"นี่คุณ! อย่ามาทำตัวเหมือนไม่มีพ่อแม่คอยอบรมสั่งสอนผิดชอบชั่วดีแถวนี้นะ!" เมื่อถูกหญิงสาวปรามาสจ้าวฮานจึงเริ่มเสียงดังขึ้นมาอย่างเริ่มโมโห
"แล้วดูสภาพคุณตอนนี้สิ แต่งตัวอะไรก็ไม่รู้ อย่างกับคนละคนในใบสมัครงาน ปากก็เสียนิสัยก็ต่ำ ผมไม่แจ้งความเอาเรื่องที่คุณปลอมวุฒิการศึกษาก็บุญกะลาหัวคุณเท่าไหร่แล้ว"
"กรี๊ด! ไอ้บ้า กลับมาเดี๋ยวนี้นะ ฉันบอกให้กลับมาไง กรี๊ด!"
"แม่ง" จ้าวฮานถึงกับต้องยกมือขึ้นมาอุดหูเพื่อหลบเลี่ยงเสียงแสบแก้วหูที่ดังลั่นอยู่ด้านหลังของเขา
"โดนพรมเช็ดตีนเข้าแล้วไหมละมึงไอ้ฮาน เวรของกูจริงๆพับพ่า!"
"ตาไม่ถึงแล้วอย่ามาหึงทีหลังก็แล้วกัน" หลังจากที่หวีดร้องจนรู้สึกเจ็บคอเสียเยี่โถจึงทำได้แค่เดินคอตกและหมุนตัวกลับอย่างยอมรับในชะตากรรมชีวิตของตัวเอง
"เอาไงดีละ บ้านก็กลับไม่ได้" ในตอนนี้ธุรกิจทางบ้านของยี่โถกำลังประสบปัญหาที่ค่อนข้างรุนแรงด้วยว่าคนใกล้ตัวหันมาแทงข้างหลังกันเอง
และถึงแม้คราแรกครอบครัวของเธอที่ดูเหมือนว่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบในชั้นศาลด้วยพยานและหลักฐานที่หนักแน่นกว่าแต่สุดท้ายก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับการตัดสินจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้พิพากษาอยู่ดี
เลยกลายเป็นว่าครอบครัวของเธอได้ตกเป็นบุคคลล้มละลาย จนส่งผลให้พ่อของเธอหัวใจวายแบบเฉียบพลันจนถึงขั้นล้มป่วยติดเตียง ขณะที่แม่ของเธอตรอมใจหนักจนถึงขั้นตัดสินใจทานยานอนหลับเข้าไปเป็นจำนวนมากเพื่อหวังที่จะหนีไปจากโลกใบนี้ที่แสนจะโหดร้าย โชคดีคือเธอกลับมาทันได้ช่วยนำตัวแม่ของตัวเองไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล หากแต่ช่างน่าเห็นใจที่เธอต้องทุกข์กับการทนเห็นแม่อันเป็นที่รักกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไปตลอดกาล
ในขณะที่เธอซึ่งเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ไร้ซึ่งญาติขาดซึ่งมิตร ไม่มีกระทั่งพี่น้องร่วมสายเลือดไว้ให้กอดแม้สักคนก็ได้แต่หลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุนเพื่อเอาชีวิตรอดไปวันๆอย่างไร้ซึ่งจุดหมาย
วุฒิปริญญาตรีหนึ่งฉบับที่มีอยู่ในมือจึงนับได้ว่าเป็นความหวังสุดท้ายที่จะช่วยเธอฉุดรั้งตัวเองและครอบครัวขึ้นมาจากก้นเหวลึกได้
แต่สุดท้ายเขาก็ทำลายความหวังอันริบหรี่ของเธอเสียจนมันพังยับเยินไม่เหลือชิ้นดี
