกขึ้นนั่ง หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมือน้อยๆ ให้เจ้าลูกหมู “วันนี้แม่จะเล่าเรื่องเด็กชายหมวกแดงแล้วกัน” นางเปลี่ยนเนื้อหาเล็กน้อยให้เข้ากับเด็กผู้ชาย สองแม่ลูกนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่บนเตียง เหยียนอันกำลังฟังท่านแม่เล่านิทานอย่างตั้งใจ ดวงตาองุ่นใสซื่อไม่แม้แต่จะกะพริบตา “ท่านยาย ทำไมท่านยายถึงมีเขี้ยวขอรับ เด็กชายหมวกแดงถาม แล้วค่อยๆ เดินถอยออกมาเพราะรู้สึกไม่ปลอดภัย...” หนิงเซียนจ้องหน้าเจ้าลูกหมูเขม็ง เจ้าลูกหมูเองก็มองนางอย่างลุ้นระทึก หญิงสาวจึงแสร้งทำเสียงแหบแห้งพูดเสียงดังว่า “ก็เพราะยายมีเขี้ยวไว้จับเจ้ากินอย่างไรเล่า!” เหยียนอันสะดุ้งโหยง ก่อนหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ เหยียนหยงเล่อกลับมาที่เรือนใหญ่เพื่อตรวจการบ้านลูกชาย เขาได้ยินเสียงหัวเราะจึงเดินตามเสียงนั้นไปดู ลี่จวินเองยืนแอบอยู่หลังประตูมองสองแม่ลูกด้วยความซาบซึ้ง นางพึ่งได้ยินเสียงหัวเราะของนายน้อยก็วันนี้เอง ลี่จวินรู้สึกเหมือนมีใครยืนอยู่ด้านหลัง หันกลับไปจึงเห็นว่าเป็นนายท่าน นางเลิกลั่กทำตัวไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็รีบถอนสายบัวแล้วเดินหนีไปอีกทาง เหยียนหยงเล่อแอบฟังผู้หญิงคนนั้นเล่านิทานให้ลูกชายเขาฟัง ยืนเงียบๆ เช่นนั้นอยู่นาน “คราวนี้เจ้าหมาป่าไม่แสร้งทำใจดีอีกต่อไป มันกระโจนเข้าหาเด็กชายหมวกแดงอย่างเกรี้ยวกราด เด็กชายจึงร้องโวยวายเสียงดัง โชคดีที่นายพรานหนุ่มสองคนเดินผ่านมาทางนี้พอดี” หนิงเซียนทำท่าน้าวสายธนูแล้วเล่าต่อ “ฟิ้วๆ เสียงลูกธนูแหวกอากาศปักเข้าที่ร่างหมาป่า เจ้าหมาป่าดิ้นรนอย่างเจ็บปวด นายพรานสองคนนั้นเข้ามาช่วยเด็กชายหมวกแดงได้ทันเวลา และช่วยท่านยายออกจากใต้เตียงได้สำเร็จ เด็กชายหมวกแดงจึงสารภาพผิดและขอโทษท่านยายที่เถลไถลจนต้องเดือดร้อน...” หนิงเซียนแสร้งทำเสียงคนแก่ “ยายไม่โกรธเจ้าหรอก แค่เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว จากนี้เจ้าต้องสัญญากับยาย ว่าจะไม่เชื่อคนแปลกหน้าและเที่ยวเล่นจนลืมเวลาเช่นนี้อีก” ด้วยความเป็นเด็กน้อย เหยียนอันจึงพยักหน้าตอบรับจริงจัง “ข้าสัญญาขอรับท่านยาย!” หนิงเซียนยิ้มด้วยความเอ็นดู แล้วเล่าต่อจนจบ “จากนั้นท่านยายก็เลี้ยงอาหารแสนอร่อยให้แก่นายพรายหนุ่มทั้งสอง ก่อนจะพาเด็กชายหมวกแดงกลับบ้านหาท่านแม่อย่างปลอดภัย...” เหยียนหยงเล่อไม่รู้ตัวเลยว่ายืนอยู่ตรงนี้นานเท่าใด จนหลิวหร่านเดินผ่านมาเห็นพอดี “นายท่าน สำรับมื้อเย็นพร้อมแล้ว” ชายหนุ่มได้สติ ขานรับในลำคอเสียงหนึ่ง “เรียกเสี่ยวอันมากินข้าวได้แล้ว” พูดจบเขาก็เดินจากไป หลิวหร่านมองเข้าไปให้ห้อง เห็นนายน้อยยิ้มแย้มแจ่มใสก็พลอยรู้สึกดีใจไปด้วย แต่ไม่รู้เหมือนกันว่านายหญิงผู้นี้จะดีไปได้กี่วันเชียว “เรียนฮูหยิน นายน้อย ตั้งสำรับมื้อเย็นเสร็จแล้วขอรับ” หนิงเซียน “เข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้ากับลูกรีบตามไป”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD