~ Chapter 3 ~
เวลาต่อมา…
“เดี๋ยวผมให้คนมาทำเรื่องโอนย้ายทรัพย์สินให้” ผมพูดขึ้นพร้อมกับเลื่อนกุญแจรถไปข้างหน้า ตอนนี้ผมไม่มีเงินสดหรอกมีแค่ทรัพย์สิน และผมก็กำลังอยากได้รถคันใหม่ด้วย
“เจ๊ เอาไปประมูลได้เกือบสองเท่าเลย ป้ายทะเบียนอีก” เสียงของผู้หญิงที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเธอคนนั้นเอ่ยพูดขึ้น ถามว่าเสียดายไหม เฉย ๆ มากกว่า
“อ๊ะ นี่จร๊ะ พ่อหนุ่ม” ผมปรายสายตามองใบสัญญาหนี้ที่ป้าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมเลื่อนมาให้ และทันทีที่ผมเห็น จะบ้าตาย เงินต้นแค่ห้าแสน ดอกบานเลย โกงฉิบหาย แต่ก็คงไม่มีสิทธิ์เลือกอะไร
พรึ่บ!
“มีอีกไหมป้า”
“เรียกพี่ดีกว่านะจร๊ะ เรียกป้าพี่รู้สึกแปลก ๆ” ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน พอรู้ว่ามีเงินหน่อยไม่ได้เลยนะ มีเงินเรียกน้องมีทองเรียกพี่ สำนวนนี้ก็คงจะจริง
“แค่นี้จริงเหรอ”
“จริงจร๊ะ พี่ไม่โกงหรอก” ผมพ่นลมหายใจออกมายาว ๆ อย่างนึกรำคาญ ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกับถือกระดาษสัญญาหนี้ออกไปโดยไม่ได้สนใจเสียงพูดคุยถึงตัวผมที่ดังตามมา
แล้วกูจะกลับยังไงวะเนี่ย…
พอเดินออกมาภายนอกคลับก็พบกับความว่างเปล่าของท้องถนน ไม่มีแม้กระทั่งรถสักคันที่วิ่งผ่าน แล้วเธอคนนั้นจะกลับยังไงนะ อยู่ ๆ ก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา ครั้งแรกที่ผมได้พบเธอก็ไม่คิดว่าตัวเองจะรู้สึกมากขนาดนี้ มันเร็วเกินไปเสียด้วยซ้ำที่จะมีความรู้สึกเป็นห่วงแบบนี้ รักแรกพบนี่มันแรงกล้าจริง ๆ
“เห้อ… เป็นเอามากนะกู” ผมพึมพำออกมาก่อนจะเดินเลียบไปตามฟุตบาต ผมควรโทรหาเพื่อนให้มารับ แต่เพื่อนผมก็มีแต่คนดี ๆ มันจะมารับไหมเถอะดึกขนาดนี้ โทรหาจะรับไหม ไม่ต้องคิด ไม่มีใครรับหรอกยกเว้นพระพาย แต่แฟนมันก็ไม่ให้ออกมาหรอก ไอ้ห่าเหนือหวงจะตาย
“ชิบหายแล้วกู ขับใบสัญญาหนี้กลับบ้านได้ไหมวะ” ผมพูดพร้อมกับพับกระดาษใบนี้ให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วยัดเข้าใส่กระเป๋าหน้ากางเกงยีน ก่อนที่ผมจะก้มมองนาฬิกาในข้อมือพร้อมกับถอนหายใจออกมายาว ๆ เมื่อเข็มนาฬิกาบอกเวลาว่าตอนนี้ตีสองแล้ว ผมก็เลยล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงอีกข้างออกมาเพื่อเรียกแกร็บหวังว่าจะมีนะ แต่แล้ว