"คนใจร้าย" หลังจากที่นั่งร้องไห้อยู่ตรงหน้าห้างจนพอใจ ในที่สุดร่างสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดก็ค่อยๆยืดตัวขึ้นช้าๆจนเต็มความสูงเพื่อมุ่งหน้าไปหางานแห่งใหม่ทำ
"ฉันจะท้อไม่ได้" นับได้ว่าโชคดีที่คุณพ่อและคุณแม่ของเธอนั้นยังมีสิทธิ์สามสิบบาทรักษาทุกโรคอยู่ จึงทำให้ค่าใช้จ่ายการพบหมอในแต่ละเดือนนั้นเบาบางลงไปมากโข แต่ก็จะมาหนักตรงของใช้สำหรับผู้ป่วยติดเตียงที่มีมากมายหลายรายการจนทำให้เธอต้องดิ้นรนหาเงินจนมือระวิง
โดยที่พ่อและแม่ของเธอจะได้รับการดูแลจากป้าแม่บ้านเก่าแก่ของตระกูลที่ยังคงจงรักภักดีต่อครอบครัวของเธอเสมอ ซ้ำยังเสนอบ้านหลังเล็กของตัวเองให้เป็นที่พักอาศัยสำหรับพ่อและแม่ของเธออีกด้วย
"รับสมัครพนักงานล้างจาน ข้าวฟรี..." ยี่โถเดินเท้ามาสักระยะจนได้เจอร้านปิ้งย่างแห่งหนึ่งที่ติดป้ายเอาไว้ว่ารับสมัครพนักงานในตำแหน่งล้างจาน ตอนแรกเธอทำท่าจะเดินผ่านไปอยู่แล้วแหละเพราะรู้ดีแก่ใจว่าตัวเองคงจะทนไม่ไหวเพราะป่วยเป็นโรคน้ำยาซักล้างทุกชนิด หากแต่เมื่อได้เห็นตัวหนังสือเล็กที่ว่าข้าวฟรีความลังเลที่เคยมีก็พลันมลายหายไปในทันที
"มาสมัครงานค่ะ" ด้วยชีวิตที่ใช้หรูอยู่สบายมาตั้งแต่แบเบาะจึงทำให้เธอไม่ค่อยสันทัดในเรื่องขอเข้าทำงานตามร้านรวงสักเท่าไหร่นัก
"พี่ คนนี้รึเปล่าที่เป็นข่าวว่าโกงจนถูกฟ้องแล้วกลายเป็นบุคคลล้มละลาย น่ากลัวอ่ะ" เสียงกระซิบที่แม้จะยืนไกลแค่ไหนก็ยังได้ยินนั้นทำเอาคนที่มีความหวังว่าจะได้งานทำถึงกับน้ำตาคลอด้วยความทดรันท้อข้างในหัวใจ
"ไม่สะดวกรับก็ไม่เป็นไรค่ะ" เธอพูดด้วยใจจริงหาได้ประชดประชันอันใดไม่ เพราะเข้าใจดีว่าคงจะไม่มีใครที่ไหนหรอกที่มันอยากจะรับลูกสาวของบุคคลล้มละลายด้วยเรื่องฉ้อโกงเข้าทำงาน
"ปากแกนี่นะนังรำไพ ตกลงฉันหรือแกที่เป็นเจ้าของร้าน" เพียงขวัญ หญิงวัยสามสิบกลางๆเอ่ยว่าลูกน้องคนสนิทอย่างเบื่อหน่าย ยอมรับว่าคราแรกเธอเองก็รู้สึกชั่งใจที่จะยอมรับเด็กหญิงรุ่นน้องเข้าทำงาน หากแต่เธอก็ไม่ได้ใจร้ายพอที่จะปากคอเราะร้ายใส่คนที่กำลังลำบาก
"เคยเป็นลูกคุณหนู จะทำได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลยค่ะเจ้ขวัญ"
"รำไพ" เพียงขวัญเอ่ยดุรำไพจริงจังอย่างเริ่มไม่พอใจก่อนจะตัดสินใจวิ่งตามยี่โถที่เดินออกไปได้ไกลพอสมควรแล้ว
"อ้าว นั่นเจ้จะไปไหน อะไรของเขา" รำไพยังคงไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิดก่อนจะเลิกคิดถึงเรื่องยี่โถและหันไปทำงานตามหน้าที่ของตัวเองต่อไป
"น้อง" เพียงขวัญถึงกับหอบแฮ่กเมื่อยิ่งวิ่งตามเด็กสาวก็เหมือนจะยิ่งห่างตัวเธอออกไปเรื่อยๆ "น้องคะ น้องคนนั้นน่ะ พี่ยินดีรับน้องเข้าทำงานนะคะ"
