ตอนที่ 3
แก้ปัญหา
"น้องหลับแล้วเหรอโย"
เสียงของหญิงสูงวัยเอ่ยถามออกไปเสียงค่อนไปทางเบา สีหน้าของนางหมองลงจนสังเกตได้ ไม่ต่างจากคนเป็นพ่อที่ตระกองกอดอยู่เคียงกันเลยแม้แต่น้อย
"ค่ะ หลับแล้ว"
"แล้วเราจะทำยังไงกันดี เรื่องเรียนของยัยนิม หรือเราจะยอมให้ลูกอุ้มท้องไปนั่งเรียนกันดีคุณ" พ่อของสาวนักเรียนนอกเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ฉายความเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
"ฉันไม่รู้อะไรเลยค่ะคุณ ตอนนี้อะไรฉันก็ยอมหมดทั้งนั้น ขอแค่ยัยนิมไม่คิดสั้นอะไรแบบนั้นอีกก็พอ"
เสียงสะอื้นหลุดออกมาจากหญิงวัยกลางคนอีกครั้ง กับเหตุการณ์ที่นำพาให้ครอบครัว ชวัลลักษณ์เกือบสูญเสียครั้งใหญ่ หญิงสูงวัยรู้ดีว่าตนเองกับสามี ก็มีส่วนผิดเช่นกัน เพราะเอาแต่ดุด่าคนหลงผิดเพียงเพราะห่วงหน้าตาตัวเอง จนละเลยความกดดันที่ลูกคนเล็กมี
"แล้วพ่อกับแม่ไม่ห่วงเรื่องหน้าตาแล้วเหรอคะ"
"..."
วาโยที่มองใบหน้าอมทุกข์ของผู้ให้กำเนิดทั้งสองที่ได้แต่นิ่งเงียบ ก็เริ่มทอดถอนลมหายใจออกไปอีกครั้ง ทางออกเรื่องนี้ที่เจ้าตัวเพิ่งคิดมาได้ ซึ่งมันน่าจะเป็นทางออกสุดท้ายที่ดีสุดแล้ว ลมหายใจถูกถอนออกมาอีกครั้งก่อนน้ำเสียงหนักแน่นจากคนตัดสินใจได้ จะเอ่ยออกไปแก่คู่สามีตรงหน้า
"โยคิดทางออกเรื่องนี้ได้แล้วค่ะ ทางออกที่จะทำให้พ่อกับแม่ไม่อาย และยัยนิมเองก็สามารถเรียนจนจบได้ด้วย"
"ยังไง" สองสามีภรรยาเปล่งเสียงถามออกมาพร้อมกัน ในขณะที่วาโยคนต้นคิดยกยิ้มออกมาแล้วเริ่มอธิบายให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฟัง ทั้งคู่ออกอาการตกใจเล็กน้อยกับความคิดของลูก แต่ก็เห็นว่านี่คงจะเป็นหนทางที่ดีสุดแล้วจริงๆ
"คิดดีแล้วใช่มั้ยโย ไหนลูกบอกว่าอยากเรียนดอกเตอร์ไง"
"นั่นสิโย ถึงพ่อแม่จะไม่อยากเสียหน้าแค่ไหน แต่..."
