~ Chapter 2 ~
“พู่วว~” แม้นว่าพยายามจะคุ้นชิน แต่ก็ไม่คุ้นสักเท่าไร ร่างบางมองตรงไปยังผ้าม่านกำมะหยี่สีแดงที่ยังคงถูกปิดไว้ ทันทีที่มาถึงที่ทำงานภาคค่ำ ปลายฝนแทบไม่ได้แต่งหน้าอะไร เธอแค่หยิบลิปสติกสีแดงสดขึ้นมาทาริมฝีปาก เพียงแค่นี้ใบหน้าของเธอก็สวยโดดเด่นขึ้นมาทันตาเห็น พร้อมกับเปลี่ยนชุดด้วยความเร่งรีบ ผมสีน้ำตาลสลวยถูกรวบตึงขึ้นเผยโครงหน้ารูปไข่ มันสวยราวกับว่าสวรรค์ได้สรรค์สร้างมันออกมา
พรึ่บ!
ดวงไฟสีแดงสลัวสาดส่องเข้ามากลางฟลอร์ ก่อนที่ม่านกำมะหยี่จะถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างบอบบางในชุดรัดรูปสีดำแสนวาบหวิว ด้านหน้าเป็นทรงถ่วงมันร่นลงจนเห็นเนินอกขาวเนียน และกางเกงสั้นจิ๋วราวกับบีกินี่นี้มันทำให้เด็กหนุ่มหัวใจเต้นผิดจังหวะทันที
ดวงตาคมของวาโยจับจ้องไปยังร่างบางของหญิงสาวที่เขาได้ฝากหัวใจไว้ ราวกับได้หลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง โลกที่มีเพียงเธอคนนี้กับเขาอยู่สองคน
เธอเดินออกมาอย่างเฉิดฉาย รอยยิ้มมุมปากของเธอเรียกเสียงโห่ร้องฮือฮาของเหล่าผู้ชายมากหน้าหลายตาได้เป็นอย่างดี เธอเดินตรงมาที่เสาสแตนเลสกลางฟลอร์ ก่อนที่เสียงเพลงแดนซ์แสนวาบหวิวจะดังขึ้น
ฝ่ามือบางทั้งสองข้างไพล่ขึ้นเหนือศีรษะเธอจับเสาสแตนเลสที่มันสะท้อนแสงวาววับท่ามกลางไฟสลัว ปลายฝนยกฝ่ามือขึ้นจับเสาเหนือศีรษะก่อนที่เธอจะออกแรงยกตัวขึ้น ขณะที่เรียวขาทั้งสองของเธอก็ถูกยกขึ้นตาม เธอเตะเรียวขาขึ้นก่อนจะแยกมันออก มันวาบหวิวจนผู้คนหน้าเวทีต่างชะงักนิ่งงัน
หากมองเป็นศิลปะมันก็สวยงามยากที่ใครอื่นจะทำได้ หากมองเป็นการยั่วเพศมันก็ย่อมได้ เพราะมันยั่วยวนใจให้วาโยถึงกับต้องกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ขณะที่จังหวะหนึ่งนั้นสายตาสวยเฉี่ยวก็บังเอิญเผลอไปสบตากับเขาเข้าให้ อาจจะเป็นเพราะหน้าตาที่หล่อเหลาโดดเด่นยากจะหาใครเทียบ ก่อนที่วาโยจะยกยิ้มขึ้น มันทำให้ปลายฝนสะบัดใบหน้ากลับมาโฟกัสที่จุดอื่นแทน
เห็นดังนั้นวาโยจึงเดินไปนั่งเก้าอี้หน้าบาร์เทนเดอร์แทน และเขาก็ได้จับจ้องมองร่างของหญิงสาวไม่วางตา
“รับไรดีครับ” แม้แต่เสียงของบาร์เทนเดอร์ก็ไม่อาจเรียกให้เขาหลุดจากภวังค์นี้ไปได้
ขณะที่ปลายฝนยังคงทำงานของเธอไป หญิงสาวเพียงแค่คิดว่านี่เป็นงาน และหนทางหนึ่งที่จะทำให้เธอได้เงินมา
นานพอสมควรก่อนที่เสียงเพลงแสนวาบหวิวนี้จะถูกปิดลง และแสงไฟที่ค่อย ๆ ปิดตัวลงมันตามมาด้วยธนบัตรสีเทาหลายใบที่ถูกโปรยลงมา ปลายฝนค้อมศีรษะให้เล็กน้อยก่อนที่เธอจะเดินกลับเข้าไปหลังม่าน ขณะที่ยังมีธนบัตรจำนวนมากที่ยังไม่ถูกหยุดโปรยเข้ามา