"คะ" ยี่โถที่กำลังร้องไห้เสียใจและพยายามเดินหนีอย่างไม่ลืมหูลืมตาถึงกับตาเบิกโพลงหูผึ่งออกกว้างในทันทีที่รับรู้ว่าตัวเองกำลังจะรอดตาย
"ขอบคุณค่ะ ขอบคุณจริงๆ" ยี่โถวิ่งกลับมาก่อนจะก้มลงกราบหญิงผู้ให้โอกาสเธออย่างนึกขอบคุณ ในขณะที่เพียงขวัญซึ่งมีความสูงน้อยกว่ายี่โถถึงยี่สิบเซยติเมตรก็พยามอย่างหนักในการยกตัวของยี่โถไม่ให้กราบลงแทบเท้าของเธอ ช่างเป็นภาพที่ชวนให้ชุลมุนแก่ผู้ที่ได้พบเห็นอย่างไม่ต้องสงสัย
"ค่อยๆกินก่อนก็ได้ เดี๋ยวก็ได้ติดคอ" เพียงขวัญพูดติดขำอย่างแซวใครบางคนที่กำลังสวาปามอาหารลงท้องอย่างไม่สนใจว่าหน้าอินทร์หน้าพรหมไหนจะว่าให้ว่าตัวเองเป็นคนตะกละ
"หิวค่ะ" เอ่ยตอบทั้งที่กุ้งย่างตัวโตยังคงอัดแน่นอยู่เต็มช่องปากเล็กๆนั้นจนเศษกุ้งกระเด็นออกมาเป็นฟองฝอย
"แค่กๆ"
"นั่นปะไร" เพียงขวัญแอบกลอกตาเล็กน้อยใส่คนดื้อที่พูดไม่รู้ฟัง "น้ำจ้ะ ค่อยๆกิน แล้วก็ใจเย็นๆไม่มีใครแย่งกินแน่นอนเจ้รับประกัน"
เมื่อสังเกตได้ถึงท่าทางการกินที่ช้าลงก่อนจะรวบช้อนเข้าหากันเพียงขวัญจึงตัดสินใจเอ่ยถาม
"เจ้ก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าเราเคยเป็นคุณหนู" เพียงขวัญว่าอย่างระมัดระวังด้วยกลัวว่ายี่โถจะรู้สึกไม่ดี
"เจ้แค่อยากจะถามว่าหนูไหวกับการที่ต้องยืนล้างจานติดต่อกันหลายชั่วโมงถึงหกวันต่อหนึ่งอาทิตย์แน่ใช่ไหม" เธอไม่ได้จะออกปากไล่ หากแต่ถ้ายี่โถทำไม่ไหวจริงๆเธอจะได้จัดหาหน้าที่อื่นให้กับเธอแทน ดูจากสภาพที่ซูบผอมจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูแล้วบทชีวิตของยี่โถก็คงจะหนักหนาพอสมควร
"ไม่ไหวก็ต้องไหวค่ะ ยี่โถจำเป็นต้องใช้เงิน" ทางเลือกสำหรับเธอในตอนนี้ไม่ได้มีเยอะแยะมากมายอย่างในตอนที่ยังเป็นคุณหนู ตอนนี้เธอเป็นเพียงแค่เด็กหญิงธรรมดาที่ต้องกัดฟันดูแลพ่อและแม่ที่ล้มป่วยติดเตียง
"ยี่โถ" เพียงขวัญถึงกับน้ำตาปริ่มที่ขอบจาหลังจากได้ยินประโยคนั้นจากปากของยี่โถ เธอไม่รู้หรอกว่าครอบครัวของยี่โถจะคดโกงอย่างข่าวในทีวีที่ออกมาไหม เธอไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเธอจะเป็นคนเช่นไร เธอรู้เพียงแค่ว่าในตอนนี้ยี่โถน่าสงสารและกำลังตกที่นั่งลำบาก ซึ่งมันทำให้เธอไม่สามารถที่จะเมินเฉยต่อควาทโหดร้ายที่เพื่อนร่วมโลกกำลังเผชิญได้
"ยี่โถพอจะคิดเลขเป็นไหม" เพียงขวัญถามอย่างหยั่งเชิง ลำพังแค่เธอคิดเองคนเดียวก็ผิดพลาดอยู่บ่อยๆจนอยากจะหาคนช่วย
"พอจะช่วยเจ้ทำบัญชีของร้านได้หรือเปล่า"
ละดูมันว่าน้องสิ