หมู่บ้านชนบทฟ่านป๋อ ปี ค.ศ. 1966
หมู่บ้านชนบทฟ่านป๋อเป็นหมู่บ้านโบราณที่เพิ่งได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของมณฑลซานซีประเทศ A บัดนี้นักท่องเที่ยวจำนวนมากกำลังหลั่งไหลเข้ามาชมสิ่งก่อสร้างภายในหมู่บ้านที่ส่วนใหญ่นำเอาหินโบราณจากกำแพงเมืองมาก่อสร้างเป็นที่อยู่อาศัย และยังมีการสร้างโฮมสเตย์รูปแบบโบราณไว้เป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาชมโบราณสถานที่อยู่ใกล้เคียงกับหมู่บ้านฟ่านป๋ออีกด้วย
ก่อนหน้านี้หมู่บ้านฟ่านป๋อถูกพายุหิมะพัดถล่มจนบ้านเรือนของประชาชนพังทลายจนสิ้น แต่เนื่องด้วยพื้นที่บริเวณนี้มีซากกำแพงเมืองและสิ่งปลูกสร้างโบราณมากมายกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่ ชาวบ้านจึงไปแบกเอาหินกำแพงเมืองเก่ามาสร้างบ้านที่อยู่อาศัยกันเองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางการ จนเกิดคดีความฟ้องร้องชาวบ้านทั้งหมู่บ้านยืดเยื้ออยู่นานหลายปี
ในที่สุดประชาชนก็เป็นฝ่ายชนะ และเนื่องด้วยการจัดการภายในหมู่บ้านที่สร้างบ้านออกมาได้เป็นระเบียบงดงามและเข้ากับบรรยากาศสถานที่ท่องเที่ยวโดยรอบ หมู่บ้านฟ่านป๋อจึงถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ เป็นเพราะวัสดุก่อสร้างที่เป็นหินโบราณจากกำแพงเมืองที่พวกเขาใช้อยู่อาศัยในปัจจุบันก็จำเป็นต้องอนุรักษ์ไว้จึงได้รับการดูแลอย่างดีจากทางการอีกด้วย
นอกจากการเข้ามาเที่ยวชมหมู่บ้านชนบทร่วมสมัยและวิถีชีวิตแบบชนบทในที่ราบสูงแล้ว ยังมีบุคคลหนึ่งที่เป็นต้นเหตุให้ผู้คนจำนวนมากต้องการมาเห็นเขากับตาในฐานะชายชราที่อายุยืนที่สุดคนหนึ่ง และยังเป็นทายาทคนสุดท้ายของตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงเมื่อพันกว่าปีก่อนถึงขั้นได้รับการจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
..........
บนแท่นยกสูงที่ถูกจัดฉากให้เป็นเรือนโบราณภายในห้องโถงขนาดใหญ่ที่ประดับเอาไว้ด้วยวัตถุโบราณหลายประเภท หลี่ต้งหมิง ชายชราอายุ 101 ปี สวมชุดขุนนางโบราณรวมทั้งเครื่องประดับที่ไม่ปรากฏยุคสมัยนั่งเหยียดหลังตรงอยู่บนเก้าอี้ไม้เก่าคร่ำคร่าสีแดง ดวงตาสีเทาขุ่นมัวของเขามองไปยังเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย ใบหน้าชราเหี่ยวย่นจนมองไม่ออกถึงอารมณ์ใดๆ ผมยาวสีขาวโพลนที่ถูกมัดรวบและสวมทับไว้ด้วยหมวกทรงสูงกับหนวดเครายาวแบบคนโบราณยิ่งส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ในชุดขุนนางของเขาดูสง่างามและเคร่งขรึมจนไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยคำทักทายหรือกวนใจ
รอบกายของหลี่ต้งหมิงเต็มไปด้วยผู้คนที่สลับกันมายืนถ่ายรูปคู่กับเขาไว้เป็นที่ระลึกคนแล้วคนเล่า กิจวัตรเช่นนี้เป็นสิ่งที่หลี่ต้งหมิงทำเป็นประจำมานานนับปี เขามีบ้านอยู่ในหมู่บ้านฟ่านป๋อ แต่ด้วยอายุและสภาพร่างกายที่อ่อนแอลงทุกทีเรือนจำลองที่ทางการสร้างขึ้นมานี้จึงกลายเป็นที่พักปัจจุบันของหลี่ต้งหมิงเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการทำงานของเขา
ชายชราตื่นเช้ากินอาหารในห้องส่วนตัว ถึงเวลา 8.00 น. ก็ออกมานั่งที่เก้าอี้สีแดงให้คนถ่ายรูปจนถึงเวลา 14.00 น.เป็นอันเสร็จงาน มีเพียงเวลาที่ต้องกินข้าว ดื่มน้ำและเข้าห้องน้ำเท่านั้นที่ชายชราจะได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่และมีโอกาสหลบสายตาจำนวนมากมาอยู่ลำพังอย่างสงบบ้างเท่านั้น
สายตาเลื่อนลอยของหลี่ต้งหมิงเริ่มขยับไปมาช้าๆ มองดูครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่งที่มีทั้งคุณตาคุณยายบุตรชายหญิงและหลานๆ หลายช่วงวัย เดินทางมาท่องเที่ยวร่วมกันอย่างมีความสุข น้ำตาแห่งความเศร้าของหลี่ต้งหมิงไหลนองออกมาจากดวงตาทั้งสองอย่างไม่รู้ตัว ความรู้สึกเจ็บแปลบที่ไม่มีที่มาที่ไป ซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจบรรยายออกมาได้ว่าตนเองกำลังรู้สึกเสียใจเรื่องใดอยู่กันแน่
หลี่ต้งหมิงหลับตาลงและกลั้นหายใจพยายามข่มกลั้นอารมณ์ไปชั่วขณะ แต่เขาไม่ได้รู้เลยว่าในเวลานั้นตนเองจะหมดลมหายใจเสียชีวิตไปเพราะความสะเทือนใจอย่างหนักและจบสิ้นชีวิตทายาทคนสุดท้ายของตระกูลหลี่องครักษ์พิทักษ์มังกรที่ถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์มายาวนาน ในวัย 101 ปี
..........
แต่เดิมหลี่ต้งหมิงเป็นเพียงชายชราผู้โดดเดี่ยว ไม่เคยแต่งงาน ไม่มีพี่น้อง บิดามารดาต้นตระกูลของเขาเคยอยู่ที่หมู่บ้านฟ่านป๋อมาก่อนทั้งสิ้นแต่ก็ล่วงลับกันไปนานนมจนผู้คนลืมเลือนและไม่รู้จักคนเหล่านั้นแล้ว หลงเหลือเพียงบันทึกรายชื่อที่ชายชราจดบันทึกเอาไว้คร่าว ๆ ตามคำบอกเล่าของผู้อาวุโสอย่างไม่ใส่ใจเท่านั้น
ในวัยเยาว์เด็กชายหลี่ต้งหมิงมีบิดาที่สำมะเลเทเมาไม่ใส่ใจเลี้ยงดูบุตร มารดาก็หย่าขาดและหนีหายไปไม่เคยกลับมาดูเขาเลยสักครั้ง เด็กชายและบิดาหาเลี้ยงตัวเองด้วยการพับถุงกระดาษขาย 100 ใบจะได้รับเงิน 1 หยวน ซึ่งเป็นอาชีพที่ทำกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าของเขา พอมาถึงรุ่นพ่อก็ยังคงพับถุงกระดาษขายแต่ได้เงินมาเท่าใดหลี่กันผู้เป็นบิดาก็เอาไปซื้อสุรากินจนหมด สุดท้ายหลี่ต้งหมิงก็ได้แต่แบกกระดาษและกาวแป้งเปียกหนีออกไปนั่งพับถุงตามชายทุ่งที่ลับตา เพื่อจะได้แลกเงินมาเป็นอาหารให้พ่อและตนเองบ้าง
หลังจากหลี่กันผู้เป็นพ่อจบชีวิตไปด้วยโรคทางเดินอาหาร ก็เป็นช่วงที่ถุงพลาสติกเข้ามาแทนที่ถุงกระดาษ หลี่ต้งหมิงในวัยหนุ่มก็ต้องแบ่งขายที่ดินบ้านของตนเองออกไปเพื่อใช้เป็นทุนในการซื้อถุงพลาสติกจำนวนมากมาขายต่อให้ลูกค้าเดิมที่เคยซื้อถุงกระดาษจากเขา
หมู่บ้านฟ่านป๋อเป็นหมู่บ้านชนบทที่ห่างไกลความเจริญ จำนวนการใช้ถุงพลาสติกภายในหมู่บ้านนั้นแทบจะไม่มี แต่โชคยังดีที่ละแวกนี้ล้วนเป็นแหล่งท่องเที่ยว ชาวบ้านทำของที่ระลึกและนำเอาพืชผลทางการเกษตรออกไปขายให้นักท่องเที่ยวหลายแห่ง ทำให้เขามีลูกค้าซื้อถุงพลาสติกสำหรับบรรจุสินค้าและหาเลี้ยงตัวเองได้มาตลอด