"สามเดือนเองค่ะ โยคิดดีแล้ว" สามสมาชิกของบ้านส่งยิ้มให้กันราวกับจะถ่ายเทกำลังใจให้กันและกัน ให้รอดพ้นจากเรื่องราวยุ่งเหยิงวุ่นวายตรงหน้านี้ไปให้ได้
ไม่กี่วันต่อมา
ลมหายใจหนักๆ ของวาโยถูกผ่อนปรนออกมาเต็มแรง เมื่อสายตามองเงาสะท้อนของตัวเองผ่านกระจกเงาบานใหญ่ ที่อยู่ในชุดนักศึกษาปีสี่อีกครั้ง ใบหน้าที่ยังอ่อนวัยขับให้วาโยดูเหมือนคนรุ่นน้องจริงๆ แต่ตัวเธอกลับไม่เห็นจะดีใจสักนิด
แต่ในเมื่อเลือกทางนี้แล้ว สาวเจ้าก็ได้แต่ยอมรับและทำตามต่อไปเท่านั้น และก็นับว่าเป็นโชคดีอีกอย่างหนึ่งก็ว่าได้ ที่น้องสาวของเธอผ่านช่วงเป็นนักศึกษาฝึกงานไปแล้ว ไม่อย่างนั้น อะไรๆ มันคงดูวุ่นวายกว่านี้เยอะ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
"พี่โย ขอนิมเข้าไปได้ไหม"
เสียงเคาะประตูหน้าห้องที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของน้องสาวผู้เป็นที่รัก ดึงสติให้คนที่กำลังขบคิดเรื่องต่างๆ ให้เหมือนได้สติขึ้นมา ก่อนจะรีบปั้นสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติยามตอบรับออกไป
"เข้ามาเลยนิม พี่ไม่ได้ล็อกประตู"
ร่างของวานิมค่อยๆ โผล่พ้นบานประตูเข้ามาหลังจากพี่สาวเอ่ยอนุญาต ริมฝีปากเล็กยกยิ้มน้อยๆ ให้คนพี่ แต่แค่สบตาก็ทำให้พี่สาวคนโตของตระกูลรู้ได้ทันทีว่าภายใต้รอยยิ้มนั้น มีแต่ความทุกข์และรู้สึกผิดแค่ไหน
"มีอะไรรึเปล่า ทำไมไม่พักผ่อน หืม"
"นอนเยอะแล้วค่ะ เลยอยากเดินออกกำลังกายบ้าง แล้วก็อยากคุยกับพี่ด้วย"
"หืม เรื่องอะไรล่ะ เกี่ยวกับที่มหาลัยเหรอ" คนน้องพยักหน้ารับก่อนจะทรุดลงนั่งยังเตียงคนพี่ช้าๆ ตามแรงประคองสาวเจ้าของห้อง
"เมื่อคืนเราก็คุยกันแล้วนี่ หรือว่ามีอะไรที่นิมลืมบอกพี่อีก"
"ไม่มีหรอกค่ะ แต่นิมแค่จะมาบอกว่า หนูโทรเตี๊ยมกันกับเพื่อนสนิทเอาไว้แล้ว ให้ช่วยดูแลพี่ คนอื่นๆ จะได้ไม่ต้องสงสัย"
เมื่อเห็นว่าสาวนักเรียนนอกผู้กำลังจะกลับไปเป็นนักศึกษาปีสี่อีกครั้งพยักหน้าขึ้นลงรับ ก็เริ่มเอ่ยต่อถึงข้อมูลของเพื่อนสนิทพอคร่าวๆ ให้อีกฝ่ายฟัง
"เพื่อนนิมชื่อ เรอา กับ ซาน นะคะ อายุน้อยกว่านิมสองปีแต่เราก็สนิทกันพอสมควรเลย นิมบอกให้พวกเขารอพี่ที่ทางเข้ามหาลัยแล้วแหละ"
"มีแค่สองคนเหรอ" วาโยเอ่ยถามอย่างไม่คิดอะไร แต่คนน้องที่ฟังแล้วกลับมีสีหน้าหมองลงเล็กน้อยทว่าก็ยังพยายามบังคับเสียงออกไปให้ดูปกติ
"ค่ะ มีแค่สองคน นอกนั้นก็สนิทกันตอนไปเที่ยวผับบาร์ทั้งนั้น"
สาวนักเรียนนอกเหมือนจะรู้ตัวว่าตัวเองไปจี้จุดน้องสาวโดยไม่ตั้งใจ ก็ชะงักอึ้งไปอยู่เกือบนาที สายตาคู่กลมเหลือบมองรอยแดงจากเชือกบนคอน้องสาวแล้วเกิดความรู้สึกกระตุกวูบขึ้นมาครู่หนึ่ง เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ไม่นานมานี้ ก่อนจะปั้นยิ้มแล้วลูบเรือนผมนุ่มอย่างอ่อนโยน พร้อมกับเปลี่ยนเรื่องตัดบทไปเรื่องอื่นแทน เพื่อไม่ให้คำพูดของตนเหมือนไปจี้ปมของวานิมให้มันกลายเป็นบาดแผลขึ้นมาอีก