“หือ?” ผมกลับมองเห็นร่างบางของใครบางคน ปลายฝน เหรอ? ผมได้ยินป้าคนนั้นพูดว่าเธอชื่อปลายฝน ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ก็ยิ่งชัด ปลายฝนเธอนั่งหลับอยู่ที่ป้ายรถเมล์ซึ่งมันอันตรายมาก ๆ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่กลัวอะไรเลย เธอถึงนั่งหลับโดยไม่สนเลยว่ามันเปลี่ยวแค่ไหน
ผมเดินเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมกับใช้สายตาพินิจดูใบหน้าเล็ก ๆ นั้น แปลกที่เธอทำงานหนักแต่กลับยังดูดีเหมือนกับพวกลูกคุณหนูอย่างผม
“ปลายฝน” ผมพูดเบา ๆ ราวกับกระซิบ เธอไม่ได้ยินหรอก เธอหลับเหมือนตาย อย่างกับว่าเหนื่อยมาก ๆ เลยนอนที่ไหนก็ได้ ผมไม่รู้หรอกว่าเธอเหนื่อยแค่ไหนเพราะไม่เคยทำงาน แค่ตื่นมาหายใจผมก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว แต่เมื่อช่วงเที่ยงที่ร้านอาหารผมเห็นเธอเดินเสิร์ฟอาหารไม่หยุด แถมก่อนหน้านี้เธอก็เต้นยั่วเป็นชั่วโมง คงเหนื่อยมากแน่เลย
แล้วเธอจะกลับบ้านยังไงล่ะ เรียกแกร็บให้เธอคงไม่ขึ้นหรอกเพราะเธอไม่รู้จักผม แท็กซี่ก็คงไม่ขึ้นเพราะผมรู้ว่ามันแพงกว่ารถเมล์ หรือว่าผมจะนั่งเป็นเพื่อนเธออยู่ตรงนี้ แต่ผมก็อยากให้เธอกลับบ้านไปนอนดี ๆ คิดได้ดังนั้นผมก็เลยโทรหาเพื่อนที่คิดว่าน่าจะใจดีที่สุด อย่างพระพาย
ตื๊ดดด~
รอนานพอสมควรเพราะว่ามันดึกมากแล้ว แต่ในที่สุดก็รับ
ติ๊ด!
“โย ยังไม่กลับเหรอ” น้ำเสียงงัวเงียของพระพายทำให้คนดี ๆ อย่างผมรู้สึกเกรงใจหน่อย ๆ แต่ไม่มาก
“ใครโทรมาพาย” นั่นไง เสียงไอ้ห่าเหนือ ว่าแล้วเชียวว่าพวกนี้มันแอบไปนอนด้วยกันอีกละ ผมจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องพ่อแม่ของทั้งคู่
“มารับหน่อย เดี๋ยวส่งโลให้ ถ้าไอ้เหนือมันจะมาให้มาคนละคัน”
“ทำไมเหรอ”
“เดี๋ยวมาถึงก็เข้าใจ”
ติ๊ด!
ผมกดตัดสายทันทีพร้อมกับส่งโลเคชั่นไปให้พระพาย คนอย่างพระพายน่ะยังไงก็มา เพราะเธอเป็นคนใจดีต่างกับฝาแฝดของเธออย่างพอตเตอร์
“อื้มม~” เสียงครางในลำคอของปลายฝนทำให้ผมหันกลับมามอง ก่อนจะเห็นว่าเธอกำลังจะตื่น เห็นดังนั้นผมก็เลยเดินถอยหลังไปซ่อนตัวอยู่หลังป้ายโฆษณา
-ปลายฝน-
ปวดคอชะมัด…
“เห้อ…” ฉันยกฝ่ามือขึ้นบีบนวดต้นคอเพื่อคลายความปวดเมื่อยที่เกิดขึ้น ก่อนที่ฉันจะหาวออกมายาว ๆ ตอนนี้ฉันง่วงมาก อยากกลับบ้านมากเช่นกันแต่ก็ไม่มีรถกลับ หรือว่าฉันจะเดินกลับไปเรื่อย ๆ ดีนะ คิดได้ดังนั้นฉันจึงหยัดกายลุกขึ้น และก้าวเดินออกไป แค่สองกิโลเองอดทนอีกนิดนะปลายฝน ฉันได้แค่ให้กำลังใจตัวเองในใจ แต่ในขณะที่เดินไปเรื่อย ๆ ฉันกลับรู้สึกเหมือนมีคนเดินตาม
พรึ่บ!