-ปลายฝน-
“พู่ว~” เหนื่อยจัง ฉันคิดได้แค่ในใจ โดยไม่ได้พูดออกมาให้เสียกำลังใจ พอโชว์จบฉันก็กลับมาที่ห้องแต่งตัว จัดการเช็ดลิปสติกออกจากริมฝีปาก
“ทำได้ดีนี่ ได้ทิปขนาดนี้อีกหน่อยคงหมดหนี้” ฉันเอี้ยวใบหน้าหันไปมองตามเสียง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ เป็นการตอบกลับ
“จะกลับเลยเหรอ”
“ขอดูยอดเงินที่ได้ก่อนได้ไหมคะ อยากรู้ว่าจะลดหนี้ไปได้เท่าไร” ฉันจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกับเอ่ยปากถามเจ๊น้ำหนึ่ง
“เดี๋ยวส่งไลน์ไปบอก” ฉันพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อได้ยินอย่างนี้ ก่อนจะหยิบกระเป๋าใบเล็กขึ้นมาสะพายที่หัวไหล่
“ฝนกลับก่อนนะคะ” ฉันพนมมือขึ้นไหว้เจ๊ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องแต่งตัว ฉันไม่ได้เดินออกไปทางหน้าคลับหรอก ฉันเลือกจะเดินออกไปทางด้านหลังคลับแทนเพราะฉันรู้ว่าหลังจากโชว์จบลงก็จะมีผู้ชายที่ดูโชว์ของฉันดักรอขอดีลตัวฉันไปต่อ ซึ่งฉันไม่ได้รับงานแบบนี้
ถ้ารับก็คงได้หมดหนี้เร็ว ๆ แต่ไม่หรอก ทำแบบนี้ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น เห้อ…ฉันไม่มั่นใจว่าฉันถอนลมหายใจกี่ครั้งแล้ววันนี้
“ใครกันนะ” ฉันพึมพำออกมาเมื่อนึกถึงผู้ชายที่เผลอไปสบตากับเขาเข้าให้ ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเจ้าชายไม่อยากจะเชื่อว่าเที่ยวสถานบันเทิงแบบนี้ด้วย
ฉันส่ายหน้าเบา ๆ เพื่อขับไล่ความคิดนี้ออกจากหัว ขณะที่เริ่มสาวเท้าถี่ ๆ เพื่อให้ถึงป้ายรถเมล์ได้ทันเวลา แต่ดูเหมือนจะไม่ทันเสียแล้ว
“เอาไงดี…” ฉันพึมพำออกมา ก่อนจะออกตัววิ่งเมื่อก้มมองนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของตัวเอง มันบ่งบอกเวลาว่าดึกแค่ไหนแล้ว ฉันกำลังจะตกรถ
-วาโย-
ความรักมันเป็นความรู้สึกแบบนี้หรือเปล่า แปลกที่ผมสามารถมองข้ามสิ่งที่เธอคนนั้นทำได้ แม้ว่าชีวิตนี้ผมจะมีสิทธิ์เลือกผู้หญิงได้ แต่ตอนนี้ผมดันเทใจให้เธอคนนั้นจนหมดหน้าตัก
ตอนนี้ผมกำลังแอบเดินเข้าไปหลังเวทีเพื่อมองหาผู้หญิงคนนั้น ก่อนหน้านี้ผมเรียกเธอว่าพี่ แต่ตอนนี้ผมไม่อยากเรียกละ ผมอยากเรียกที่รักแทน
แต่แล้ว
กึก!
“เจ๊ เงินทิปปลายฝนได้มากกว่าครึ่งแสนอีก อย่างนี้เธอก็หมดหนี้เร็วอ่ะดิ”
“หือ?” เสียงพูดคุยเรื่องทิปเงินทำให้ผมหยุดชะงักฝีเท้าไว้ ก่อนจะหันหน้าไปยังต้นเสียงที่ได้ยิน
“หึ แกก็อย่าบอกมันก็แล้วกัน บอกไปว่าได้ไม่กี่หมื่น”
“เอางั้นเหรอเจ๊”
“ก็ งั้นสิ ไม่งั้นคลับเราขาดรายได้แน่ถ้าปลายฝนไม่มารูดเสาแล้ว”
รูดเสา?
ปัง!!
