“ขึ้นมาสิ เพราะหากช้าอีกนิดฉันทิ้งเธอไว้ที่นี่แน่”
และไม่ต้องให้คนตัวโตพูดซ้ำขึ้นอีก สาวน้อยรีบดึงบานประตูรถให้เปิดออก จากนั้นก็แทบจะกระโดดขึ้นมานั่งเคียงข้างเขา รถคันหรูแล่นปรู๊ดออกไปจากลานจอดรถอย่างรวดเร็ว เร็วจนรำไทยต้องรีบคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดทับร่างกายเอาไว้ด้วยความหวาดกลัว
“ฉันคิดว่า... เอ่อ แม้มันจะดึกแล้ว แต่คุณก็ไม่ควรขับรถเร็ว...แบบนี้”
ที่กล้าพูดออกไปก็เพราะกลัวต่อความเร็วของรถที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่กระนั้นมันก็ไม่สามารถทำให้คนตัวโตหยุดแสดงอภินิหารลงเลยแม้แต่นิดเดียว แถมยังพ่นวาจาเลือดเย็นใส่หน้าของหล่อนอย่างไม่ปรานีอีกต่างหาก
“รู้ไหมว่าฉันสะอิดสะเอียนต่อการที่มีเธอนั่งข้างๆ แค่ไหน ดังนั้นฉันถึงต้องขับรถเร็วแบบนี้ เพื่อให้ถึงบ้านให้เร็วที่สุดยังไงล่ะ”
สะอึกอยู่ภายในอก พูดไม่ออกเอาซะดื้อๆ รำไทยเม้มปากอิ่มของตัวเองแน่น ชำเลืองมองคนตัวโตผ่านม่านน้ำตาด้วยความตัดพ้อ ก่อนจะบังคับให้ตัวเองมองเมินออกไปนอกกระจกรถแทน
นี่ภามินเกลียดชังหล่อนถึงเพียงนี้เชียวหรือ...
ความเงียบกัดกินไปทั่วทั้งรถระดับพรีเมี่ยมอยู่นานนับชั่วโมง ก่อนที่มันจะมาจอดสนิทที่ลานหน้าตึกใหญ่ของคฤหาสน์อิสรเกษม หญิงสาวรีบปลดเข็มขัดนิรภัย กำลังจะก้าวลงจากรถแต่พ่อคนตัวโตแสนเลือดเย็นก็เอียงหน้าเข้ามากระซิบวาจาเหี้ยมเกรียมข้างหูเสียก่อน และเมื่อได้ฟังมันก็ทำให้รำไทยยิ่งเจ็บช้ำทวีคูณ
“หวังว่าเธอจะรู้นะว่าตัวเองควรจะอยู่ตรงไหน... อย่ามาวุ่นวายกับฉัน หรือแม้แต่กับพี่โรมอีกเด็ดขาด เพราะหากเธอไม่เชื่อฟัง ฉันนี่แหละจะเป็นคนพิพากษาโทษของเธอเอง จำเอาไว้รำไทย...”
“ฉันไม่อาจเอื้อมเช่นนั้นหรอกค่ะ...”
ซ่อนความเจ็บช้ำเอาไว้สุดความสามารถแต่หางเสียงที่ตอบโต้ออกไปก็ยังสั่นเทาจนน่าสังเวชใจอยู่ดี
“ฉันจะเชื่อคำพูดของเธอ ก็ต่อเมื่อเธอรีบไปจากที่นี่ซะ กลับไปอยู่ในที่ที่เธอจากมา”
คนตัวโตที่ถนัดเหลือเกินกับการทำให้คนอื่นเจ็บช้ำพูดจบ ก็รีบผละลงไปจากรถทันที ทิ้งให้รำไทยนั่งน้ำตาซึมอยู่เพียงลำพัง
หล่อนมันต่ำต้อยนักหรือไง ทำไมจะต้องมาดูถูกกันแบบนี้ด้วย...
