เธอมองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา แววตาดำคมกริบมองจ้องตอบเธอแบบที่เธอเห็นแล้วอยากยื่นมือไปควักลูกตาของเขาออกมาแล้วฝังลงดินเป็นปุ๋ยให้พวกผักสวนครัวของเธอไปเลย หากทำได้
ประไพพรรณีใช้น้ำเสียงแบบเดียวกับแววตา คือนิ่ง สงบ ตอบกลับไป “เท่าไหร่ ฉันก็ไม่ขาย”
ศศิร์ธาร้องออกมาคำหนึ่ง “โอเค” พร้อมกับยกมือทำท่าจะถอยก่อนในครั้งนี้ เขาล้วงเอากล่องนามบัตรออกมาหนึ่งใบ เพื่อยื่นให้เธอ ประไพพรรณีมองพร้อมกับเหยียดริมฝีปากหมิ่นแคลน แต่กลับยื่นมือออกมารับ พอเขาส่งให้เธอก็ชักมือตัวเองออก ปล่อยให้นามบัตรของเขาล่วงลงไปบนพื้น พร้อมกับเดินข้ามนามบัตรของเขาไปอย่างไม่แยแสเลยสักนิด
ศศิร์ธามองท่าทีของหญิงสาวตรงหน้าเขาว่านี่คือการท้าทายรูปแบบหนึ่ง
“ผมยังไม่รีบซื้อตอนนี้หรอก ให้คุณลองตีราคาดูอีกครั้งก็แล้วกัน อยากขายเมื่อไร อยากขายเท่าไร บอกผมได้เลย ผมสู้ราคาได้ทั้งนั้น”
แม้แววตาของเขาจะราบเรียบ ดูสงบ ขรึมคล้ายสุภาพ แต่เมื่อมองลึกดูดี ๆ แล้วก็จะเห็นว่าแววตาของเขาลุ่มลึก เจ้าชู้ และเผยความต้องการอย่างชัดเจนว่านอกจากที่ดินแปลงนี้ เขายังสนใจในตัวเธอด้วย
ประไพพรรณีอายุครบยี่สิบเจ็ดปี เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง เธอมีลูกแล้วหนึ่งคน ประไพพรรณีเรียนจบปริญญาตรี แม้ไม่ได้ทำงาน แม้ไม่ได้อาศัยอยู่ในสังคมเมือง แม้ไม่ได้ทำงานในออฟฟิศใหญ่โต แต่ประไพพรรณีก็พบคนมามาก เธอรู้ดีว่าสายตาแบบไหน สื่อความหมายของเจ้าของดวงตาไปในแนวทางเช่นไร
หญิงสาวเผยรอยยิ้มหมิ่นแคลนและเย็นชาใส่เขาอีกครั้ง ก่อนจะพูดขึ้นประโยคหนึ่ง คาดว่านี่จะเป็นประโยคสุดท้ายที่ใช้สนทนากับชายตรงหน้า
“หมดธุระของคุณแล้วก็เชิญเถอะนะ”
ได้ยินคำไล่แบบตรง ๆ เช่นนี้ ศศิร์ธาหน้าชาเล็กน้อย
เขาเติบโตมาในครอบครัวที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จในทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาของเขา
ครอบครัวของเขา รวมถึงสมาชิกของบ้านทุกคนนับว่าเป็นคนมีเกียรติ มีหน้ามีตาในสังคมทุกคน ทุกคนในสังคมให้ความเคารพต่อเขา ไม่เคยมีใครเอ่ยปากไล่เขาซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้มาก่อน
ประไพพรรณีควบคุมอารมณ์โมโหที่แล่นพล่านขึ้นไปถึงขีดสุดให้สงบลงได้ยากยิ่งนัก พวงแก้มนวลของเธอจึงออกสีแดงปลั่งราวผลมะเขือเทศสุก หรืออาจเป็นเพราะว่าวันนี้อากาศร้อนจนเกินไป แล้วยิ่งต้องมาเจอคนที่ไม่อยากเจอ ก็ยิ่งทำให้เธอควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ยากยิ่ง
ทั้งหมดนั้นเรียกให้สายตาคมมองจับนิ่งก่อนจะหยุดลงที่ริมฝีปากสีแดงสดด้วยเลือดฝาดอย่างคนสุขภาพดี
ประไพพรรณีไม่ได้ให้ความสนใจสายตาของคนมาเยือนอีกต่อไป เธอเห็นว่าตนเองหมดเรื่องคุยกับเขาแล้ว จึงก้าวขาจะเดินออกจากแปลงสวนครัวหลังบ้าน ส่วนเขาจะยืนตรงนั้นไปเรื่อย ๆ มันก็เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเธอ
และขณะที่ประไพพรรณีกำลังจะเดินผ่านหน้าชายผู้มาเยือนเพื่อออกไปยังด้านนอก ศศิร์ธาหลุบสายตาของเขาลง กะจังหวะได้แล้ว ยื่นขาของตัวเองออกไปในช่วงจังหวะที่หญิงสาวกำลังก้าวเดินผ่านหน้าเขาไป
ร่างสูงโปร่งของประไพพรรณีเสียหลักในทันทีที่ขาของเธอไปเตะเข้ากับท่อนขาแข็งแรงของชายคนนั้น ใบหน้าหล่อคมปรากฏรอยยิ้มขึ้นตรงมุมปาก เขายื่นมือออกไปคว้าเอาร่างเย้ายวนของเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอดของเขา พร้อมกับพลิกให้ร่างกายเบื้องหน้าบดเบียดเสียดสีไปกับเนื้อตัวด้านหน้าของเขาอย่างจงใจเอาเปรียบ
กลิ่นหอมจาง ๆ ปนกลิ่นเหงื่อของหญิงสาวไม่ได้ให้ความรู้สึกน่ารังเกียจ แต่กลับทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตื่นตัว อาจเป็นเพราะศศิร์ธาไม่เคยเจอผู้หญิงแบบนี้มาก่อนจึงทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวได้ถึงขนาดนี้ เสี้ยวความคิดเมื่อครู่ตั้งใจแค่แกล้งเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นเขาเองที่กำลังตกที่นั่งลำบากเข้าให้แล้ว