หนึ่งเดือนต่อมา...
สตรีร่างระหงของสาวสะพรั่งวัยสิบหกหนาวในอาภรณ์หรูหราสมฐานะฮูหยินหนึ่งเดียวแห่งจวนแม่ทัพเหอ นางยังคงนั่งจิบชาอยู่ริมหน้าต่างในห้องส่วนตัวด้วยอารมณ์ขุ่นมัวไม่สร่างซา ใบหน้างดงามราวเทพธิดาบึ้งตึงตลอดเวลา ประกายในดวงตาราวดวงดาราบนฟากฟ้าก็เผยเพียงความแค้นเคืองไร้ที่สิ้นสุด
ฝ่ามือเรียวเล็กปัดกาน้ำชาบนโต๊ะทิ้งอย่างแรง ยังผลน้ำชาอุ่นหกกระเซ็นไปทั่ว
บ่าวไพร่ที่ยืนรอรับใช้อยู่หน้าห้องได้ยินเสียงแตกของกระเบื้องเคลือบดังลั่นเช่นนั้น ก็ได้แต่ยืนตัวสั่น ไม่กล้าเข้ามา เนื่องจากยังไม่มีคำสั่งเรียกหา พวกนางย่อมไม่กล้าเปิดประตูเสนอหน้าทั้งนั้น
ลี่เหยาถิงกำมือแน่นทุบโต๊ะตรงหน้าอย่างแรงหมายระบายโทสะที่มันแน่นจนคับอก
นางโกรธเหอหย่งหมิงจนพูดไม่ออก บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร
นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเหตุใดเขาถึงชอบแต่เพ่ยจี สตรีนางนั้นมีดีที่ใด และยิ่งไม่เข้าใจยิ่งกว่า ก็คือเขาทิ้งนางไปหลังจากแต่งงานกัน
นับตั้งแต่คืนเข้าหอจนกระทั่งถึงวันนี้ เขาก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในค่ายทหาร
ถึงแม้ไม่กี่วันหลังจากแต่งงาน เขาจะกลับมารับตัวนางไปยกน้ำชาตามประเพณี ทว่านางกลับมองไม่เห็นอะไรเลยในสายตาคมดำของเขานอกจากความเฉยชาว่างเปล่า
หนึ่งเดือนมาแล้วที่นางต้องนอนรอเขาอย่างเดียวดาย ต้องทนน้อยเนื้อต่ำใจอย่างถึงที่สุด
นางชอบเขาถึงเพียงนี้ เหตุใดเขาถึงไม่เข้าใจเล่า!
ลี่เหยาถิงยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจในตัวของเหอหย่งหมิง
นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดชายชาติบุรุษเช่นเขาถึงไม่ชอบสตรีที่ดีพร้อมเช่นนาง
ทั้งๆ ที่นางชอบเขาจนหมดใจ ความรักของนางมีค่ามากเลยนะ ไม่รู้หรือไร?
บ้าจริงเชียว!
หลายวันผ่านพ้น สามีทั้งคนของลี่เหยาถิงก็ยังไม่กลับมา เขาเอาแต่ฝึกทหารอยู่ในค่ายไม่ว่างเว้น ไม่แม้แต่จะนัดเจอกับเพ่ยจีเหมือนที่ผ่านมา
หญิงสาวพอจะรู้นิสัยของอีกฝ่ายอยู่บ้าง ในเรื่องความหยิ่งทะนงตน ผยองในศักดิ์ศรี มีสตรีมากหน้าสนใจเขาหมายยื่นไมตรีให้ ทว่าเขามิใคร่จะสนใจใคร หากนางได้หัวใจเขาจักดีสักเพียงใด....
ลี่เหยาถิงคิดได้ถึงตรงนี้ โพรงอกพลันหดเกร็ง ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายพลันบีบรัด รู้สึกร้อนผ่าวตรงกระบอกตา ทว่านางมิใช่สตรีอ่อนแอ ที่สั่งน้ำตาให้ไหลอาบแก้มได้ดังใจ แต่กลับกักเก็บมันเอาไว้ มิให้ไหลออกมาต่างหาก
แน่นอนว่านางรู้ตัวทุกอย่างว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดอยู่ เรื่องสมรสพระราชทานก็เช่นกัน นางล้วนตั้งใจกระทำทั้งสิ้น
เหอหย่งหมิงคือบุรุษที่นางมีรักปักใจ นางพร้อมทำทุกอย่างโดยไม่สนใจใคร เรื่องราวของหัวใจนาง เกิดขึ้นกับนางเพียงฝ่ายเดียว นางรู้ดี...
แต่นางไม่อาจเพิกเฉยต่อความรู้สึกของตนเองได้ และยิ่งไม่อาจเพิกเฉยต่อผู้มีพระคุณ
เมื่อครั้งที่นางเป็นเด็กทารกช่วยเหลือตนเองมิได้ ไร้บิดามารดาตนคอยอุ้มชูดูแลป้อนนมป้อนน้ำ นางได้รับรู้จากท่านยาย ว่าชายผู้หนึ่งช่วยชีวิตนางเอาไว้ แล้วอุ้มนางที่เกิดได้เพียงเดือนเศษมาจากกลางป่า ฝ่าดงขุนนางฝีปากกล้า หมายเข้าหาองค์เหนือหัวให้ยลโฉมนาง
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ชายผู้นั้นจักสามารถเข้าพบบุคคลระดับเจ้าแผ่นดินได้
หากแต่ความพยายามของเขาไม่ธรรมดา ในที่สุดเขาก็ได้เข้าวังหลวงถึงเขตพระราชฐานชั้นใน ด้วยหลักฐานเป็นหยกม่วงครึ่งซีกที่เหมือนกับฮ่องเต้เจี้ยนหยางฉี
สิ่งนี้บ่งบอกได้ดีว่าทารกในอ้อมแขนเขาเป็นใคร
ทว่าด้วยราชกิจที่ยุ่งเหยิง ฮ่องเต้ทรงออกว่าราชการนอกเขตวังหลวง ไทเฮาก็ทรงเดินทางขึ้นเขาถือศีล คงเหลือเพียงสตรีสูงศักดิ์แห่งวังหลัง ไม่ว่าจะเป็นฮองเฮา เฟยต่างๆ ยังไม่รวมพระสนมคนอื่นๆ ชายผู้นั้นยังหาญกล้าปฏิเสธทุกทางเพื่อปกป้องนางด้วยเกียรติของเขา จากการที่นางอาจจะถูกสตรีเหล่านั้นนำไปใช้เป็นเครื่องมือแห่งวังหลัง
จากนั้นเขาก็พานางที่เป็นทารกตัวน้อยเดินทางอย่างยากลำบากไกลหลายลี้เพื่อขึ้นเขาไปหาท่านยายยังวัดห่างไกล
ท่านยายของนางก็คือไทเฮา
หลังจากไทเฮาได้เห็นทารกที่กำลังร้องไห้จ้าก็คุ้นเคยโดยไม่ต้องตรัสคำใด พระนางอุ้มเอาไว้อย่างไม่ลังเล ทันใดเสียงแผดร้องลั่นก็เงียบลงทันที ครานี้เป็นไทเฮาบ้างที่ร่ำไห้ออกมา
หลังจากได้คุยกับชายผู้นั้นจนรับรู้ทุกสิ่งจนสิ้น ก็ทรงรับทารกเช่นนางดูแลด้วยองค์เองทันที ก่อนจะเสด็จกลับไปจัดการศพบิดามารดาของนางอย่างสมเกียรติ ถึงแม้จะไม่สามารถนำศพพวกท่านเข้าสุสานหลวงได้ หากแต่ไทเฮาก็ทรงสร้างสุสานให้ทั้งสองที่หุบเขาเชื่อมใจ อันเป็นสถานที่ครองรักของพวกเขา
เรื่องราวเหล่านี้เป็นไทเฮาที่ได้เล่าทุกอย่างให้นางฟังโดยไม่ปิดบัง เมื่อครั้งที่นางเริ่มรู้ความ
ชายผู้นั้นเป็นนายทหารระดับหัวหน้ากองธรรมดาผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นสหายกับท่านพ่อของนาง เขาเล่าเรื่องราวที่ท่านแม่ให้กำเนิดนางแล้วตายหลังจากนางอายุได้เพียงเดือนเศษ ท่านพ่อตรอมตรมจนสิ้นลมหายใจตามไป ชายผู้นี้ไปเยี่ยมท่านพ่อกับท่านแม่พอดีก่อนที่ท่านพ่อจะหมดลมเฮือกสุดท้าย เขาจึงพานางมาหาท่านยาย พร้อมหยกม่วงประจำตัวท่านแม่