แต่นักท่องเที่ยวจะเดินทางมาถึงพื้นที่นี้ก็เฉพาะช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวเท่านั้น ชาวบ้านจึงต้องปลูกผักเลี้ยงสัตว์ไว้กินในช่วงที่ไม่มีนักท่องเที่ยว รายได้จึงไม่เพียงพอที่จะทำให้เขารับภรรยาเข้ามาเลี้ยงดูได้อีกหนึ่งชีวิต อีกทั้งหลี่ต้งหมิงที่ไม่เคยได้เห็นชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นมาก่อนจึงไม่คิดจะแต่งงานหรือมีบุตร
หมู่บ้านฟ่านป๋อถูกพายุหิมะถล่มพังบ้านเรือนจนราบคาบเมื่อ 12 ปีก่อน ในช่วงที่หลี่ต้งหมิงอายุ 89 ปี ชาวบ้านส่วนใหญ่ยากจนและการเดินทางก็ยังไม่สะดวก พวกเขาไม่สามารถหาซื้อวัสดุก่อสร้างมาสร้างบ้านใหม่ได้ จึงเลือกที่จะช่วยกันไปแบกหินจากกำแพงเมืองและสิ่งปลูกสร้างโบราณที่ถูกทิ้งร้างไม่ได้อยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยวที่สำคัญมาใช้ในการสร้างที่พักอาศัยกันตามมีตามเกิด
ชายชราสูญเสียถุงพลาสติกที่กักตุนไว้ขายไปกับพายุทั้งหมด กอปรกับไร้ญาติขาดมิตรเขาจึงรู้สึกสิ้นหวังจนแทบอยากจะตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ยังได้รับความช่วยเหลือจากชาวบ้านที่เห็นว่าเขาเป็นคนเก่าแก่ในหมู่บ้าน ช่วยกันรวบรวมไม้เก่าที่ยังใช้ได้มาสร้างเป็นบ้านให้เขาได้อยู่แบบง่ายๆ เพียงลำพัง แต่หลี่ต้งหมิงก็ไม่เหลือทุนจะทำการค้าต่อรวมทั้งอายุมากเกินกว่าที่จะออกไปตระเวนขายสินค้าพื้นเมืองร่วมกับชาวบ้านจึงมีชีวิตที่ลำบากอยู่ไม่น้อย
เมื่อทางการได้รู้ข่าวว่าชาวบ้านนำเอาหินกำแพงเมืองโบราณมาใช้ประโยชน์ส่วนตัวก็เกิดคดีความฟ้องร้องกันยืดเยื้อยาวนานหลายปี แต่นั่นกลับเป็นโชคดีของชายชรา ที่มีคนได้เห็นว่าเขาไม่มีอาชีพและอยู่ตัวคนเดียวจึงมีคนบริจาคสิ่งของและให้ความช่วยเหลือโดยที่หลี่ต้งหมิงไม่ต้องหางานทำอีกต่อไป
ในระหว่างการฟ้องร้องที่ยาวนานนี้หมู่บ้านฟ่านป๋อก็มีชื่อเสียงขึ้นมาจากคดีความทำให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาในหมู่บ้านที่สร้างจากหินโบราณมากขึ้นทุกปี จนสมาชิกในหมู่บ้านที่มีอันจะกินหน่อยเริ่มสร้างโฮมสเตย์ไว้ให้นักท่องเที่ยวพักค้างคืน ยิ่งทำให้หมู่บ้านฟ่านป๋อนับวันยิ่งครึกครื้น
เจ้าของโฮมสเตย์หัวใส ใช้รูปลักษณ์ที่แก่ชราเข้ากับบรรยากาศของหมู่บ้านของหลี่ต้งหมิง จ้างวานให้เขาแต่งตัวแบบโบราณและให้นั่งโชว์ตัวให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปคู่โดยให้ค่าตอบแทนชายชราเล็กๆ น้อยๆ จนมีเงินเก็บสะสมไว้ใช้จ่ายบ้าง จน 11 ปีผ่านไปคดีความก็สิ้นสุดลง ชาวบ้านได้รับอนุญาตให้พักอาศัยอยู่ในบ้านหินโบราณตามเดิม และยังได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากทางการ เวลานั้นหลี่ต้งหมิงก็อายุครบ 100 ปีแล้ว