...สิ่งที่ทำด้วยอารมณ์โกรธและโมโห จนทำให้ฟาตินนั้นสลบไสลไร้สติ ใบหน้าซีดเซียวตัวร้อนรุ่มดั่งกับไฟ อาการป่วยที่เหมือนจะทุเลาเบาบางก็กลับคืนมาป่วยหนักอีกครั้ง คนที่ปากหนักที่เห็นเกิดห่วงใยด้วยใจลึก ๆ ที่ความรู้สึกนั้นมี
"หมอมาหรือยัง!! ทำไมชักช้านัก!" เสียงเข้มตะโกนเรียกขานอย่างร้อนรน เมื่อนานแล้วแต่หมอก็ไม่มาเสียที อานัสเดินวนพร้อมกับจ้องมองหน้าฟาตินที่มีรอยช้ำด้วยฝีมือของเขาเองอย่างห่วงใย
"ฟาตินอย่าเป็นอะไรนะ เดี๋ยวหมอก็มา" มุมอ่อนโยนที่เขาแอบซ่อนเผยออกมาอย่างลืมตัว มือหนาลูบหัวคนที่นอนไร้สติแผ่วเบา จ้องมองหน้าเธอด้วยแววตาอาทร
ปัง!! เสียงเปิดประตูดังลั่นเมื่อบานประตูกระทบกับผนังห้อง คนร้อนรนใจเพราะอาการของฟาตินน่าเป็นห่วงจนต้องเดินออกมาด้วยตัวเองทั้งที่อารมณ์ขุ่นมัว
"หายหัวไปไหนกันหมด...ได้ยินไหมว่าให้ตามหมอ!" เสียงเข้มแผดดั่งลั่นทำให้บอร์ดี้การ์ดต่างวิ่งกรูกันจ้าละหวั่นวุ่นวาย สายตาคมดุรุ่งโรจน์ดั่งไฟเพราะโมโห
เพี๊ยะ เพี๊ยะ ฝ่ามือหนาแกร่งกระแทกกับใบหน้าบอร์ดี้การ์ดอย่างระบายอารมณ์โทสะ
"หมอกำลังมาครับท่าน" เสียงของบอร์ดี้การ์ดเอ่ยบอกหลังจากที่ถูกตบเข้าใบหน้าเต็ม ๆ เเม้จะเจ็บปวดแต่ก็ต้องเอื้อนเอ่ยแก่ผู้เป็นนายให้รับรู้
"จะให้รอนานแค่ไหน? เห็นไหมว่ามีคนป่วย...ไม่ได้เรื่อง!!" อานัสต่อว่าเสียงเข้ม บอร์ดี้การ์ดทั้งหลายต่างก้มหน้ามองพื้นมือประสานกันไร้การตอบโต้
"หมอมาแล้วครับท่าน"
"ให้ไว...ไปตามหมอถึงไหนกันอัมกาส" อานัสออกคำสั่งก่อนจะย้อนถามคนสนิทที่เดินตามหมอมา
"เชิญครับหมอ" อัมกาสเชื้อเชิญหมอเพื่อทำการรักษาผู้หญิงของนายที่นอนจมที่นอนไร้สติ
"ขอประทานโทษครับท่านการจราจรข้างนอกติดมากเลยทำให้ล่าช้า" อัมกาสโค้งหัวอย่างนอบน้อมยอมรับผิดต่อสิ่งที่ผู้เป็นนายตำหนิ
"หากฟาตินเป็นอะไรขึ้นมา รับผิดชอบไหวไหม ห๊ะ!!" ความห่วงใยครอบงำคนที่ดุร้ายในสายตาลูกน้องและฟาติน เขาตะเบ็งเสียงต่อว่าพร้อมชี้นิ้วไปยังคนที่นอนนิ่ง ดวงตาคมดุจ้องเขม็งอัมกาสอย่างเอาเรื่อง
"................" อัมกาสได้แต่ยืนนิ่งยอมรับผิดแม้จะสงสัยกับประโยคคำพูดที่เหมือนห่วงใยทั้งที่การกระทำต่อหญิงสาวนั้นช่างขัดแย้งกับท่าทีตอนนี้
"จะไปไหนก็ไป!"
