ตอนที่ 2 สืบหาต้นตระกูล

1729 Words
ภาพถ่ายของหลี่ต้งหมิงที่เคยมีเด็กหนุ่มวัย 16 ปีถ่ายคู่กับเขาถูกเผยแพร่ออกไปอีกครั้งเมื่อเด็กชายคนนั้นกลายเป็นคุณพ่อที่อุ้มบุตรชายตัวน้อยไปถ่ายรูปกับหลี่ต้งหมิงอีกครั้งใน 7 ปีต่อมา พร้อมกับข้อความที่ระบุว่าหลี่ต้งหมิงมีอายุยืนยาวถึง 100 ปี ทำให้ผู้คนอยากรู้จักชายสูงวัยในภาพถ่ายกันมากขึ้นจึงพากันสอบถามถึงที่อยู่ รวมทั้งถามหาญาติพี่น้องของเขาและพบว่าชายชราเป็นเพียงผู้สูงอายุที่ไร้ญาติขาดมิตร "แม้ว่าเขาจะไม่ได้แต่งงาน แต่อย่างไรก็มีพ่อมีแม่ ปู่ย่าตายายก็เคยอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านฟ่านป๋อนี้มาตลอด บัตรประชาชนและทะเบียนสำมะโนครัวก็มี หากทุ่มเทสืบค้นกันจริงจังเข้าอย่างไรก็ต้องพบญาติพี่น้องที่อาจจะไม่เคยได้รู้จักหรือพบเจอกันมาก่อนแน่นอน" เจ้าหน้าที่ทางการในมณฑลซานซีเริ่มกระตือรือร้นมากขึ้น เมื่อสังคมให้ความสนใจกับชายชราในรูปถ่ายที่แพร่หลายออกไปทั่วประเทศ "เขามีอายุ 100 ปีแล้ว นี่มันเหลือเชื่อมากที่ชายคนนั้นยังคงดูแข็งแรงและผลจากการตรวจสุขภาพก็ไม่พบว่าเขามีโรคร้ายแรงแอบแฝงอยู่เลย มีเพียงความชราและร่างกายที่เสื่อมถอยลงไปทุกวัน หากพวกเราช่วยกันหาญาติของหลี่ต้งหมิงได้ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตก็คงจะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดให้กับชายแก่อายุยืนคนนั้น" นี่จึงเป็นเหตุให้คนจำนวนมากเริ่มสืบประวัติโดยอ้างอิงจากทะเบียนสำมะโนครัวของทางการรวมกับรายชื่อที่ชายชราจดเอาไว้ในกระดาษสีเหลืองเก่าจนซีดจางแทบไม่เห็นตัวอักษร และในที่สุดก็พบว่าบรรพบุรุษสกุลหลี่ที่ย้ายมาอยู่ที่มณฑลซานซีนั้นแต่เดิมเคยอยู่ที่เมืองหย่งโจวมาก่อน ย้ายมาที่ซานซีเมื่อราว 600 ปีที่ผ่านมาและมีลูกหลานต่อเนื่องกันมาถึง 31 รุ่น หากคิดดูแล้วต้นสกุลหลี่ในมณฑลซานซีมีอายุขัยโดยเฉลี่ยในแต่ละรุ่นแค่เพียง 46 ปีเท่านั้น ซึ่งนับว่าอายุค่อนข้างสั้น น่าแปลกที่หลี่ต้งหมิงทายาทสกุลหลี่รุุ่นที่ 31 แห่งเมืองซานซีจะมีอายุยืนยาวถึง 101 ปี คนแซ่หลี่ที่มีอยู่มากมายมหาศาลทั้งในเมืองหย่งโจวและเมืองอื่น ๆ ก็มีความกระตือรือร้นช่วยกันสืบหาบันทึกเก่าๆ ว่าบรรพบุรุษของตนเคยมีพี่น้องที่แยกตัวย้ายไปที่มณฑลซานซีหรือไม่ จนแทบจะขุดศพผู้อาวุโสที่ล่วงลับไปแล้วขึ้นมาซักถามกันเลยทีเดียว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีผู้ใดสืบความหรือยืนยันได้ว่าครอบครัวของตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ที่ย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านฟ่านป๋อมณฑลซานซีเลยสักคน ทางเดียวที่ผู้คนยังสืบหากันได้ต่อก็มีเพียงย้อนขึ้นไปดูถึงตระกูลหลี่ที่เมืองหย่งโจวเท่านั้น หากเป็นแซ่หลี่ที่ย้ายมาจากเมืองหย่งโจวเมื่อราว 600 ปีก่อน ก็เป็นเรื่องที่ผู้คนจำนวนมากคิดว่าการสืบค้นครั้งนี้ใกล้จะสำเร็จแล้ว ด้วยเหตุที่ว่าเมืองหย่งโจวในอดีตเป็นเมืองที่รองรับเอาผู้คนที่ถูกลงโทษให้มาเป็นทาสใช้แรงงานหนัก