ร่างขององครักษ์เสื้อแพรโงนเงนอยู่ชั่วประเดี๋ยว ก่อนจะพลัดตกรถม้าอี้เหรินไม่ทันได้กรีดร้องก็มีเสียงตวาดดุดันขององครักษ์อีกคนดังขึ้น
“หลบเข้าไปด้านใน อย่าให้พวกมันเห็นโฉมของเจ้าเด็ดขาด!”
ได้ยินเช่นนั้นอี้เหรินพลันมือไม้สั่น เขาคว้าหมวกตาข่ายมาสวม รับรู้ว่ายามนี้ชีวิตอาจปลิดปลิวได้ทุกขณะ ลูกธนูพุ่งผ่านเข้ามาด้านในตัวรถ เฉียดหัวไหล่อี้เหรินไปเพียงนิดเดียว เขารู้สึกเสียวไส้และหลุดเสียงร้องตกใจ พอขยับตัวหลบไปอีกทาง ลูกธนูก็พุ่งทะลุช่องหน้าต่างทั้งฝั่งซ้ายและขวา
อี้เหรินตกใจแทบสิ้นสติ แต่ยังมีกะจิตกะใจคิดแค้นเติ้งไห่หลง
“อ๋องแปด ท่านส่งข้าไปที่ใดกันแน่ ถ้าครั้งนี้ข้าต้องจบชีวิตในป่าเขา ตายไปข้าจะเป็นวิญญาณหลอกหลอนท่าน แม้แต่ยามช่วยตัวเองท่านก็จะไม่มีความสุข!”
หลุดปากออกไปแล้วอี้เหรินต้องนึกฉงน เหตุใดยามคิดถึงอ๋องแปดในหัว จึงสร้างภาพยามเขาเปล่าเปลือย และรอบกายมีเด็กชายรูปร่างอ้อนแอ้นคอยปรนนิบัติพัดวี
อี้เหรินพยายามดึงสติกลับ เป็นตอนนั้นที่เสียงต่อสู้ดังอยู่รอบรถม้า
“จับตัวคนในรถให้ได้ อย่าให้มันหนีรอด”
เมื่ออี้เหรินเปิดหน้าต่างรถม้ามองออกไปด้านนอก เขาเห็นใครบางคนควบม้าตามมาด้วยความเร็ว คนผู้นั้นสวมชุดสีเขียวเข้ม รูปร่างผอมสูง หน้าตาไม่โดดเด่น แต่ดวงตาที่จ้องเขาเขม็งทำให้อี้เหรินสะท้านใจ เป็นเขาใช่หรือไม่...เยว่จินเกอ ไม่น่าเชื่อว่าตัวร้ายตัวนี้จะโผล่ออกมาตั้งแต่ต้นเรื่อง
“เติ้งไห่หลง...ท่านมันเป็นไอ้ลูกหมา ไฉนถึงวางแผนส่งข้ามาตายที่นี่ โกรธแค้นข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
ร้องออกไปแล้วก็พยายามมองหาทางรอด เขามองไปยังคนที่ควบม้าตามมา มองแล้วก็ให้เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ด้วยอีกฝ่ายยังไม่ละความตั้งใจ เป็นในช่วงเวลาเดียวกันที่จู่ๆ มีร่างหนึ่งพุ่งทะยานมานั่งควบคุมรถม้า
องครักษ์เสื้อแพรอีกคนที่ใบหน้าคมคายไม่แพ้คนที่ถูกลูกธนูปักหลังวางสีหน้าเข้มขรึม เมื่อครู่เขาสังหารคนที่ดักล้อมฉุดอี้เหรินตายไปหลายสิบชีวิต แต่ดูเหมือนพวกมันจะมีกำลังมาก ทางรอดเดียวในตอนนี้คือต้องฝ่าออกจากแนวป่านี้เพื่อเข้าสู่เขตหมู่บ้านพฤกษา ซึ่งผู้เฒ่าเมฆาอาศัยอยู่ ฝ่ายนั้นนิยมความยุติธรรม คงจะให้ความช่วยเหลือได้
“ขอบคุณสวรรค์ ต่อไปข้าจะไม่ด่าเติ้งไห่หลงว่าเขาเป็นไอ้ลูกเต่าหรือลูกหมาแล้ว”
“เจ้าพร่ำเพ้ออันใด หยุดกล่าววาจาเช่นนั้นต่อองค์ชาย รีบหดหัวเข้าด้านใน ก่อนที่จะไม่เหลือชีวิตไปถึงสำนักมี่จือ”
“พี่ชาย เป็นใครที่ส่งไอ้หน้าแมวชุดเขียวมาจับตัวข้า” นอกจากไม่ทำตามที่อีกฝ่ายสั่ง เขายังซักคนรูปงามอีกด้วย
“แน่แล้วตามที่องค์ชายคิดไว้ ผู้ที่ส่งเยว่จินเกอมาคงมีเพียงพานซู่ลี่ ธิดาคนโปรดของท่านข่านหู่เจิ้น นางย่อมไม่ต้องการให้เจ้ามีชีวิตอยู่”