"คิดมากไปได้ ไปพักผ่อนเถอะ พี่ก็จะออกไปแล้วเหมือนกัน" วาโยว่าแล้วส่งยิ้มให้คนน้องอีกครั้ง ก่อนจะหันไปเตรียมตัวต่อ ในฐานะนักศึกษาปีสี่ที่เธอกำลังจะกลับไปเป็นอีกครั้งหนึ่ง
ขณะเดียวกันหน้ามหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังที่วานิมเรียนอยู่ เห็นเป็นชายหนุ่มรุ่นน้องวัยยี่สิบสองปีสองคนในชุดนักศึกษาขาวสะอาด ส่วนสูงไล่เลียกันยืนพิงกำแพงรั้วสีขาวมุกของมหาวิทยาลัย สายตาก็ชะเง้อหาใครบางคนไปด้วย
"เฮ้อ เมื่อไหร่พี่แกจะมาว่ะ นี่รอได้ชาติครึ่งแล้วมั้ง เดี๋ยวก็ได้สายกันพอดี"
ชายหนุ่มผู้มีเปลือกตาชั้นเดียวผิวขาวราวกับไข่ต้มบ่งบอกว่ามีเชื้อสายจีน เอ่ยออกมาสีหน้าเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย ทั้งยังยกหน้านาฬิกาข้อมือยี่ห้อแพงดูเรื่อยๆ ด้วยว่าใกล้ถึงเวลาเข้าเรียนของวิชาที่ตนลงไว้แล้วนั่นเอง
"เอาน่า เห็นไอ้นิมบอกว่าพี่มันเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก น่าจะยังไม่ชินกับอะไรหลายๆ อย่างแหละ รออีกหน่อยแล้วกัน"
"เออ พูดแล้วก็นึกสงสารมัน ไม่นึกเลยว่าจะมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้อีก"
"ทำไงได้ว่ะ มันเลือกแบบนั้นเองนี่ ที่เราทำได้ก็แค่ช่วยในสิ่งที่ทำได้ ก็เท่านั้นแหละ"
"เออ ก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ แล้วมึงคิดว่าพี่เขาจะรอดปะวะ ถ้าหลุดมานี่เรื่องใหญ่เลยนะ"
หนุ่มหน้าตี๋ยังคงเอ่ยด้วยท่าทีกังวลอย่างเห็นได้ชัด จริงอยู่ที่ถ้าเทียบกันตามอายุแล้ว พวกเขาสองคนกับวานิมย่อมต่างกันถึงสองปี ด้วยว่าฝ่ายนั้นดรอปเรียนไปแล้วกลับมาเรียนใหม่อีกรอบ หากแต่ก็ไม่ได้เป็นช่องว่างจนทำให้การเป็นเพื่อนของทั้งสามมีปัญหาแต่อย่างใด นั่นจึงทำให้ทั้งหมดสามารถพูดคุยกันได้เป็นอย่างปกติ ราวกับเป็นคนรุ่นเดียวกันก็ไม่ผิด
"ไอ้นิมมันบอกมาว่า พี่โยอะไรนั่นของมัน หน้าตาเหมือนกันยังกับแกะ ลองถ้ามันยืนยันขนาดนั้น คงไม่มีใครสงสัยหรอก...มั้ง"
"ก็ถ้าไม่มีมั้งนี่ กูจะมั่นใจมากกว่านี้เยอะเลย เฮ้อ แต่ตอนนี้กูว่ามึงยืนรอพี่เขาคนเดียวไปเหอะ กูมีเรียน ใกล้จะได้เวลาเช็คชื่อแล้วด้วย"
"เออ เจอกันตอนเที่ยง" เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าซานก็ผละออกไปทันที ทิ้งให้เพื่อนของเขาอยู่รอใครอีกคนไปเพียงลำพัง