"ครับท่าน"
...เมื่อสิ้นการสนทนากับลูกน้อง อานัสเดินเข้ามาในห้องนอนที่มีฟาตินกำลังได้รับการรักษาจากหมอหญิง สายตาของเขาจ้องมองทุกการกระทำของหมอไม่ห่างตาเพราะห่วงเธอ
"เธอเป็นอย่างไรบ้างหมอ" อานัสเอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นแล้วว่าหมอทำการรักษาจนขั้นตอนสุดท้าย
"ตอนนี้รอดูอาการก่อนค่ะ ร่างกายของเธอบอบช้ำระบมและอ่อนเพลียเกินไปและมีไข้ขึ้นสูง...จะต้องเช็ดตัวให้เธอบ่อย ๆ ค่ะ...หากมีไข้สูงกว่านี้เธออาจจะช็อกได้ค่ะควรเฝ้าระวัง" หมอหญิงบอกเล่าอาการของฟาติน คนที่ยืนมองนิ่งเฉยชารับรู้ ความรู้สึกผิดกอบกินภายในอก ทุกสิ่งที่ก่อเกิดล้วนมีเขาเป็นสาเหตุทั้งปวง
"อัมกาสเตรียมรถตอนนี้ แล้วพาฟาตินไปโรงพยาบาล"
"ครับท่าน"
เมื่อได้ฟังอาการการตัดสินใจที่รวดเร็วไม่รีรอ ออกคำสั่งเข้มกับคนสนิททันใด เพราะยิ่งห่วงใยเธอมากกว่าเดิม คงทนไม่ไหวหากเธอจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้ แม้สิ่งที่เป็นความเจ็บปวดในใจที่ไม่มีใครรับรู้ สองความรู้สึกที่ตีกันทำให้เขาเริ่มสับสนจะเลือกความรู้สึกไหนระหว่าง ความรักกับความแค้นที่ไม่เคยบอกใคร...
...หญิงร่างเล็กที่นอนหลับใหลไม่ได้สติ ร่างกายที่อ่อนล้าถูกหมอจัดการต่อสายน้ำเกลือที่เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงช่วยเหลือร่างกายให้มีแรง พิษไข้ที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลแถวหน้าทำให้เธอเริ่มมีอาการดีขึ้นมากกว่าเดิม เพียงแค่ยังไม่ได้สติลืมตาตื่นเท่านั้น
คนที่เฝ้ามองจ้องไม่ห่างสายตา ใบหน้าสวยที่ยังคงมีรอยช้ำ อานัสนั่งเฝ้าระวังไม่ห่างไกลไปไหน นั่งเคียงข้างขอบเตียงไม่ห่างกายสาว เพราะลึกในก้นบึ้งของหัวใจนั้นห่วงใยเธอ แต่บางอย่างที่บดบังครอบงำทำให้เขานั้นทำร้ายเธอด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง เรื่องราวที่ยังไม่ใครรู้แจ้งนอกจากเขาคนเดียวที่ยังเก็บไว้ในใจ ความเจ็บปวดที่เขาได้รับทับถมจนหัวใจของชายหนุ่มผู้ที่ดูแข็งแกร่งนั้นระบมชอกช้ำแทบไม่เหลือชิ้นดี
"อื้อ" เสียงแผ่วเบาเค่นในลำคอ หญิงร่างบางเริ่มรู้สึกตัว กลิ่นของโรงพยาบาลคละคลุ้งกระทบกับการได้กลิ่น สายตาที่พร่าเบลอสอดส่ายสายตามองโดยรอบอย่างไม่ชัดเจน มือบางจับหัวเพราะรู้สึกปวดหนึบ พิษไข้เริ่มเจือจางห่างหายไปบ้าง ทุกอย่างเริ่มรู้สึกดีกว่าเดิม
"..............." แม้จะเห็นอากัปกิริยาของฟาติน คนหน้านิ่งขรึมก็ยังคงวางท่า ใช้เพียงสายตาจ้องมองกิริยาของเธอเท่านั้น
"อ่า ปวดหัวจัง" ฟาตินพึมพำหลับตาลงอีกครั้ง โดยยังไม่รู้ว่ามีอีกคนนั้นกำลังจ้องมองเธอทุกเวลานาที
"เป็นไง?" เสียงนิ่งเอื้อนเอ่ยถาม
"เฮือก! ทะ ท่านอานัส" ฟาตินที่หันความสนใจมาตามเสียงตกกลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่ ใบหน้าคมเข้มกับสายตาคมดุที่มองมายังเธอทำให้นึกกลัว ภาพการทำร้ายร่างกายมากมายฉายวับเข้ามาในหัว ความกลัวเริ่มคืบคลานเข้าสู่ห้วงความรู้สึก