รำไทยยกมือป้ายน้ำตาที่มันกำลังล้นออกมาจากขอบตาจนแห้ง ก่อนจะก้าวลงจากรถ กำลังจะรีบวิ่งขึ้นห้องพัก แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นพราวฟ้ายืนรออยู่ที่ห้องโถง
“เอ่อ... คุณน้า”
“มีอะไรกันหรือเปล่าหนูรำไทย ทำไมพ่อภามถึงทำหน้าราวกับไปกินรังแตนมาแบบนั้น”ถามพร้อมๆ กับสังเกตสีหน้าของเด็กสาวไปด้วย และก็ได้เห็นความโศกเศร้าในดวงตาคู่งามนั้นอย่างมากมายนัก
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เราไม่ได้พูดกันสักคำ...”
ก้มหน้าพูดปดออกไปเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย หล่อนตั้งใจแล้วว่าจะรีบๆ สอนพราวฟ้าทำขนมตามที่ตั้งใจเอาไว้ จากนั้นก็จะรีบกลับบ้านทันที จะไม่มีวันอยู่ให้รกหูรกตาใครอีกเด็ดขาด
“อย่างนั้นหรือ เอ่อ แล้วเรื่องของพ่อโรมกับหนูมารันล่ะเป็นยังไงบ้าง”
เจ้าของชื่อฝืนยิ้มบางๆ “ทุกอย่างเรียบร้อยค่ะ คุณโรมเธอมีเหตุผล...”
พราวฟ้าพยักหน้าน้อยๆ แล้วถอนใจออกมา “งั้นหนูก็ไปพักผ่อนเถอะ ท่าทางจะเพลียกับการเดินทางไม่น้อย ดูสิหน้าซี๊ดซีด...”
“ขอบคุณค่ะคุณน้า งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ”
ร่างอรชรของรำไทยเดินหายขึ้นชั้นบนไปแล้ว พราวฟ้าจึงหันมาพูดกับทับทิมที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านหลังด้วยน้ำเสียงกังวลใจ
“ฉันว่าหนูรำไทยคงเจอฤทธิ์เดชของพ่อภามมาแน่ๆ เลย ถึงได้เซื่องซึมแบบนี้ ฉันล่ะเบื่อกับพฤติกรรมเอาแต่ใจสุดกู่ของพ่อลูกชายตัวดีคนนี้จริงๆ เมื่อไหร่นะจะหายจากโรคอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ สักที”
“โรคนี้มีเมียก็คงหายมั้งคะคุณผู้หญิง” ทับทิมเสนอแนะ พราวฟ้าเลิกคิ้วสูงลิบเลยทีเดียว
“มีเมียเหรอ? แล้วผู้หญิงคนไหนจะทนอารมณ์ร้ายของมันได้ เห็นที่ควงๆ อยู่แต่ละคนก็อยู่ได้แค่ไม่เกินเจ็ดวันก็ถูกพ่อตัวดีตะเพิดไปทุกราย”
ความกังวลใจดังเจือปนออกมาพร้อมๆ กับน้ำเสียงของพราวฟ้า ทับทิมอมยิ้มนัยน์ตาแพรวพราวด้วยความคิดแปลกประหลาด
“เราก็หาผู้หญิงที่จะสามารถรองรับอารมณ์ของคุณชายเล็กให้ได้สิคะ อาจจะจ้างเป็นเงินก็ได้”
“แล้วฉันจะไปหาผู้หญิงคนนั้นได้ที่ไหนกันล่ะ”
ความคิดของบ่าวคนสนิทก็เข้าท่าดี แต่ติดปัญหาอยู่นิดเดียวนั่นก็คือหล่อนจะไปหาผู้หญิงทนทายาทแบบนั้นได้ที่ไหนกัน
“ก็คุณรำไทยยังไงล่ะคะ เธอสวยอย่างกับภาพวาดแบบนี้ยังไงซะคุณชายเล็กก็ต้องใจอ่อนเข้าสักวัน”