สำหรับเรอานั้น เขาไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรมากมายนัก เพราะคิดว่าหากไม่พร้อมและเตรียมการมาอย่างดี พ่อแม่ของวานิมคงไม่ยอมให้พี่สาวของตนมาสวมรอยแบบนี้แน่ เพราะถ้าหากมีคนจับได้นั่นหมายความว่าชื่อเสียงของตระกูลชวัลลักษณ์คงได้ถูกนินทามากกว่าที่ควรจะเป็น เรื่องฉาวโฉ่คงไม่พ้นถูกพูดถึงว่าจงใจส่งคนอื่นมาสวมรอยเป็นลูกสาวคนเล็กตัวเองที่กำลังตั้งครรภ์
และในเมื่อเพื่อนสนิทขอให้ช่วย เขาก็คงต้องช่วยสุดความสามารถที่ตนจะทำได้ นอกเหนือจากนี้คงต้องแล้วแต่คนเป็นพี่สาวของวานิมเท่านั้น ที่จะจัดการให้แนบเนียนได้มากน้อยเท่าไหร่
"หืม เบอร์ใครวะ"
คิ้วขึ้นทรงสวยขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อหน้าจอมือถือที่ตนไถโซเซียลดูอยู่ เด้งสายเรียกเข้าจากเบอร์ไม่คุ้นเคย แต่ปลายนิ้วก็ยังคงแตะไปที่สัญลักษณ์สีเขียวอยู่ดี แล้วกรอกเสียงราบเรียบลงไป
"ครับ"
"เอ่อ...คือ พี่ชื่อโยนะ เป็นพี่สาวของนิม คือ...พี่มองหาเราไม่เจอ ที่เห็นว่าจะมารอตรงทางเข้ามหาลัย ตอนนี้เราอยู่ตรงไหนเหรอ"
เด็กหนุ่มผู้มีเครื่องหน้าคมเข้มชวนให้หัหน้ามอง ร้องอ๋อในใจออกมากับความสงสัยที่ถูกคลายตัว ก่อนจะเอ่ยบอกพิกัดที่ตนยืนอยู่ พร้อมทั้งสอดสายตาหาคนปลายสายไปด้วย
"แล้วว่าแต่พี่อยู่ตรงไหนครับ ให้ผมไปหาง่ายกว่าไหม"
"พี่ยืนอยู่ตรง อืม แปลงดอกไม้แถวๆ ริมรั้วน่ะ ที่มี..."
"ครับๆ ผมพอรู้แล้วตรงไหน เอาเป็นว่ารอผมตรงนั้นแล้วกัน เดี๋ยวผมไปหาพี่ง่ายกว่า"
ปลายสายตอบรับกลับมาพร้อมสัญญาณที่ถูกตัดไป เรอาเมื่อได้จุดนัดหมายที่แน่ชัดแล้วก็เริ่มขยับเท้าเข้าไปหาคนปลายสายแทน
ความตั้งใจเดิมของเรอาคือแค่ช่วยทำเนียนแกล้งเป็นเพื่อนกับพี่สาวของวานิมเท่านั้น หากแต่ในตอนนี้เหมือนทุกอย่างจะค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ความคิดที่จะเป็นเพื่อนปลอมๆ ถูกแทนที่ด้วยการอยากสานสัมพันธ์จริงจัง เพียงนัยน์ตาคู่เรียวยาวดุจเจ้าเวหาทอดเห็นคนปลายสายเมื่อครู่ที่ยืนรอเขาอยู่
เรอาไม่เถียงเลยสักนิดว่าพี่สาวของวานิมคนนี้ เหมือนกันราวกับฝาแฝด ทั้งที่อีกฝ่ายเกิดคนละปีด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้หนุ่มน้อยหน้านิ่งคนนี้รู้สึกสนใจคนพี่ขึ้นมา ก็เห็นจะเป็นแรงดึงดูดของอีกฝ่ายที่ราวกับว่ากระจายมนต์เสน่ห์ออกมามันมากเสียจนกลบความสวยของแปลงดอกไม้นั่นเสียอีก
โครงหน้าที่เหมือนยังกับแกะของเพื่อนสนิทที่ชายหนุ่มเห็นทุกวัน กลับให้ความรู้สึกน่ามองจนไม่อาจละสายตาได้เลย
และถ้าหากไม่บอกว่าอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ว่าพี่ดอกเตอร์แล้วบอกว่าเรียนรุ่นเดียวกัน เขาก็คงเชื่อ เผลอๆ จะดูเหมือนอายุน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ ทั้งริมฝีปากอิ่มสีระเรื่อยามต้องแสงแดดนั่น ยังชวนให้เกิดความรู้สึกอย่างสัมผัสจนเรียกได้ว่าสามารถหยุดเรอาให้จ้องนิ่งอยู่ตรงนั้นได้หลายนาที
"นี่ นี่นาย นาย!"