"ทำไม?...แม้อยากตายแต่ก็ไม่วายมีชีวิตอยู่ หึ!" น้ำเสียงเย็นเฉียบดั่งสายน้ำที่ไหลจากเทือกเขาสูงเอื้อนเอ่ยอย่างเย้ยหยันก่อนจะยกยิ้มมุมปากสำทับตาม
"..............." คำพูดที่ทิ่มแทงขั้วหัวใจในยามตื่น ไร้คำพูดปลอบประโลมให้รู้สึกดี แล้วเช่นนี้ใครจะอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ชีวิตถดท้อทรมานขนาดนี้ไม่มีคนไยดีปรานี จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม? อยู่กับคนไร้หัวใจให้ตายเสียยังดีกว่า
"พิษไข้ทำให้เป็นใบ้เลยหรือไง?" เขาก็ยังไม่วายพูดเสียดแทงหัวใจอยู่ร่ำไป แม้กระทั่งเธอเลือกที่จะเงียบไม่ต่อปากต่อคำ ก็ยังกระทำให้เธอเจ็บช้ำได้เสมอ
"................" ฟาตินเลือกที่จะหลับตานิ่ง หูได้ยินทุกคำพูดของคนใจร้าย เธอไม่อยากมีปากเสียงกับเขา แค่ตอนนี้ร่างกายที่อ่อนล้าก็แทบจะยกแขนไม่ไหว รอให้เธอหายดีเมื่อไหร่หากมีโอกาสเธอต้องหาทางหนีซาตานตนนี้ให้จงได้
"ฟาติน!...เราพูดด้วยไม่มีปากหรือไง!?" อานัสที่เริ่มทนความเงียบของฟาตินไม่ไหว ตะเบ็งเสียงดังใส่จนฟาตินนั้นสะดุ้งแม้หลับตา สัมผัสได้ถึงเรียวแขนที่ถูกกำแน่นดั่งคนโมโห
เธอเจ็บ!
แต่เธอไม่ยอมปริปากอยากจะพูดโต้ตอบ เธอเหมือนดั่งคนที่เริ่มด้านชา เหมือนคนที่ดั่งไร้ความรู้สึกเพราะเวลาและการอยู่ร่วมกับเขาเป็นเวลานาน ทุกอย่างเหมือนเดิมเป็นเหมือนที่รองรับอารมณ์ร้าย ๆ ของเขาจนเคยชิน
".....แล้วท่านต้องการอะไร" เธอนิ่งชั่วครู่ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองแล้วเอ่ยถามออกไป ใบหน้าเข้มของชายหนุ่มอยู่ใกล้เพียงคืบ ดวงตาคมจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาดุนั้นอย่างไม่คิดกลัว เสียงขบกรามดังกรอดเป็นระลอกดั่งเก็บกลั้นอารมณ์ร้อนไว้
"เราถามทำไมไม่ตอบ" สายตาของฟาตินที่ฉายแววเย็นชาว่างเปล่า อานัสที่จ้องลึกสัมผัสได้จนต้องลดน้ำเสียงพูดให้ดูอ่อนลงแต่ยังคงซ่อนความกระด้างเช่นเดิม ไม่รู้เพราะเหตุใดดวงตากลมคมเข้มที่มองเขาถึงทำให้รู้สึกวูบไหวภายในอก เขาไม่ชอบแววตาเช่นนี้ของเธอ
"อะไรที่เป็นคำถาม สิ่งที่ได้ยินฟาตินสัมผัสได้ว่ามันคือคำด่าทอ" เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตัดพ้อก่อนจะทอดถอนลมหายใจแรงพ่นออกมา นอนนิ่งหลับตาสนิทดังเดิมเพราะไม่อยากจะมองหน้าคนใจร้ายที่ทำร้ายเธอตลอดเวลา
"พอ! ไม่ต้องพูดเห็นว่าป่วยไม่อยากทำร้าย...รอให้หายดีถ้ายังปากดีกับเราอีก เราไม่ปล่อยไปแน่!" อานัสปล่อยเรียวแขนเล็กเป็นอิสระและเดินกลับมานั่งที่เดิม เปิดหนังสือที่ชอบอ่านทำเหมือนไม่สนใจคนที่นอนป่วย แต่เปล่าเลยเมื่อสายตาของเขายังคงแอบมองเธอเป็นครั้งคราวด้วยใจลึกที่แอบแฝงความห่วงใย
'ทำอย่างไรถึงจะหลุดพ้น...เริ่มจนใจจริง ๆ ไม่มีสิ่งใดเลยหรืออย่างไรจะทำให้หลุดพ้นได้ แม้ความตายก็ยังไม่เข้าข้าง'
คนป่วยที่นอนนิ่งรำพึงรำพันในใจ เมื่อคิดท้อแล้วต่อชีวิตที่ดำเนินอยู่ อยู่อย่างคนเป็นแต่ก็เหมือนดั่งคนที่ตายแล้วตกนรกก็ไม่ปาน คิดมากมายอยู่นานก่อนที่ความอ่อนล้าจะพานให้เธอหลับใหลอีกครั้ง
*****(6)