อี้เหรินได้ยินชื่อนั้นขนบนต้นคอพลันลุกชัน พานซู่ลี่คือสตรีในเรื่อง ‘กุนซือน้อยประดับใจ’ เป็นคนที่เขาไม่ควรยุ่งเกี่ยวอย่างที่สุด นางเป็นตัวร้ายจอมบงการ โดยมีเยว่จินเกอคอยเป็นแขนขาให้ความช่วยเหลือทำเรื่องเลวทราม
“ในยามนี้องค์หญิงซู่ลี่กับอ๋องแปดมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแค่ไหน” ทั้งที่เป็นเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่อี้เหรินไม่วายอยากรู้เรื่องนี้
“มิใช่คนรัก แต่ก็ผูกพันมากกว่าชายหญิงทั่วไป ฮ่องเต้เปรยว่าอยากให้ทั้งสองเป็นทองแผ่นเดียวกัน”
อี้เหรินยกมือกุมหน้าอกข้างซ้าย เขาเจ็บปวดกับเรื่องที่ได้ฟัง
“เจ้าได้รับบาดเจ็บหรอกรึ”
“โอ้ เปล่า ข้าเพียงแต่รู้สึกเจ็บ...ตรงหัวใจ”
อีกฝ่ายส่ายหน้าเร็วแรงและถอนหายใจออกมาอย่างเหลืออดที่อี้เหรินเล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลา จากนั้นจึงหันไปรับมือกับพวกมือสังหารที่ดาหน้าเข้ามา
การต่อสู้ดุเดือดอย่างที่อี้เหรินคาดไม่ถึง เสียงดาบ เสียงม้า เสียงเตะต่อย ทำให้เขาใจคอไม่สู้ดี
กระทั่งมีดสั้นขององครักษ์ซัดเข้าใส่อีกฝ่าย ส่งผลให้คนที่ควบม้าไล่ล่าเพลี่ยงพล้ำ อี้เหรินจึงเป่าปากตบมือเสียงดัง เขาวางมือลงบนไหล่องครักษ์เพื่อแสดงความดีใจ เป็นตอนนั้นเองที่เขาสัมผัสได้ถึงความเหนียวหนืดและกลิ่นคาวจัด
“ละ เลือด ทะ ท่านบาดเจ็บ!”
“เกรงว่าไม่ใช่แค่บาดเจ็บอี้เหริน ข้าเสียใจที่ทำหน้าที่บกพร่อง นับจากนี้ลำบากเจ้าแล้ว” องครักษ์เสื้อแพรที่หล่อไม่แพ้คนแรกเอ่ยจบก็ไอเป็นเลือด
“ทะ ท่านจะทิ้งข้าไว้อย่างนี้ไม่ได้นะ ห้ามตายใส่ข้าเด็ดขาด”
ทั้งที่ร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก แต่อี้เหรินยังพยายามตั้งสติ เขาเข้าไปควบคุมม้าอย่างเก้ๆ กังๆ พลันขนลุกซู่เมื่อเห็นกลุ่มคนร้ายควบม้าเข้ามาขนาบข้างรถม้าของเขา
อึดใจต่อมาใครบางคนก็กระโดดมายืนต่อหน้าอี้เหริน ก่อนถีบร่างองครักษ์เสื้อแพรสุดหล่อคนที่สองลงจากรถม้า ดวงตาอีกฝ่ายวาวโรจน์ จ้องอี้เหรินราวกับเห็นเป็นของเล่นสนุก
“ตามมารังควานข้าทำไม คนตระกูลเยว่”
คนที่มีใบหน้ายาวและค่อนข้างผอมแสยะยิ้มน่าเกลียด อี้เหรินชัดแจ้งแก่ใจในทันทีว่าบุรุษรูปชั่วผู้นี้คือใคร
“เจ้ารู้จักข้าก็ดีแล้ว”
“ชายชุดเขียว หน้าตาซีดเซียว ดูอมทุกข์ ท่านจะเป็นใครได้ หากไม่ใช่คนชั่วเยว่จินเกอ!” อี้เหรินมองคนที่ยืนโงนเงนบนรถม้า
“ดี จะได้ไม่ต้องแนะนำตัวให้เสียเวลา เอาละ ตายเสียเถอะ!”
“ฮึ อย่าดีแต่พูด น้ำหน้าอย่างเจ้าจะทำอะไรข้าได้”
เยว่จินเกอมองอี้เหริน ชั่วขณะนั้นเขาต้องชั่งใจใหม่
“ก่อนตาย ขอข้ายลโฉมเจ้าสักหน่อยเป็นไร”
เอ่ยจบมือยาวก็กระชากหมวกตาข่ายที่ปิดบังใบหน้าอี้เหรินออก เมื่อได้เห็นหน้าคนงาม เยว่จินเกอก็หัวเราะร่าอย่างชอบใจ