หลังจากแยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเอง หมอกทั้งโทรและส่งข้อความหาเขมกร แต่อีกฝ่ายไม่รับสายและไม่อ่านข้อความจนตัวเขาเองไม่รู้จะทำอย่างไร
ขอร้อง
คำพูดของเขมกรวนเวียนในหัว ทำให้ไม่กล้าทำอะไรไปมากกว่านี้ จากเดิมที่รู้สึกไม่ชอบเพราะเขายิ้มให้คนอื่น กลัวว่าคนเป็นพี่จะห่างเหินจากตนเอง กลายเป็นว่าอยากแสดงความเป็นเจ้าของเพื่อกันไม่ให้ใครเข้ามายุ่ง
ถึงแม้จะไม่ได้ยินเขมกรบอกมาตามตรงว่ารู้สึกเช่นไร แต่หมอกกลับรู้สึกว่าเขาคิดอย่างเดียวกัน ไม่อย่างนั้นแล้วหมอกคงไม่มีโอกาสได้รับความหวังดีที่เขามีให้จนใจที่ด้านชามานานเปิดรับเขาเข้ามา
เพราะอะไร ทำไม ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัวของเขาตลอดทั้งคืน
แต่นั่น ก็ไม่ใช่ปัญหาเดียวที่หมอกต้องเผชิญ
เช้าวันต่อมา
หมอกไปโรงเรียนตามปกติ แต่สายตาของคนอื่น ๆ ในรั้วโรงเรียนต่างมองเขาแล้วพากันซุบซิบสลับกับมองภาพในโทรศัพท์
เขาใจร้อนไปหาเขมกรที่ห้องแต่กลับไม่พบหน้า
ทันทีที่ธาดากับมังกรเห็นหมอก พวกเขาจึงรีบวิ่งออกมาหาแล้วพาไปคุยกันที่อื่น
“ทำไมพี่เขมไม่มาโรงเรียน” หมอกถามทั้งสองคน
ธาดาส่ายหน้าถอนหายใจ “นี่นายยังไม่รู้อีกเหรอว่าทำไม”
“ไม่เห็นเหรอว่าภาพพวกนายมันว่อนไปทั้งโรงเรียนแล้ว” มังกรพูดต่อ “หรือว่านายไม่สนใจอะไรเลย”
“ภาพอะไร” หมอกยังคงไม่รู้ตัวว่าภาพที่เขาอยู่กับเขมกรเมื่อคืนที่ผ่านมาถูกปล่อยลงในบอร์ดของโรงเรียนเป็นที่เรียบร้อย
“เฮ้อ คิดบ้าอะไรของนาย คิดจะแกล้งไอ้เขมแรงเกินไปหรือเปล่า” มังกรให้เขาดูภาพที่เป็นปัญหารวมถึงภาพอื่น ๆ ที่ถูกถ่ายไว้ก่อนหน้านี้
ในสายตาของคนนอก สิ่งเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่าทั้งสองคนใกล้ชิดกันมากกว่าจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง ไม่นับรวมที่หมอกมักไปนอนค้างคืนที่บ้านของเขมกรอยู่บ่อย ๆ มารอเขากินข้าวเที่ยงด้วยกัน ไปเที่ยวกันสองคน รอเขมกรทำงานพิเศษที่ร้านจนเลิก
“ไม่ได้แกล้ง” หมอกไม่พูดให้มากความ รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเขมกร
มังกรมองหน้าธาดาอย่างไม่เชื่อหูของตนเอง
“ไม่ได้แกล้งคืออะไรวะ อธิบายให้ฉันฟังชัด ๆ หน่อย” มังกรหันไปบอกธาดา
“นายจะบอกว่าชอบเขมจริง ๆ น่ะเหรอ” ธาดาดึงโทรศัพท์ของหมอกแล้วเอ่ยถาม
“เอาคืนมา” เขาไม่ยอม เวลานี้ไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น
“บ้าไปแล้ว พวกนายสองคน” มังกรกุมขมับ พลางฉุกคิดได้ว่า “แล้วถ้าสองคนนี้ชอบกันมันผิดตรงไหนวะ ไอ้พวกนั้นแม่งพูดอะไรไม่เข้าหูตั้งแต่เช้าแล้ว”