และเมื่อครบกำหนดพ้นโทษทาสใช้แรงงานเหล่านั้นก็มักจะตั้งรกรากอยู่ที่เมืองหย่งโจวต่อไป เพราะบ้านเรือนและทรัพย์สินถูกยึดจนสิ้นไม่เหลือที่ทางให้กลับ การค้นหาบรรพบุรุษสกุลหลี่ที่ถูกเนรเทศมาใช้แรงงานที่เมืองหย่งโจวในช่วงก่อน 600 ปีจึงง่ายต่อการค้นหามากขึ้น ไม่คิดว่ายิ่งประวัติตระกูลหลี่ถูกขุดคุ้ย กระแสข่าวก็ยิ่งเป็นที่น่าสนใจขึ้นไปทุกที เพราะลูกหลานตระกูลหลี่ในอดีตที่ถูกเนรเทศกลับกลายเป็นทายาทรุ่นหลังของหลี่เหวินอี้องครักษ์พิทักษ์มังกร ขุนศึกคู่บัลลังก์ที่เคยปกป้องอดีตฮ่องเต้ไว้ด้วยชีวิต ลูกหลานของหลี่เหวินอี้อีกหลายรุ่นจึงได้สืบทอดเป็นองครักษ์หลวงที่แข็งแกร่งและมีอิทธิพลในอดีต แต่สุดท้ายเมื่อระยะเวลาผ่านไปอีกหลายร้อยปีลูกหลานสกุลหลี่กลับทำตัวเหลวไหล ใช้ชีวิตสุขสบายลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในอำนาจและเงินทองและล้มเหลวเสื่อมถอยลงไปเรื่อย ๆ หลี่เซิ่งทายาทสกุลหลี่ที่ทุกคนจดจำได้ คือบุรุษขี้เมาที่ล่วงเกินกล่าวหาเบื้องสูงว่าไม่ใส่ใจทายาทสกุลหลี่ที่เคยช่วยชีวิตอดีตฮ่องเต้ ปล่อยให้ลูกหลานของหลี่เหวินอี้ได้รับความยากลำบากและยังเรียกร้องให้ทางการดูแลจนถูกตัดสินประหารชีวิต คนที่ถูกประหารมีทั้งหมดสามคนคือบิดาของหลี่เซิ่งนามหลี่หลิงอวี้ ตัวหลี่เซิ่งและหลี่อี้เฉินบุตรชายคนโตของเขา เหลือเพียงบุตรชายคนเล็กแรกเกิดจากอนุภรรยาวัยแบเบาะที่ถูกเนรเทศมาที่เมืองหย่งโจวพร้อมกับคนสกุลหลี่ที่เหลือรวมทั้งข้ารับใช้ในจวน และจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงชะตากรรมของทารกชายทายาทคนสุดท้ายของตระกูลหลี่องครักษ์พิทักษ์มังกรอีกต่อไป รู้เพียงว่าเขามีนามว่า หลี่หลงหยาง เท่านั้น .......... ในช่วง 6 เดือนก่อนที่หลี่ต้งหมิงจะจบชีวิตของเขาไปอย่างน่าเวทนา ทุกวันชายชราจะแต่งกายด้วยชุดขุนนางออกมานั่งใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ในชีวิตตนอยู่บนเก้าอี้สีแดงอย่างเหม่อลอย เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรแสดงออกอย่างไรกับความจริงที่ถูกเปิดเผย ทางหนึ่งเขามีบรรพบุรุษที่มีชื่อเสียงเป็นบุคคลที่กล้าหาญคู่ควรกับความเคารพนับถือ แต่เมื่อรู้ว่าบรรพชนรุ่นหลังในอดีตไร้ความสามารถและเสื่อมถอยจนแทบสิ้นสกุลอีกทั้งหลี่เซิ่งก็ยังถูกตัดสินประหารชีวิตเพราะเมามายจนพลั้งปากล่วงเกินเบื้องสูง ภาพพ่อของตนเองที่เมามายเสียสติพร่ำบ่นด่าว่าบรรพบุรุษอยู่ทุกวี่วันก็ย้อนกลับมาอยู่ในความคิดของหลี่ต้งหมิงอีกครั้ง เมื่อเขาเห็นครอบครัวที่มีความสุข เห็นชายชราที่มีลูกหลานห้อมล้อมอย่างอบอุ่น มันทำให้หลี่ต้งหมิงทั้งโกรธแค้นบรรพบุรุษ ทั้งอิจฉาและโหยหาครอบครัว คำพูดและสายตาที่คล้ายเวทนาคล้ายเย้ยหยันจากนักท่องเที่ยวที่พูดกรอกหูชายชราอยู่ทุกวี่วันทำให้หลี่ต้งหมิงรู้สึกอัปยศอดสู และตรอมใจจนตายไปในที่สุด .......... "ท่านยมบาล ข้าต่ำช้าถึงขั้นตกนรกอเวจีเลยอย่างนั้นหรือ ท่านลองตรวจสอบดูอีกสักรอบเถิดครับ ตั้งแต่เล็กจนโตข้าไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่เคยโกหก ไม่ลักขโมย ไม่มีกระทั่งเมียจนอายุ 101 ปี ข้ายังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่เลยนะครับ" หลี่ต้งหมิงตัดพ้อชะตากรรมของตนเอง เมื่อเห็นบรรยากาศชวนอึดอัดอึมครึมและเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงรอบกาย ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนกับว่าตนเองได้ขึ้นสวรรค์เลยสักนิด ทั้งๆ ที่ตัวเองมั่นใจว่าเขามีศีลธรรมดีงามขาดเพียงโกนหัวเป็นนักบวชก็เท่านั้น ท่านยมบาลไม่ได้ตอบคำถามของหลี่ต้งหมิง แต่กลับหันไปหรี่ตามองยมทูตที่รับดวงวิญญาณของชายชรามาอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะนี่เป็นครั้งที่หกแล้วในรอบ 10 วันที่ผ่านมาที่ยมทูตฝึกหัดผู้นี้รับดวงวิญญาณมาผิด จนเขาถูกเบื้องบนตำหนิมาหลายครั้ง "จริงหรือ เจ้าแก่ปานนี้อายุ 101 ปี ไม่เคยทำผิดบ้างเลยหรือไร" ยมบาลแสร้งถาม สายตาก็เปิดดูประวัติชีวิตของหลี่ต้งหมิงไปพลาง และเห็นชัดแล้วว่าชายชราไม่ได้พูดปด "ก็มีบ้าง ข้าเคยแอบด่าพ่อข้าไปสองสามครั้ง หรืออาจจะสี่ห้าครั้ง บ่นว่าฟ้าดินไปอีกเล็กน้อย นอกนั้นก็ไม่เคยทำผิดอะไรครับ" หลี่ต้งหมิงตอบไปก็ยกนิ้วขึ้นมานับด้วยความเคยชิน แต่แล้วก็รีบเก็บมือไปซ่อนไว้ข้างหลังเมื่อคิดได้ว่าจำนวนครั้งมันเกินกว่าที่นิ้วมือตนจะพอนับได้ "เอาเป็นว่าครั้งนี้ข้ายอมรับผิดก็แล้วกัน อีกเดี๋ยวจะให้ยมทูตรีบไปส่งเจ้าอีกที่หนึ่ง แล้วก็อย่าพูดมากฟ้องความกับผู้ใดเล่าว่าข้าทำงานผิดพลาด" ท่านยมบาลทำตาดุใส่เป็นการข่มขู่ไปในที "ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องท่าน ท่านส่งข้ากลับไปตักเตือนบรรพชนในอดีตก่อนได้หรือไม่ครับ ข้าอยากให้พวกเขาได้รู้ว่าคนรุ่นหลังต้องลำบากยากเข็ญกันเพียงใดจากผลการกระทำของพวกเขา รับรองข้าจะปิดปากให้สนิทไม่พูดถึงเรื่องใดเลย" หลี่ต้งหมิงต่อรอง เขาเคยได้ยินเรื่องราวของคนตายแล้วฟื้นหรือคนที่ระลึกชาติได้มาก่อน หากตนเองได้อาศัยโอกาสย้อนกลับไปตักเตือนบรรพชนบ้างก็คงจะดีไม่น้อย ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียอย่างไรตนก็ตายไปแล้วไม่มีใครสั่งให้เขาตายซ้ำซากได้อีกหนจึงกล้าที่จะเอ่ยปากต่อหน้ายมบาล ท่านยมบาลกลับไม่คิดว่าหลี่ต้งหมิงเพียงแค่ลองเสนอดูเล่นๆ เขาทำผิดพลาดมาห้าครั้งแล้วครั้งนี้เป็นครั้งที่หก หากหลี่ต้งหมิงโมโหแล้วนำความไปฟ้องเบื้องบน ตนเองคงจะได้รับโทษหนักที่ปล่อยปละละเลยลูกน้องแน่นอน จึงตัดสินใจยอมรับข้อเสนอของชายชราอย่างง่ายดาย "เอาสิ ข้าก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่พอดี จากนี้จะได้ไปดูสักหน่อยว่าเจ้าจะเก่งกล้าสามารถแก้ไขอะไรได้บ้าง แต่เมื่อถึงเวลาที่เจ้ากลับมาอีกครั้ง เจ้าต้องสัญญาว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องในวันนี้รวมทั้งที่ข้าจะให้โอกาสเจ้าออกไปด้วยเล่า"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD