“คุณหนูรองเจ้าคะ พวกบ่าวที่ดูแลเรือนทำความสะอาดเรือนซูซานเอาไว้ก่อนที่พวกเราจะเดินทางมาถึงแล้ว คุณหนูอยากจะเข้าไปพักผ่อนที่เรือนก่อนหรือไม่เจ้าคะ”
ชิงหลวนถามคุณหนูรองออกมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ช่วยดึงสติของซูเยว่ซินที่เอาแต่จ้องมองปลาในน้ำราวกับตกอยู่ในภวังค์ นางหันมาตอบสาวรับใช้คนสนิท
“ก็ดีเหมือนกัน ชิงหลวน…เจ้าเองก็ไปพักผ่อนก่อนเถิด ให้ชิงหลัวกับชิงหรงคอยอยู่ปรนนิบัติรับใช้ข้าก็พอ”
ยามนี้นางได้สาวรับใช้ที่คอยติดตามมาเพิ่มอีกสองคน เป็นเด็กหญิงวัยสิบสามย่างสิบปีที่มีใบหน้าจิ้มลิ้ม เกลี้ยงเกลา เพราะเป็นบุตรหลานของอดีตขุนนางต้องโทษ ถูกลดบรรดาศักดิ์ให้มาเป็นชนชั้นทาส เท่าที่ซูเยว่ซินจำได้ ในชีวิตก่อนของนางนั้น ไม่ได้พาสาวรับใช้ทั้งสองติดตามออกเรือนไปด้วย ทำให้ทั้งสองคนไม่ได้พบกับจุดจบเช่นเดียวกับชิงหลวน ที่ต้องมาตายเพราะปกป้องผู้เป็นนายที่โง่เขลาเช่นนาง
เรือนซูซานที่บิดามอบให้นางใช้เป็นเรือนพักส่วนตัวนั้นเป็นเรือนขนาดกลาง มีห้องหับสำหรับผู้เป็นเจ้านายและสาวรับใช้ข้างกาย มีห้องอาบน้ำ ห้องเก็บตำรา ห้องรับรองผู้มาเยือนแยกเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน และแน่นอนว่าซูเยว่ซินนั้นเคยชินกับเรือนหลังนี้เป็นอย่างดี เพราะในชีวิตก่อนนางเองก็ได้พำนักอยู่ในเรือนหลังนี้นานถึงสองปี ก่อนที่นางจะออกเรือนไป
ร่างระหงเดินตรงไปยังห้องนอนอย่างลืมตน ท่ามกลางสายตางุนงงของสองสาวรับใช้ที่เพิ่งได้รับมาใหม่จากบิดา พวกนางอยู่ที่นี่มาก่อนหลายเดือน คอยดูแลจวนหลังนี้มาก่อนที่ตระกูลซูจะได้เข้ามาครอบครองเสียอีก ทว่าพวกนางยังมิอาจจดจำห้องหับได้ทั้งหมด เพราะจวนหลังนี้นั้นมีพื้นที่กว้างขวาง และมีเรือนอยู่หลายเรือน แต่เหตุใดคุณหนูรองสกุลซูที่เพิ่งจะเดินทางมาถึงจวนหลังนี้ได้ไม่นาน ถึงได้เดินเข้าห้องนอนของนางไปได้อย่างถูกทิศทาง
“พวกเจ้าทั้งสองหาสิ่งใดทำอยู่แถวนี้ก่อนเถิด ข้าจะเข้าไปนอนกลางวันสักพัก”
ก่อนที่นางจะเปิดประตูเข้าไปในห้องนอน ซูเยว่ซินชะงักเท้าแล้วหันกลับมาสั่งสาวรับใช้ทั้งสอง ทั้งชิงหลัวและชิงหรงต่างพากันคำนับรับคำสั่งของนางอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ริมฝีปากบางจึงเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา จากนั้นร่างระหงจึงเดินเข้าไปภายในห้องนอน
“เหตุใดคุณหนูรองนางถึงได้รู้ว่า ที่นี่คือห้องนอนของเรือนหลังนี้ได้เล่า นางเพิ่งจะมาถึงจวนเองมิใช่หรอกหรือ” ชิงหรงเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ
“นั่นสิ…หรือแม้แต่จวนแม่ทัพที่เมืองโหย่วถิงก็เป็นเช่นนี้”
ชิงหลัวเห็นด้วย ทว่ากลับคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเรือนหลังนี้ไม่ต่างไปจากเรือนเดิมของเจ้านายคนใหม่ สองสาวรับใช้ขจัดความประหลาดใจออกไป ก่อนที่จะออกไปหาสิ่งใดทำ เพื่อรอเวลาให้คุณหนูรองตื่นมาก่อนมื้ออาหารเย็น
วันนี้ครอบครัวกินมื้อเย็นอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน ตลาดของเมืองหลวงอยู่ไม่ไกลจากจวนหลังนี้มากนัก ทำให้แม่บ้านและสาวรับใช้ของจวน สามารถออกไปหาซื้อวัตถุดิบมาเตรียมอาหารให้แก่ท่านแม่ทัพ ฮูหยิน คุณชายใหญ่และคุณหนูรองได้ไม่ยาก แม้มื้อนี้จะเป็นอาหารที่สุดแสนจะเรียบง่าย แต่ทว่ากลับมิมีผู้ใดปริปากบ่น อาจจะเป็นเพราะนี่คืออาหารมื้อแรกในจวนหลังใหม่ก็เป็นได้
และข่าวที่ท่านแม่ทัพพร้อมทั้งครอบครัว เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้วก็ได้แพร่สะพัดออกไป แน่นอนว่าย่อมมีเหล่าขุนนาง และพ่อค้าจากหลากหลายตระกูลในเมืองหลวง ที่อยากจะมาผูกไมตรีกับจวนแม่ทัพ จึงได้พากันส่งของกำนัลต้อนรับมาให้ท่านแม่ทัพซูไม่ขาดสาย บ้างก็ส่งเทียบขอมาเยี่ยมเยือน บ้างก็ส่งเทียบเชิญซูฮูหยินให้ออกไปชื่นชมงานเลี้ยงต่างๆ ที่บรรดาฮูหยินของจวนนั้นๆ เป็นผู้จัดงาน เพื่ออยากทำความรู้จักและผูกไมตรีกับสตรีเรือนหลังเอาไว้
ทว่าเดิมทีซูฮูหยินนั้นหาใช่คนที่ชื่นชอบการพบปะผู้คนไม่ นางจึงเลือกที่จะปฏิเสธไป โดยให้เหตุผลว่านางเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมืองหลวง อีกทั้งธุระงานเรือนก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง และอีกห้าวันหลังจากนี้ ที่จวนยังจะต้องจัดเตรียมพิธีปักปิ่นให้แก่บุตรีอีก จึงขอรับไมตรีเหล่านั้นเอาไว้ด้วยใจก็พอ หากมีโอกาสคราหน้านางย่อมไปร่วมงานอย่างแน่นอน
ทำให้ฮูหยินเหล่านั้นพากันยอมถอยไปเอง เพราะต่างคิดดูแล้วพวกนางก็ค่อนข้างที่จะเสียมารยาท ในเมื่อตระกูลแม่ทัพเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมืองหลวง พวกตนก็เสนอหน้าเข้าไปประจบประแจงเสียแล้ว แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมเกิดจากผู้เป็นสามีของพวกนางทั้งนั้น ผู้ที่มีอำนาจในมือไม่ต่างจากพยัคฆ์ติดปีก ผู้ใดบ้างที่ไม่อยากจะขอพึ่งพาบารมี
เหตุการณ์เหล่านี้ซูเยว่ซินล้วนรู้อยู่ก่อนแล้ว นางหาได้สนใจบรรดาฮูหยินจากสกุลต่างๆ ที่ล้วนแล้วแต่อยากเข้ามาผูกไมตรีกับมารดา เพียงอำนาจของบิดาและพี่ชายของนางไม่ ทว่าสิ่งที่นางสนใจคืองานเทศกาลชมดอกเบญจมาศที่จวนสกุลกู้จะจัดขึ้นหลังจากพิธีปักปิ่นของนางมากกว่า เพราะที่นั่นเป็นสถานที่ที่นางจะได้พบกับผู้คนที่ทั้งดีและไม่ดีกับนางในอดีต
“ท่านแม่เจ้าคะ หลังผ่านพิธีปักปิ่นของข้าไปแล้ว ข้าว่าพวกเราตอบรับเทียบเชิญ ไปร่วมงานเลี้ยงของจวนอื่นกันสักสองสามจวนเถิดเจ้าค่ะ อย่างน้อยการที่เราเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง จำเป็นต้องผูกไมตรีกับสตรีจวนอื่นเอาไว้บ้างย่อมเป็นเรื่องที่ดี”