พอได้ยินคำว่ารูดเสาผมก็ไม่ลังเลเลยที่จะตบบานประตูที่กั้นผมกับเจ้าของเสียงพูดคุยนี้ ให้ตายเถอะ! วันนี้ก็มีแค่ผู้หญิงคนนั้นที่เต้นรูดเสา ก็คงเป็นเธอใช่ไหมที่กำลังถูกโกง
“ใคร!! ฉันถามว่าใคร” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังออกมา อยู่ ๆ ผมก็รู้สึกโกรธแทนเธอคนนั้นขึ้นมาจนเลือดขึ้นหน้า
“เปิดออกมาเซ่!!” ผมตะเบ็งเสียงออกไป ก่อนที่เสียงเปิดประตูจะดังขึ้นตามมาด้วยร่างของผู้หญิงสองคนที่เปิดประตูออกมา
“แกเป็นใคร เข้ามา…อ๊ะ หล่อจังเจ๊” ผมตวัดสายตามองผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังอวยความหล่อของผมอยู่ บอกตรง ๆ ไม่ต้องอวย ผมรู้
“ผมได้ยินเรื่องที่คุณสองคนคุยกัน” ผมตอบเสียงเรียบ ๆ แม้ว่าผมจะเด็กกว่าแต่ส่วนสูงของผมก็ทำให้เธอสองคนนี้เชื่อได้ว่าผมอายุมากแล้ว
“แล้วยังไงจ๊ะ” ผู้หญิงที่ดูมีอายุกว่าพูดขึ้น ตอนนี้ผมกำลังกำหมัดไว้ในมือถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หญิงผมจะซัดหน้าเข้าให้ พูดออกมาได้ทั้ง ๆ ที่ตัวเองกำลังทำเรื่องเลว ๆ
“ก็ไม่อะไรหรอก ผมแค่จะเอาเรื่องนี้ไปบอกเธอ”
“จุ๊ ๆ ไอ้หนู มันไม่มีประโยชน์หรอกจร๊ะ ยังไงเธอก็เป็นลูกหนี้ของฉัน ฉันจะเพิ่มดอก หรือโกงอะไรก็ทำได้” เสียงขบกรามของผมมันดังออกมาเบา ๆ ทำแบบนี้ได้ไงวะ ดูเธอทำงานตั้งแต่เช้ายันเที่ยงคืนแบบนี้ แต่กลับกำลังถูกโกง แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่ายัยป้านี่เริ่มโกงตั้งแต่ตอนไหน ยิ่งคิดอารมณ์คุกรุ่นของผมก็พุ่งขึ้น
“กูจะแจ้งตำรวจ” ผู้กดเสียงต่ำออกไป ซึ่งก็ได้รับหน้าตาเย้ยหยันกลับมาทันที เธอยกมือขึ้นปัดไหล่ของผมเหมือนกำลังจะเยาะเย้ย
“รีบเลยจร๊ะ” คำพูดตอบกลับของเธอทำให้คิ้วของผมกระตุกทันที ดูเหมือนว่าตำรวจคงไม่สามารถช่วยอะไรได้ หรือว่าผมควรที่จะ
“เธอติดหนี้เท่าไร”
“ว้าว จะไถ่ตัวหรือจร๊ะ” ผมเกลียดรอยยิ้มของป้าคนนี้
“เท่าไร”
“มันก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ว่าถ้าเรายังหลอกให้นังนั่นเต้นต่อได้ เงินมันจะมากเลยล่ะ” ถ้าผมชกหน้าผู้หญิงจะมีคนว่าผมไม่แมนหรือเปล่า ตอนนี้ผมกำมือเข้าหากันผมพร้อมปะทะมากแล้วจริง ๆ
“กูถามว่าเท่าไร”
“ห้าล้าน…”
“หึ หลอกกู” ดูหน้าก็รู้ แต่ทว่า
“ก็ตามใจ”
แม่งเอ๊ย กูเลือกอะไรได้เนี่ย สุดท้ายผมก็ต้องยอมเพราะว่าผมทนเห็นอะไรแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ
“รถพอร์ชหน้าคลับ มูลค่ามากกว่าห้าล้าน” ผมพูดเสียงนิ่งเฉย ขณะที่ดวงตาของผู้หญิงทั้งสองคนตรงหน้าเบิกกว้างขึ้นทันที
“อ้อ ขอสัญญาหนี้ของเธอด้วย”
ผมจะเผาแม่งทิ้ง เพราะป้าคนนี้น่าจะเจ้าเล่ห์ไม่เบา
“มีสัญญาอะไรบ้าง เอามาแลกให้หมด”
“ได้เลยจ้ะ”