ธาดารู้สึกได้ถึงความผิดปกติ หากเขมกรคบกับหมอกจริง วันนี้เขาต้องมาโรงเรียนเหมือนอย่างเคยเพราะภาพทั้งหมดถูกส่งต่อในช่วงเรียนคาบแรก เขมกรไม่มีทางรู้ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นจนต้องหลบหน้าและไม่รับสายของหมอกแบบนี้
“นายชอบเขมฝ่ายเดียวใช่ไหม” คำพูดของธาดาเสียดแทงใจของหมอกอย่างฉับพลัน
ฝ่ายเดียวเหรอ เป็นไปไม่ได้ ไม่จริง
หมอกไม่รอช้ารีบวิ่งออกจากโรงเรียนเพื่อไปหาเขมกรที่บ้านทันที
ทว่า หน้าประตูโรงเรียนกลับมีรถคันสีดำที่คุ้นเคย บวรผู้เป็นเลขาฯ ของศาตนันท์ยืนรออยู่
เขาทำเป็นมองไม่เห็นเพื่อเดินหนีไปอีกทาง แต่กลับมีชายชุดสูทสองคนมายืนขวางเอาไว้
“คุณท่านต้องการพบนายน้อยครับ” สีหน้าของพวกเขาจริงจังเพราะได้รับคำสั่งจากศาตนันท์โดยตรง
“ปู่มีเรื่องอะไร” หมอกถามเพราะรีบร้อนจะไปที่อื่น
“นายน้อยรีบกลับเถอะครับ หากให้คุณท่านรอนานกว่านี้จะไม่ดี” อีกคนพยายามพูดโน้มน้าว
พวกเขารู้ดีว่าศาตนันท์เป็นคนอย่างไร จึงไม่คิดที่จะโดนหางเลขด้วย ตลอดทาง หมอกพยายามโทรหาเขมกรแต่อีกฝ่ายไม่รับสายอย่างเคย
ความคิดในใจเขาจึงเริ่มฟุ้งซ่าน ทั้ง ๆ ที่แน่ใจขนาดนั้น ไม่มีทางที่เขมกรจะคิดกับเขาแค่รุ่นพี่รุ่นน้อง
แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกกับเขาแบบใด หมอกรู้แต่เพียงว่า
เขมกรเป็นของเขาคนเดียว
เมื่อเข้ามาในบ้านหลังใหญ่เรียบร้อยแล้ว หมอกเห็นปู่ของเขานั่งรอที่โซฟาตัวใหญ่ โต๊ะด้านหน้ามีกองภาพถ่ายวางไว้อยู่
เขาเหลือบมองแวบหนึ่งรู้ได้ทันทีว่าเป็นภาพชุดเดียวกันกับที่ถูกส่งต่อในโรงเรียน
ศาตนันท์เดินเข้ามาหาหมอกแล้วตบหน้าเขาอย่างแรงจนล้มลงพื้น
“น่าอับอาย” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของเขาพลอยทำให้บรรดาคนรับใช้ที่ยืนแอบฟังอยู่ด้านนอกสะดุ้งตกใจไปด้วย
คนเป็นหลานเช็ดเลือดที่ไหลซึมจากริมฝีปากแล้วยืนขึ้นเผชิญหน้ากับปู่ตัวเอง
เพียะ
ฝ่ามือหนากระทบใบหน้าของเขาอีกครั้ง แก้มขาวซีดเป็นรอยนิ้วมืออย่างเห็นได้ชัด
“คุกเข่า” ศาตนันท์ตวาดลั่น
ด้านข้างมีภัคจิราอยู่ร่วมเหตุการณ์ด้วย เธอไม่พยายามห้ามคนที่อยู่ตรงหน้าเพราะรู้ว่าทำไปก็เปล่าประโยชน์และอีกอย่างสะใจที่ได้เห็นเหตุการณ์ในวันนี้โดยไม่คาดคิด
“บอกฉันมาว่าทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด” ศาตนันท์มองหน้าเขาราวกับคาดหวังว่าจะเป็นไปอย่างที่ตนคิด
หากข่าวลือว่าหลานชายที่เพิ่งจะโผล่หน้ากลับตระกูลเพราะเป็นลูกนอกสมรสของสาธวีมีรสนิยมชมชอบผู้ชายด้วยกัน รู้ถึงไหนอับอายถึงนั่น ตระกูลที่สั่งสมชื่อเสียงมานานจะมาแปดเปื้อนเพราะคนอย่างหมอกไม่ได้
ข่าวของสาธวีมีลูกนอกสมรสก็ทีนึงแล้ว ยังจะมีข่าวของหมอกเพิ่มเติมอีก แค่นี้ก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน สังคมคงจะมีเรื่องนินทาไปอีกหลายปี