นางไม่อยากให้มารดาต้องถูกฮูหยินตระกูลอื่นดูแคลน และถูกพวกนางเหล่านั้นทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว ในยามที่ได้พบเจอกับปัญหา เฉกเช่นในชีวิตก่อนที่มารดาไร้ที่พึ่งพาทางใจ เพราะนางออกเรือนไปแล้ว ก็หาได้กลับมาเยือนสกุลเดิมบ่อยๆ ได้ ในชีวิตก่อนมีเพียงฮูหยินใหญ่สกุลกู้เท่านั้น ที่ท่านแม่ของนางคบหาและมีไมตรีด้วย
ทว่าอีกฝ่ายกลับต้องมาด่วนจากไปเสียก่อน หลังจากนางแต่งเข้าตระกูลกู้ไปเพียงแค่สามเดือน นางรู้ดีว่าฮูหยินใหญ่สกุลกู้นั้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีจิตใจดีมากเพียงใด พอลองมาคิดๆ ดูแล้ว การจากไปของจางซินอี๋ หรือกู้ฮูหยินในยามนั้น อาจจะเป็นฝีมือของแม่สามีของนางในชีวิตก่อนก็เป็นได้ เพราะแม่ร้ายฉันใด ลูกย่อมร้ายไม่ต่างกัน
“ถ้าเช่นนั้น…แม่ให้เจ้าเลือกดีหรือไม่ ว่าเจ้าอยากจะไปงานของตระกูลใดบ้าง”
การตัดสินใจของซูฮูหยินเข้าทางซูเยว่ซินทันที ชีวิตก่อนนางไม่เคยที่จะแสดงความเห็นออกมาเยี่ยงนี้ แต่ทว่ามารดาก็ยังตัดสินใจเลือกไปงานเทศกาลชมดอกเบญจมาศของจวนตระกูลกู้ด้วยตัวนางเองอยู่ดี ทว่าครานี้นางเป็นคนเลือกโชคชะตานี้ด้วยตนเอง ซูเยว่ซินฉีกยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย ก่อนที่นางจะหยิบเอาเทียบเชิญมากมายก่ายกองที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาเลือก สุดท้ายนางก็ส่งเทียบเชิญที่นางเลือกไปให้แก่มารดา
มีงานเทศกาลชมดอกเบญจมาศของจวนสกุลกู้ และมีงานชมบุปผาที่จวนสกุลเจียง สองเทียบเชิญเท่านั้นที่นางเลือกให้แก่มารดา ทั้งสองตระกูลล้วนแล้วแต่มีฮูหยินใหญ่ที่เป็นสตรีที่ดี น่าคบหาด้วยทั้งสิ้น ชีวิตนี้นางไม่เพียงแค่จะช่วยให้คนที่นางรักไม่ต้องตายไปก่อนวัยอันควร นางยังมีความคิดที่จะช่วยเหลือมารดาของกู้มู่เฉินให้อยู่รอดปลอดภัยด้วยอีกคน
ซูฮูหยินเงยหน้ามองบุตรสาวแล้วส่งยิ้มจางๆ ออกมา นางได้ให้คนไปลองสืบดูมาแล้ว สตรีจากสองตระกูลนี้น่าคบหาอยู่ไม่น้อย อีกทั้งท่านผู้เฒ่าตระกูลจาง ซึ่งเป็นบิดาของกู้ฮูหยิน ก็ยังนับว่าเป็นสหายเก่าของท่านพ่อของนางที่ล่วงลับไปแล้วอีกด้วย แสดงว่าบุตรสาวของนาง ก็คงจะมีสายตากว้างไกล หาใช่เด็กที่นางจะดูเบาได้
สองแม่ลูกนั่งสนทนากันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่ซูเยว่ซินจะเอ่ยขอตัว…อีกไม่กี่วันก็จะถึงพิธีปักปิ่นของนางแล้ว และหลังจากนั้นอีกเจ็ดวัน นางก็จะได้พบกับคนที่นางรอคอย นางเดินออกจากเรือนใหญ่ไป พลันใบหน้างามกลับปรากฏรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา โดยที่ไม่มีผู้ใดได้ทันสังเกตเห็น