พอหันหลังกลับไปมองก็ไม่พบใคร ฉันคงหวาดระแวงมากมั้ง แต่ทว่า ในลานสายตาของฉันกลับมองเห็นเงาสะท้อนของใครบางคนที่เดินตามฉันมาจริง ๆ มันสะท้อนบนกระจกรถยนต์ที่จอดอยู่ข้างหน้าฉัน
ฉันก็เลยล้วงมือเข้ากระเป๋าเพื่อหยิบสเปรย์พริกไทยที่พกติดตัวไว้เพื่อป้องกันตัว ตอนนี้ใจของฉันมันเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งเลยก็ว่าได้
ฉันไม่ได้หันไปมองเพียงแค่ชะลอฝ่าเท้าให้เดินช้าลง ขณะที่ฉันก็จับจ้องมองผู้ชายร่างสูงบนกระจกรถยนต์ เขาเดินดุ่ม ๆ เข้าใกล้ฉันเรื่อย ๆ และดูเหมือนเขากำลังจะเอื้อมฝ่ามือมาทางฉัน เหมือนกำลังจะคว้าหัวไหล่ของฉัน ฉันก็เลยอาศัยจังหวะนี้หมุนตัวหันหน้าไปหาเขาพร้อมกับยกสเปรย์ขึ้นฉีดใส่ตาของเขาเต็ม ๆ
พรึ่บ!
“โอ้ยยย อะไรวะเนี่ย หยุด!” ฉันยังคงฉีดสเปรย์ใส่ใบหน้าของเขาขณะที่เขาก็ได้ยกฝ่ามือขึ้นปิดตา ก่อนที่เขาจะเคลื่อนไหวตัวอย่างรวดเร็วเข้าชาร์จตัวฉัน และเขาก็ได้ใช้ลำแขนแกร่งโอบรอบคอฉันจากทางด้านหลัง
“ปล่อยฉันนะ ไอ้ชั่ว!”
ตุบ ๆๆๆ
“หยุด ฟังผมพูดก่อน อ้ากกก เจ็บ ๆๆๆ” ผู้ชายร่างสูงคนนี้ร้องจ๊ากออกมาเมื่อฉันกระทืบเท้าใส่ฝ่าเท้าของเขา ดูท่าแล้วจะเจ็บมาก ก่อนที่ฉันจะอาศัยจังหวะที่เขากำลังร้องโอดครวญอยู่นั้นใช้ข้อศอกกระทุ้งเข้าหน้าท้องของเขาอย่างแรง
ปึก!
“อึก!”
“ปล่อยนะ!! ช่วยด้วยค่ะช่วยด้วย กรี๊ดด…อี๊ดดด!” เขายกฝ่ามือขึ้นปิดปากฉันเมื่อฉันกำลังตะโกนเรียกให้คนช่วย ก่อนที่ฉันจะเอี้ยวตัวหมุนกลับมาหาเขาพร้อมกับยกขาขึ้นกระทุ้งหัวเข่าเข้าใจกลางความเป็นชายของเขา
ปึก!
“อึก!”
พรึ่บ
ตุบ!
“ไอ้บ้าเอ๊ย!!” ฉันตะคอกด่าผู้ชายคนนี้ไป ทันทีที่ฉันแทงเข่าใส่เจ้าโลกของเขา ผู้ชายตัวสูงคนนี้ก็ล้มนอนกุมเป้าตัวเองกับพื้นทันที และทันใดนั้น
ปี๊ดดด~
เอี๊ยดด!!
เสียงแตรของรถยนต์คันหนึ่งก็ดังขึ้นมันทำให้ฉันหันไปมอง ก่อนที่จะเห็นว่ามีคนสองคนลงจากรถยนต์คันนั้น ซึ่งรถหรูแบบนี้แสดงว่าพวกเขาคงไม่ได้อยู่ฝ่ายคนร้ายใช่ไหม แต่ทว่า
“วาโย เกิดอะไรขึ้น!!” ฉันหันไปมองผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งที่วิ่งตรงมาหาผู้ชายที่นอนกุมเป้าตัวเองอยู่ที่พื้น แล้วก็มีผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งมองมาที่ฉันเหมือนกับมีคำถามร้อยแปดอย่าง และเหมือนว่าตอนนี้ฉันกำลังจะทำร้ายคนผิดเลย ดูจากเพื่อนของเขาแล้ว…
ฉันจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าปรับเนี่ย! ซวยชะมัด…