“...” หมอกไม่ตอบสิ่งใด จึงทำให้ศาตนันท์คิดได้แล้วว่าภาพที่เห็นเป็นเรื่องจริง
ภัคจิราแสยะยิ้มพึงพอใจที่ได้เห็นอะไรสนุก ๆ
“จัดการให้เรียบร้อย” ศาตนันท์สั่งบวรให้ทำตามที่เขาพูดไว้ก่อนหน้าแล้วเดินออกมาจากบ้านหลังใหญ่
“นายน้อย รบกวนกลับห้องด้วยครับ” บวรเอ่ยปากเพียงเท่านี้ แล้วยึดมือถือรวมถึงเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดในห้องของหมอกไว้ และปิดประตูลงกลอนจากด้านนอก
ตกกลางคืน
หมอกจึงคิดที่จะปีนลงมาทางหน้าต่าง แต่เมื่อออกมาดูลาดเลาข้างนอก กลับเห็นชายชุดสูทสองคนยืนอารักขาอย่างเคร่งครัดราวกับรู้ว่าหมอกคิดจะทำอะไร
ทางฝั่งของเขมกร
คืนนั้น หลังจากที่เกิดเรื่อง เขมกรกลับมาบ้านก็พบว่ายายปวดท้องหนักมากจนต้องรีบพาตัวนำส่งโรงพยาบาล
สีหน้าเขมกรเคร่งเครียดเมื่อได้รู้ผลการวินิจฉัยของโรคที่เป็น เขาพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาเพราะรู้สึกสงสารยาย กลัวว่ายายจะเจ็บ
ช่วงเวลานั้น เขาไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร เพราะตั้งแต่เกิดมาก็มียายเป็นคนดูแลเขามาโดยตลอด
“มีวิธีรักษาอะไรบ้างไหมครับ” เขมกรเอ่ยปากถามแพทย์เจ้าของไข้เสียงสั่นเครือ
“การรักษามะเร็งตับ มีแค่สองวิธี หนึ่งการผ่าตัดกับสองการรักษาด้วยคีโม แต่ตอนนี้คนไข้เป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย” เขาหยุดพักครู่หนึ่งเพราะเห็นว่าหมอกกำลังจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง และเป็นญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ของคนไข้รายนี้ “เนื่องจากคนไข้อายุมากแล้ว
การผ่าตัดและการให้คีโมอาจจะไม่ได้ผล การฟื้นตัวของคนไข้ก็เป็นไปได้ยาก และคนไข้อาจจะรู้สึกทรมานกับการรักษาจนทนไม่ไหว”
“แล้วผมควรจะทำยังไงดีครับ” แววตาของเขมกรเศร้าสร้อย
“ญาติคนไข้ต้องทำใจเผื่อไว้ด้วย การรักษาอีกแบบคือการรักษาแบบประคับประคอง หมอแนะนำให้ญาติใช้เวลาที่เหลืออยู่กับคนไข้ให้ได้มากที่สุดครับ”
“...” เขมกรนิ่งงันจนกระทั่งได้โอกาสมาหายายที่เตียงห้องฉุกเฉิน
ทันทีที่ได้เห็นหน้าหลานชาย ยายมุกดาขมวดคิ้วเอ่ยปากบอกว่า “ยายไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องร้อง ๆ” พลางเช็ดน้ำตาให้เขาเหมือนเขายังเป็นเด็กตัวน้อยของยายเสมอ
“ยายเจ็บตรงไหนไหม” เขมกรจับมือของเธอพยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาไหล
“ไม่เจ็บแล้ว ๆ” ยายยังคงเป็นห่วงหลานมากกว่าตนเอง เธอบีบมือของหลานชายไว้แน่น “กลับบ้านกันเถอะ ยายไม่ชอบโรงพยาบาลเลย”
เขาไม่กล้าที่จะบอกยายด้วยซ้ำว่ายายเป็นอะไร ได้แต่เออออตามน้ำว่ายายเป็นแค่เพียงโรคกระเพาะ ไม่ได้หนักหนาสาหัสถึงขนาดจะมีชีวิตอยู่กับเขาได้อีกเพียงแค่หนึ่งปี