“โอ๊ย! ไม่ดีหรอกมั้ง เดี๋ยวยายมุกมาฉีกอกฉันตายพอดี และอีกอย่างฉันก็ไม่มั่นใจว่าพ่อภามจะยอมมีเมียง่ายๆ ด้วย เพราะพ่อคนนี้ยิ่งหัวแข็ง ใจแข็ง แถมปากยังแข็งโป๊กยิ่งกว่าก้อนหินเสียอีก”
“เราก็ใช่เล่ห์เหลี่ยมสิคะ ยังไงเราก็ทำเพราะหวังดี... ไม่ใช่เรื่องผิดหรอกค่ะ”
ทับทิมยังคงยืนยันความคิดเดิม และมันก็เริ่มทำให้พราวฟ้าคล้อยตามมากขึ้น
“แล้วแม่ทับทิมมีวิธีอะไรเหรอ”
แม่บ้านร่างท้วมอมยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ “เอียงหูมาใกล้ๆ สิคะ เดี๋ยวอิฉันจะได้บอก”
พราวฟ้ารีบเอียงหูเข้าไปใกล้ๆ ปากของแม่ทับทิมทันทีด้วยความอยากรู้ แต่พอได้ฟังแล้วก็ต้องร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“เอาจริงเหรอ ฉันว่ามัน...”แผนนี้จะว่าดีก็ดี แต่มันออกจะเสี่ยงๆ ไปสักหน่อย
“ถ้าคุณผู้หญิงไม่ได้รังเกียจคุณรำไทยในฐานะลูกสะใภ้ วิธีนี้คือวิธีที่ดีที่สุดค่ะ และมันก็จะได้ผลชะงักนักแล”
“ฉันไม่ได้รังเกียจหนูรำไทยหรอก ยินดีด้วยซ้ำที่จะได้ผู้หญิงเรียบร้อยแสนหวานแบบนี้มาเป็นลูกสะใภ้ แต่พ่อภามน่ะสิ เดี๋ยวพ่อเจ้าประคุณคลั่งขึ้นมาใครจะรับมือกันล่ะ...” น้ำเสียงของนายหญิงของบ้านอัดแน่นไปด้วยความวิตกกังวลไม่เสื่อมคลาย
“เรื่องแบบนี้มันต้องเสี่ยงค่ะ แต่อิฉันมั่นใจว่าคุณภามินจะต้องพ่ายแพ้ต่อความสวยและความดีของคุณรำไทยอย่างแน่นอน”
แม้จะเห็นด้วยและตัดสินใจจะร่วมมือกับแม่บ้านเก่าแก่อย่างทับทิมดำเนินการจับคู่ให้กับบุตรชายคนเล็กอย่างภามิน แต่กระนั้นพราวฟ้าก็ยังอดวิตกกังวลใจไม่ได้อยู่ดี เพราะเลี้ยงภามินมากับมือพอจะรู้นิสัยของชายหนุ่มดี เจ้าหมอนี่ยิ่งยัดเหยียดให้ก็ยิ่งเกลียดชังและวิ่งหนี
“ฉันหวังว่ามันจะสำเร็จนะ”
“ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ยังไงมันก็ต้องสำเร็จ แต่ติดปัญหาอยู่ที่ว่าเราจะทำยังไงให้คุณชายเล็กมาค้างที่บ้านได้บ่อยๆ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลหรอกฉันจะจัดการเอง”พราวฟ้าเอ่ยเสียงเรียบ
“ฉันขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะแม่ทับทิม เธอเองก็ควรจะพักผ่อนเหมือนกัน พรุ่งนี้จะเป็นวันแรกที่เราจะต้องร่วมมือกันจับคู่ให้กับพ่อภาม ดังนั้นจะต้องไม่มีอะไรผิดพลาดเด็ดขาด”
“ค่ะ คุณผู้หญิง”
แม่บ้านร่างท้วมยิ้มกว้างให้กับคุณผู้หญิงของตัวเอง ก่อนจะเดินออกจากตึกใหญ่เพื่อมุ่งหน้ากลับสู่เรือนพักของตัวเองที่อยู่ด้านหลังของคฤหาสน์อิสรเกษมทันที